Friday, 2 November 2012

ก็คนมันเยอะ ...

ทุกท่านคงทราบกันดีอยู่แล้วว่าประเทศอินเดียนี้มีประชากรถึงประมาณ 1.2 พันล้านคน และเกินครึ่งเป็นคนยากจน เมืองมุมไบซึ่งเชื่อกันว่ามีประชากรประมาณ 20 ล้านคน และความเชื่อนี้ก็ได้รับการยืนยันโดยสถิติของ UN Habitat ว่าเมืองท่าแห่งนี้มีประชากรแตะระดับ 20 ล้านคน ตั้งแต่ปี 2553 แม้ทางการอินเดียจะยังคงใช้สถิติจำนวนประชากรเพียง 10 ล้านนิด ๆ ก็ตาม

ในจำนวนประชากร 20 ล้านติ่ง ๆ ของมุมไบ มีประชากรที่อาศัยอยู่ในสลัมมากกว่าครึ่ง โดยสามารถพบเห็นสลัมได้ทั่วไปในเมืองแห่งนี้ที่ตึกสูงกับสลัมอยู่ไกลกันเพียงกำแพงกั้น 

แต่ก่อนเคยเป็นทางเท้า แต่แล้วก็โดนยึด
อย่างไรก็ตาม ต้องขอบอกก่อนว่า ผู้ที่อาศัยในสลัมนั้น ไม่จำเป็นต้องยากจนเสมอไป บางคนอาจเป็นพนักงานบริษัทมีรายได้หลายหมื่นรูปีต่อเดือน แต่เงินเดือนก็ยังไม่พอจะหาเช่าที่พักดี ๆ ในย่านที่ตนทำงานได้ (บางย่านราคาค่าเช่าที่พักต่อเดือนเริ่มที่หลักแสน คือ ไม่มีแบบราคาย่อมเยากว่านี้ให้เลือก) และหากอยู่ไกลออกไปการเดินทางก็แสนจะยากลำบาก จึงเลือกที่จะเช่าที่พักในสลัม ซึ่งช่วยให้ประหยัดและเก็บเงินได้เป็นกอบเป็นกำทีเดียว

นอกจากนี้ ในสลัมยังมีร้านเงิน ร้านทอง และร้านขายของต่าง ๆ อันแสดงถึงฐานะที่อาจจะเรียกว่ายากจนได้ไม่เต็มปาก เช่น ทีวีจอแบน ฯลฯ

แต่แน่นอนครับ ก็ยังมีคนยากจนจริง ๆ อยู่ในนั้นด้วย โดยส่วนใหญ่จะเป็นคนยากจนจากชานเมืองและเมืองอื่น ๆ ที่หลั่งไหลเข้าสู่เมืองมุมไบเพื่อหาโอกาสทางเศรษฐกิจที่ดีกว่า โดยหลายคนไม่แม้กระทั่งจะมีที่พักในสลัม จึงต้องอาศัยนอนตามทางเท้าที่ตนเองจับจองไว้ขายของ หรือขอทานหากิน (บางครั้งก็กลายสภาพเป็นสลัมแห่งใหม่ในที่สุด) อย่างย่าน Colaba ที่คึกคักเต็มไปด้วยนักท่องเที่ยว พอตกดึกทางเท้าเหล่านั้นก็จะกลายเป็นเตียงของเหล่าผู้ค้าและขอทานที่หากินในบริเวณนั้น

สลัมชาวประมงชื่อดังในมุมไบใต้ (1)
สาเหตุที่เรายังเห็นสลัมปะปนกะตึกสูงไระฟ้าอย่างไม่มีระเบียบแบบแผนก็เป็นเพราะ ประชาชนอาศัยอยู่ในสลัมมีจำนวนไม่น้อย จึงกลายเป็นกลุ่มคะแนนเสียงสำคัญทางการเมือง ดังนั้น พรรคการเมืองใดแตะหรือแม้แต่คิดจะมีนโยบายจัดผังเมืองใหม่ โยกย้ายสลัมไปที่อื่น ก็จะต้องประสบกับชะตากรรมตามแบบประชาธิปไตย คือ การประท้วง และคะแนนนิยมลดฮวบแน่นอน จึงไม่แปลกที่จะำไม่มีใครกล้ายุ่งกับสลัม  และปล่อยให้เป็นแหล่งเสื่อมโทรมให้ผู้มาเยือนจากต่างชาติได้เห็นสัจธรรมของชีวิตแบบติดขอบเวที บางแห่งมีการเก็บค่าเข้าชมด้วย (คาดว่าเป็นพวกมาเฟีย ไม่ก็มั่วมาเก็บ)


(2)

คนที่นี้มีความสามารถในการจับจองที่และสร้างชุมชนแออัดได้ในทุกที่

ผ่านไปผ่านมาเลยถ่ายภาพจากบนรถมาให้ชมกันไปพลาง ๆ ครับ


--- (*_*") ---

Thursday, 1 November 2012

ทุนนิยมอเมริกาขึ้นท่าที่มุมไบแล้วววว

ในช่วงสองสัปดาห์ที่ผ่านมา "นางเงือกเขียว" ได้ก่อให้เกิดกระแสคลั่งไคล้ครั้งใหญ่ในใจกลางเมืองมุมไบ ชาวมุมไบ (ที่มีเงิน) ล้วนพร้อมใจกันกระโดดเข้าสู่กระแสธารมนุษย์อันเชียวกราก บากบั่นไปพบ "นางเงือกเขียว" ด้วยตัวเองอย่างไม่ย่อท้อ บางส่วนส่งข้าทาสบริวารให้ไปพบนางเงือกแทนตัวเอง ก่อนนำน้ำตาแห่งความปลื้มปิติของนางเงือกกลับมาให้เจ้านาย ...

งง ... ไหมครับ มันพูดเรื่องอะไรของมัน

เห็นภาพนี้แล้วคงจะร้อง "อ้อ ...." ใช่ครับ chain ร้านกาแฟสัญชาติอเมริกา สุดโด่งดัง ขนาดเป็นสัญลักษณ์ของทุนนิยมอเมริกา และต้นตำรับการตลาดที่อาศัยการสร้างความสัมพันธ์ส่วนบุคคลระหว่างพนักงานกับลูกค้าได้มาขึ้นท่าที่มุมไบแล้ว

แน่นอนครับ เพราะเมืองมุมไบเป็นเมืองท่าของอินเดีย นางเงือกจึงมาที่นี่เป็นแห่งแรกในอินเดีย !! โดยผ่านมาได้ 2 สัปดาห์ ก็ทยอยเปิดไปแล้ว 3 สาขาด้วยกัน (เท่าที่ทราบล่าสุด)

ในช่วงแรกของการเปิดสาขาแรก คนมุมไบแห่กันไปชมความงามของนางเงือกสองหาง และลิ้มชิมรสกาแฟของ she อย่างล้นหลาม คือ ล้น ขนาดต้องต่อคิวเข้าร้าน เหมือนร้านราเม็งดังในญี่ปุ่น แต่ที่นี่อาจจะหนักกว่า คือ คล้ายอารมณ์ห้างลดราคาที่นิวยอร์ก (ใช่ป่าว?) คือ ถึงขนาดต้องกักลูกค้าไว้ที่หน้าร้านและปล่อยลูกค้าเข้าร้านเป็นรอบ ๆ ตามคิว ... ก็ขนาดทีมที่ไปเกาะกระแสจากที่ทำงานผมมีการถอดใจ และกลับมาบอกว่า "คนเยอะมาก เข้าร้านยังไม่ได้เลย"แต่ก็อย่างว่าแหละครับ ครั้งแรกของพี่อินเดียเค้า เหมือนล่าสุดที่ H&M เปิดที่พารากอนบ้านเรา ผมได้ยินมาว่าแห่กันไปอย่างกะแจกฟรี

ส่วนตัวผมเองนั้น ได้ไปเยี่ยมเยียนสาขาที่สอง ซึ่งเปิดห่างจากสาขาแรกประมาณ 1 สัปดาห์ โดยเป็นส่วนหนึ่งของโรงแรม 5 ดาวของมุมไบ ตึกหน้าตาขลัง แหงนหน้ามองแล้วสามารถทำให้หลงผิดนึกว่าอยู่
ร้านเงือกเขียว สาขาที่ 2 ของมุมไบ และอินเดีย
พร้อมชื่องทางการค้าภาษาท้องถิ่น
ยุโรปได้เลยทีเดียว และตึกลักษณะนี้มีให้เห็นอยู่ทั่วไปในเมืองมุมไบ เนื่องจากเป็นเมืองสำคัญของจักวรรคิอังกฤษ หรือบริษัท East India มาก่อน แม้ปัจจุบันจะทรุดโทรมไปมาก ประหนึ่งว่า ไม่ได้รับการทะนุบำรุงอีกเลยหลังจากที่อินเดียรับช่วงต่อจากอังกฤษเมื่อกลางศตวรรษที่แล้ว แต่ที่เห็นสวย ๆ นี่ก็เพราะเป็นโรงแรมของเครือ TATA ครับ จึงได้รับการดูแลเป็นอย่างดี จึงคงความสง่างามไว้ได้

วันที่ผมไปคนไม่เยอะเท่าไหร่ คือ แค่คิวยาวเกินความบาวเคานเตอร์ แต่หางแถวยังอยู่ในร้าน ก็เหมือน ๆ กับร้านน้องเงือกตามห้างดังในเมืองไทยที่แถวยาวได้ตลอดเวลา ส่วนที่นั่ง ก็ไม่เหลือแล้วครับ จึงดูนู้นดูนี่ ก่อนจะเดินถือกาแฟออกมาชมดื่มด่ำความเหม็นของละแวกนั้นต่อ (เหม็นมูลม้าครับ ปลิว หวิ้ว ๆ ๆ อยู่เต็มอากาศ ส่วนที่ยังไม่แห้งพอจะปลิวก็เป็นซากโดนบี้แบนอยู่ตามถนน ช่วยให้ถนนดูไม่แห้งแล้ง ขาดสีสันจนเกินไป -- เอาจริง ๆ ไม่รู้ให้ม้ากินพืชชนิดไหนกัน ทำไมมันถึงได้เหม็นขนาดนี้ ไม่เคยคิดมาก่อนว่าสัตว์กินพืชจะขี้เหม็นขนาดนี้)




วันนั้นผมลอง ลาเต้เย็น แก้วเล็ก ราคา 110 รูปี หรือประมาณ 70 บาท ไม่ถูกไม่แพง กาแฟที่ใช้ ทราบมาว่าเป็นกาแฟของเครือ TATA ที่ปลูกในอินเดีย  ทำให้น้องเงือกสามารถทำราคาแข่งขันกับ chain เจ้าบ้านอย่าง Cafe Coffee Day ที่มีกว่า 1,300 สาขาทั่วอินเดียได้อย่างถูกใจคอกาแฟ - คือได้ดื่มของถูกนั่นเอง ส่วนเครื่องดื่มแบบอื่น เช่น ชา ก็จะมีชาอินเดีย หรือที่เรียกว่า chai (ชัย) ให้เลือกในรายการด้วย โดยที่นี้จะใช้ชาของเครือ TATA ส่วนน้ำดื่มจะเป็นตรา Himalayan ของเครือ TATA เช่นกัน

ขนมนมเนยในร้านก็มีทั้งแบบปกติมาตรฐาน และแบบอินเดียให้ได้เลือกชิมกัน สำหรับผมเห็นแล้วยังไม่ขอลอง  

ส่วนของที่ระลึกที่มีความเป็นอินเดีย ตอนนี้ก็จะมีเพียงถ้วยกาแฟ ด้านหนึ่งเป็นรูป Gateway of India ที่เคยลงรูปไปแล้วไนตอนแรก ๆ และอีกด้านเป็นรูปกีฬาประจำชาติ (จริง ๆ แล้วเป็นกีฬาประจำภูมิภาคเอเชียใต้แห่งนี้เลยทีเดียว) แล้วก็มีใบชาของเครือ TATA ภายใต้แบรนด์ TATA Tazo ขายด้วย

ข้อมูลจ้า : น้องเิงือกได้เริ่มเจรจากับเครือทาทาตั้งแต่ปีที่แล้ว โดยตอนแรกตกลงให้ทาทาเป็นผู้ส่งเมล็ดกาแฟและใบชาให้กับน้องเงือก แต่ต่อมาได้ตกลงร่วมทุน 50 : 50 เพื่อเปิดร้านขายปลีกกาแฟในอินเดียภายใต้แบรด์ "Starbucks Coffee A TATA Alliance" โดยใช้เมล็ดกาแฟที่ปลูกในอินเดียของเครือทาทา รวมทั้งสร้างแบรนด์ชา "TATA Tazo" เพื่อขายในการนี้โดยเฉพาะด้วย  นอกจากนี้ ยังให้มีผลิตภัณฑ์เครื่องดื่มของทาทาขายในร้านน้องเงือกด้วย สรุปคือ ทาทาอาศัยชื่อและหน้าตาน้องเงือกในการทำตลาด ส่วนน้องเงือกต้องอาศัยความเจนพื้นที่ และอสังหาริมทรัพย์มากมายของเครือทาทาเพื่อตั้งไข่นั่นเอง (การหาสถานที่และพื้นที่เพื่อเปิดร้านในเมืองมุมไบเป็นเรื่องยาก และต้องใช้เงินจำนวนมหาศาลเนื่องจากราคาที่ดินสูงมาก ส่งผลให้ค่าเช่าและราคาขายอสังหาริมทรัพย์สูงตามกันไป ทั้งนี้ เชื่อกันว่าเกิดจากการที่คนรวยกว้านซื้ออสังหาิริมทรัพย์เพื่อเก็งราคา ซึ่งก็เพิ่มมากขึ้นเป็นลำดับ) นอกจากนี้ การจับคู่กับทาทายังช่วยน้องเงือกจากอาการปวดหัวที่จะเกิดขึ้นแน่นอนหากต้องเผชิญกับกฎหมายและระเบียบต่าง ๆ ของอินเดีย ซึ่งเปรียบดั่งหมู่หินโสโครก และเจ้าหน้าที่ทางการอินเดีย ที่เปรียบเสมือนโจรสลัดในท้องทะเลที่ไม่มีความแน่นอนแห่งนี้

น้องเงือกร้านแรกในอินเดีย เปิดที่เมืองมุมไบ เมื่อวันที่ 19 ต.ค. 2555 ในตึกที่นับเป็นมรดกทางประวัติศาสตร์จากอังกฤษ โดยอยู่ใกล้ ๆ กับร้านแฟชั่นชั้นสูงอย่างคุณพี่ฤาษี Hermes ซึ่งอยู่ในตึกมรดกทางประวัติศาสตร์เช่นกัน น้องเงือกมีเป้าแพร่พันธุ์เป็น 50 สาขาในเมืองมุมไบภายในปีนี้ ก่อนเจาะเข้าเมืองหลวงอย่างกรุงนิวเดลีในต้นปีหน้า (2556) และตามด้วยเมืองเอกนครต่าง ๆ ของอินเดีย

ผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่า น้องเงือกสองหาง จะนำพาสิ่งดี ๆ มาสู่ประเทศนี้ โดยเฉพาะ lifestyle ค่านิยม  และพฤติกรรม

ปล. วันที่ไปต่อแถวซื้อกาแฟ ยังมีอีตาแขกพุงยื่น มายื่นเอาพุงดันตลอดเวลา คือ คนที่นี่ชอบความใกล้ชิด เหมือนเวลาเดิน ... ไม่รู้เรดาร์พังหรือยังไร ชอบเดินหลบที่ว่างเข้าหาคน คือ ขอให้ได้เฉียด คงมีความสุข   ส่วนเวลาต่อแถวก็เช่นกัน ขอให้ได้เกือบเหยียบตรีนคนข้างหน้าเป็นใช้ได้ ขยับทุกครั้งแมร่งต้องมีสัมผัส ... คือ ตรูไม่ได้พิศวาสมรึงคร้าบ 


[_]า-(^o^)/ 



Wednesday, 31 October 2012

It's India ... จบมะ

สวัสดีครับพ่อแม่พี่น้อง หายหน้าหายตาไปนาน ถึงขนาดมีมิตรรักแฟนเพลงถามถึง (ว้าววว ... เพื่อนผมเองแหละ ไม่ใช่ใครอื่นไกล) ก็เลยต้องรีบมาสนองกันสักหน่อย  จริง ๆ มีเรื่องมากมายอยากจะเล่า (บ่น) ให้ฟังแต่เวลาไม่ค่อยอำนวย แต่แล้วเวลานั้นก็มาถึง ...

ขึ้นหัวเรื่องไว้แบบนั้น คงเดากันออกว่า มีเรื่องปลง ๆ มาให้ได้บันเทิงใจกันอีกแล้ว

ตัวละคร (1) ผมเอง (2) นาง A สัญชาติอินเดีย เจ้าของบริษัท L (3) บริษัท B สัญชาติอินเดีย (4) น.ส. C สัญชาติอินเดีย

ผม - ขอบคุณมากครับ ที่สนับสนุนการเข้าร่วมงานของเราในครั้งนี้ เราจะนำโลโก้ของบริษัทคุณขึ้นในฉากหลังของซุ้มของเราด้วย
นาง A - ไม่หรอกค่ะ ดิฉันซิคะที่ต้องขอบคุณที่ให้โอกาสเรา และสนับสนุนเราถึงเพียงนี้
ผม - ยินดีเป็นอย่างยิ่งครับ ล่าสุดผมกำลังรอ บ.B ส่งแบบฉากหลังมาให้ดูอยู่นะครับ นี่เราก็มีเวลาเหลืออีกแค่ 4 วันเท่านั้น ผมส่งโลโก้ของทางผม และของคุณ A  ให้ บ.B ไปสักพักแล้ว ยังเงียบอยู่เลย ไม่รู้ทำไมช้านัก ผมว่ามันไม่ได้มีอะไรยากเลย แค่ฉากโล่ง ๆ แล้วก้มีโลโก้ 2 อัน    อ้อ... แล้วผมก็ตามไปทางคุณ C ผู้ประสานงานของงานด้วยแล้ว ซึ่งคุณ C ก็รับจะตามให้
นาง A - อย่าคิดมากค่ะ ทาง บ.B คงจะส่งให้ 1-2 วันก่อนวันงานแหละค่ะ ... You know ... It's India. 
ผม - ฮา ๆๆ ครับ ก็หวังว่าจะส่งมาก่อนวันงานนะครับ -_-" 

--- จบ ---

ตัวละคร (1) ผมเอง (2) นาง D ลูกน้องสัญชาติอินเดีย

ผม - คุณ D คุณ D ทำไมเอกสารนี่ยังไม่ได้อีก ส่งให้ทางการอินเดียไปตั้งนานแล้วนะ จะถึงกำหนดเส้นตายของเราแล้วนะ เหลือไม่กี่วันแล้ว
นาง D - It's India ... ไม่มีอะไรเร็วค่ะ ปกติก็จะได้รับประมาณ 1-2 วัน ก่อนเส้นตายแหละค่ะ
ผม - (ตรูล่ะเบื่อ -_-")  ... คุณตามหน่อยละกัน

--- จบ ---

ตัวละคร (1) ผมเอง (2) นาง D ลูกน้องสัญชาติอินเดีย (คนเดิม)

ผม - D D ทำไมเอกสารนี่ยังไม่ได้อีก ส่งให้ทางการมุมไบไปเป็นเดือนแล้วนะ ทำไมมันช้าแบบนี้
นาง D - เดี๋ยวตรวจสอบให้ค่ะ . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . . (เสียงหัวเราะดังขึ้น)
ผม - (เดินไปหา D อีกครั้ง) เป็นไง ???
นาง D - อ้อ ฮาๆๆ คนประสานงานบอกว่า เราส่งเรื่องเร็วเกินไป (ประมาณ 1 เดือน ก่อนต้องใช้เอกสาร) ตอนนั้นพอได้รับจึงยังไม่ทำ และตอนนี้ก็หาเรื่องไม่เจอแล้วค่ะ หายไปแล้ว ขอให้ส่งไปใหม่ค่ะ
ผม - เวรเอ่ยยยยยยยย ทำงานกันล่วงหน้าไม่เป็นรึไงฟระ ไม่เข้าใจจริง ๆ
นาง D - ฮาๆๆ เป็นแบบนี้แหละค่ะ ... It's India.
ผม - เออ ๆ ครับ คุณจัดการด้วยละกัน บี้มาให้ทันล่ะ (ตรูล่ะเบื่อ -_-")

ปล. นาง D มีลูกล่อลูกชนที่ดีเป็นอย่างยิ่ง ขนาดผมเองยังไม่อยากมีเรื่องกะ she เพราะท่าทางจะเถียงไม่ทัน She จึงสามารถบี้เอกสารจากทางการได้ทันที่เราต้องใข้เสมอ นับเป็นทรัพยากรบุคคลชั้นเยี่ยม ขาดไม่ได้เลยทีเดียว ดังนั้น ถึงแม้จะต้องปวดกะโหลกลามถึงส้นเท้ากับสถานการณ์ It's India อยู่บ่อยครั้ง แต่ก็ค่อนข้างวางใจเพราะยังมีนาง D คอยจัดการให้

--- จบ ---

 พอแค่นี้ก่อนนะครับ

\ (-:::-) \



Tuesday, 18 September 2012

โนบิตะ กับ อินเดีย

เวลาอยู่บ้านส่วนใหญ่ผมจะเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ ดูบ้างไม่ดูบ้าง โดยช่องที่เปิดเกือบจะตลอดคือ Disney Channel ซึ่งฉายโดเรมอนที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีเกือบทั้งวัน จะมีเพียงว่า คราวนี้โดเรมอนและผองเพื่อนพูดภาษาฮินดีกัน ตอนแรกก็รู้สึกขัด ๆ เพราะมีความคาดหวังว่า ช่องนี้น่าจะเป็นภาษาต้นตำรับแล้วมี sub-title เป็นภาษาท้องถิ่นเพื่อให้เด็ก ๆ เข้าใจได้ แต่พอคิดไปคิดมา ที่พากย์เป็นภาษาท้องถิ่นก็น่าจะถูกต้องแล้ว เพราะเด็ก ๆ คงอ่านไม่ทัน และถ้าทันก็คงจะเป็นการดูการ์ตูนที่น่าเบื่อพิลึก

ผมเป็นแฟนโดเรมอนคนหนึ่ง และชอบอ่านและดูมาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะตอนยาวที่เป็นการผจญภัยในดินแดนต่าง ๆ ผมรู้สึกว่า การดูโดเรมอนช่วยพัฒนาสมองด้านขวา ซึ่งเป็นด้านแห่งจิตนาการของมนุษย์ เพราะของวิเศษต่าง ๆ ของโดเรมอนส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ เต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะทำให้ชีวิตของมนุษย์สะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยเครื่องมือต่าง ๆ 

ตอนนี้ มีอายุแล้ว กลับมานั่งดู ก็ย่อมต้องมีบ้างที่รู้สึกว่า หลาย ๆ อย่าง มันไม่น่าจะใช่ แต่ก็คงเป็นเพราะรู้เยอะมากกว่าตอนเป็นเด็ก กำแพงแห่งความเป็นจริงจึงก่อตัวขึ้นปิดล้อมพื้นที่แห่งจินตนาการ

วันหนึ่งได้ดูโดเรมอนตอน "แว่นขยายวิเศษ" ซึ่งแว่นขยายนี้หากนำไปใช้ส่องสิ่งใด สิ่งนั้นจะขยายใหญ่ขึ้น (ก็คงแบบไฟฉายขยายส่วน และอุปกรณ์อีกมากมายที่ให้ผลลัพธ์เหมือนกัน) ซึ่งโนบิตะก็สามารถนำไปเล่นสนุกได้เช่นเคย โดยหนึ่งในนั้น คือ การช่วยเหลือแม่ ที่กำลังคลำหาแว่นตาบนพื้นห้อง เพื่อจะได้อ่าน นสพ. ต่อ ... โนบิตะเห็นดังนั้น จึงนำแว่นขยายไปส่อง นสพ. ให้ขยายใหญ่ขึ้นเท่ากับขนาดของพื้นห้องเพื่อให้แม่สามารถอ่านได้โดยไม่ต้องใช้แว่น

ประเด็นคือ ... มันใช่เหรอ แก้ปัญหาวิธีนี้เหรอ ไม่น่านะ เป็นเรา เราคงจะช่วยแม่หาแว่นใช่ไหมครับ แล้ว เอ่อ..ไอ้วิธีการแก้ปัญหาแบบนี้มันมาได้ไง คิดได้ไงเนี่ย 

ชั่วพริบตา ความคิดก็ผุดขึ้น นี่มัน นี่มัน ... ใครเลียนแบบใครฟระเนี่ย โนบิตะเลียนแบบแขก หรือแขกเรียนวิธีคิดแบบนี้จากโนบิตะ จะทางไหน มันก็หายนะชัด ๆ นี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากที่สะท้อนวิธีคิดของคนที่นี่ ที่ผมเห็นว่ามันไม่น่าจะใช่และภาวนาไม่ให้ต้องประสบพบเจอ เพราะมันคือความปวดกะโหลกอย่างสุดจะทน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นั่งกุมขมับอย่างเดียว

มีพี่ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า สมัยมาอยู่ที่นี้ใหม่ ๆ (ประมาณ 3 ปีที่แล้ว) ได้บ้านพักที่ไม่ดี ฝนตกแล้วน้ำรั่วซึมเข้ามาตามวงกบหน้าต่ืาง เล่นเอาน้ำเจิงนองไปเต็มห้อง จึงเรียกช่างมาซ่อม ... ไอ้เราก็คิดว่า "อ้อ ก็คงมาหารูรั่วและอุดซะ ไม่งั้นก็ยิงซิลิโคลนยาตามแนววงกบมันซะเลย น้ำก็ไม่เข้าแล้ว" แต่ไม่ใช่ครับ ผิดถนัด ที่นี่มีวิธีที่เหนือเมฆแบบสุด ๆ ทายให้ตายก็ไม่ถูกครับ สิ่งที่คุณช่างทำคือ สกัดพื้นหินอ่อนในห้อง หินอ่อนนะครับ สกัดเป็นร่องให้น้ำไหลซะ พร้อมเจาะกำแพงเป็นรูให้น้ำไหลออกไปข้างนอก ... (เข้าใจว่า พี่ท่านนั้นคงห้ามไม่ทัน หรือมาพบเอาสภาพสุึดท้ายหลัง "ซ่อม" เสร็จแล้ว) สมควรนั่งกุมกะโหลกและหัวเราะอย่างบ้าคลั่งให้กับโชคชะตาไหมครับ ??? ไม่รู้เอาอวัยวะส่วนไหนกลั่นกรองความคิดแบบนี้ออกมา เห่อ ...

การจัดเลี้ยงแบบบุฟเฟ่ต์ที่อินเดีย มีวิธีการนับจำนวนผู้เข้าร่วมงานที่น่าอัศจรรย์ (จริง ๆ แล้วน่าฉงนมากกว่า) ซึ่งหากนับได้เกินจากจำนวนขั้นต่ำที่ตกลงไว้เท่าใด ก็จะคิดเงินเพิ่มมากขึ้นตามจำนวนนั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติครับ โรงแรมบางแห่งในไทยก็ทำเช่นนี้ แม้บางโรงแรม (ส่วนใหญ่ที่ผมเจอ) จะนับเพื่อแจ้งลูกค้าเจ้าของงานเท่านั้นว่า อาหารอาจจะไม่พอ จะให้เตรียมอาหารเพิ่มเติมจากที่ตกลงหรือไม่ ซึ่งเหตุการณ์อาหารขาดจะเกิดได้ก็จะต้องมีจำนวนแขกเกินพอสมควรเลยนะครับ เพราะปกติโรงแรมจะเผื่ออาหารไว้ประมาณ 10% อยู่แล้ว 

สิ่งที่พิเศษสำหรับประเทศแห่งนี้ คือ การใช้วิธีการนับจำนวนจานครับ (คิดได้??) เช่น สมมติจำนวนต่ำสุดตกลงกันไว้ทีื่่ 200 คน ทางโรงแรมก็จะนับจำนวนจานมาวางไว้ที่ไลน์บุฟเฟ่ต์จำนวน 200 จานเป๊ะ ไม่ขาดไม่เกิน นับแล้วนับอีก เดินผ่านไปมาเดี๋ยว ๆ ก็นับ จนกว่าจะถึงเวลาเริ่มงาน แต่ถ้าจานหมดขอเพิ่มได้ครับ แต่นั่นคือค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามจำนวนที่ขอเพิ่ม ... แปลว่า สมมติฐานคือ คนในงานแต่ละคนจะต้องใช้จาน ๆ เดียวเท่านั้น จะตักกี่ล้านรอบ อาหารผสมกันในจานจนเละขนาดต้องเลียให้จานสะอาดเพื่อใส่อาหารใหม่ ก็ต้องใช้มันจานเดียวเท่านั้น (แต่จริง ๆ แล้ว เรื่องอาหารผสมกันเละเทะ รู้สึกจะไม่เป็นประเด็นสำหรับคนที่นี้ส่วนใหญ่นะครับ) เพื่อให้จำนวนจานสะท้อนจำนวนผู้เข้าร่วมงานจริง ๆ ถ้าทำแบบที่เราคุ้นเคย คือ ตักมันหลายรอบ ตักไปเรื่อย ลุก ๆ นั่ง ๆ และที่สำคัญคือ เปลี่ยนจานกันตลอด เจ้าภาพมีเจ๊งครับ

ผลที่ตามมาจากการนับจานก็คือ ผมเชื่อว่าทางโรงแรมจะต้องเตรียมอาหารแบบเหลือเฟือแบบไม่คะเนตามจำนวนที่ตกลงกัน ผนวกกับพื้นฐานความเขี้ยวลากดินคือ ไม่ยอมให้ 10% ที่ต้องทำเผื่อเสียไปฟรี ๆ แบบไม่มีรายได้เพิ่ม เพราะไม่เช่นนั้นก็ควรจะให้จานเราเพิ่ม 10% ถูกไหมครับ แฟร์ ๆ 

ต่อมา ผลจากการไม่คะเนจำนวนอาหารที่เหมาะสมตามจำนวนขั้นต่ำที่ตกลงก็คือ การจัดเลี้ยงที่นี่ คุณไม่สามารถห่ออาหารที่เหลือกลับบ้านได้ แม้คุณจะเป็นเจ้าของงาน ซึ่งผมเชื่อว่า เป็นเพราะหากสามารถนำอาหารกลับได้โรงแรมอาจจะขาดทุน เพราะมันคงทำเกินออกมามั่ว ๆ ซั่ว ๆ ตามสไตล์ โดยโรงแรมให้เหตุผลว่าที่ต้องทำแบบนี้เพราะไม่ต้องการให้อาหารขาด (ตลกละมรึง คิดได้ไง) คาดว่า จริง ๆ เวลาลูกค้าที่เป็นแขกด้วยกันมาจัดงานอาจจะเจอปัญหากินไม่หยุด หรือแอบเอากลับบ้าน แล้วมากล่าวหาว่าโรงแรมเตรียมอาหารน้อย ไม่เป็นไปตามที่ตกลง และอาจจะพยายามลดจำนวนเงินที่ต้องจ่ายโรงแรมลง ซึ่งก็อีกแหละครับ ผมว่ามันสะท้อนความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันและความพร้อมจะเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นของคนพวกนี้ (ผมคิดว่า การที่ตู้เย็นที่นี่มาพร้อม feature เสริมคือ กุญแจล็อคตู้ในตัว ก็น่าจะสะท้อนความเป็นจริงของสังคมที่คนต้องปากกัดตีนถีบและพร้อมจะเอาเปรียบผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของตนเสมอ)

สรุป วิธีคิดแบบนี้ มันไม่ใช่ เป็นวิธีแก้ปัญหาแบบแกน ๆ ซึ่งคงใช้ได้กับคนประเภทเดียวกันเท่านั้น แถมเวลาไปต่อรองให้ไม่นับจำนวนจาน ขอแค่ให้เตรียมอาหารมาตามที่ตกลงพร้อมขั้นต่ำ +10% อีเซลมันยังมีหน้ามาบอกว่า "โอ้ ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน เป็นครั้งแรกเลย เรานับจานกันมาตลอด ทุกที่ในประเทศอารยธรรมเก่าแก่ (แต่หยุดเจริญไปแล้วหลายสิบปี) แห่งนี้ก็ทำเช่นนี้" ซึ่งถ้าโรงแรมมันนับ เราก็ต้องไปนับด้วยอีก เพราะ เหมือนที่คำโบราณว่าไว้ "ให้ตีแขกก่อนงู" ใครจะไว้ใจครับ

สรุป สวดส่งให้ไปที่ชอบ ๆ ... พร้อมแหกปากไล่หลังไปว่า "เห้ย เปิดตาดูโลกบ้าง มรึงไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาลโว้ย เอาแค่ทวีปเอเชียมรึงยังเป็นศูนย์กลางไม่ได้เลย สวัสดี"



t.(-_-")



มินิกาพย์ : สงครามยึดพื้นที่ (ครัว++) - สงครามตลอดกาล

ความเดิมตอนที่แล้ว ... หลังจากปฏิบัติการ "Smoke Their Arses" ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จนเกือบจะเชื่อว่าหมด หมดแน่ ๆ ชนะอย่างเด็ดขาดแน่นอนแล้ว โดยไม่ต้องเิปิดแนวรบทางบก แต่แล้ว ข้าศึกก็ส่งหน่วยม้าเร็ว มาส่งสัญญาณ (ขี้เย้ย) ว่า สงครามยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ หึ หึ หึ จัดไปครับพี่น้อง

เปิดแนวรบทางบก - สงครามอาวุธเคมี

Note : อาวุธเคมีเป็นหนึ่งในกลุ่มอาวุธร้ายแรง หรือ weapon of mass destruction (WMD) โดยอีกสองชนิดคือ นิวเคลียร์ และอาวุธชีวภาพ จำได้ไหมครับ ตอนปี 2003 สหรัฐฯ ส่งกองกำลังบุกเข้าอิรัก เปิดสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่ 2 ภายใต้การนำของประธานาธิบดี จอร์จ บุช (คนลูก) เพื่อจัดการประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน เนื่องจากเชื่อว่า อิรักครอบครอง WMD ซึ่งนับเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ แต่สุดท้ายก็หาไม่เจอครับ หน้าแหกไปตามระเบียบ - ให้ข้อมูลเฉย ๆ นะครับ และในการปฏิบัติการของผมนี้ไม่ได้ใช้อาวุธเคมีจริง ๆ แต่อย่างใด แต่แน่นอนครับ มีแมลงสาบตายในการปฏิบัติการนี้จริง

หลังจากโดนเย้ย ผมได้หารือกับทีม เสธ. (เสนาธิการ) และหน่วยข่าวกรองเพื่อประมวลข้อมูลก่อนวางแผนการรบขั้นต่อไป ข้อมูลทำให้เราทราบว่า ระเบิดควันจะไม่ทำอันตรายต่อไข่ข้าศึก และข้าศึกบางส่วนอาจจะสามารถทนกับระเบิดควันได้ เพราะมีความอึดเป็นเกราะ ก็ขนาดมีบรรพบุรุษเป็นเพื่อนกับไดโนเสาร์มาแล้ว ไม่ธรรมดาครับ ไม่ธรรมดา

ไข่ข้าศึกมีระยะเวลาฟักเป็นตัวประมาณ 30-46 วัน แปลว่าถ้ามีไข่ที่มีอายุถึงตามนี้ ย่อมสามารถฟักได้ทุกเมื่อ !! เมื่อฟักแล้วจะโตเต็มวัยในระยะเวลา 7 วัน และจะเริ่มผสมพันธุ์ตั้งแต่เห็นโลกได้ 4-7 วัน ... ช่างเป็นวัฏจักรที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ช้าไม่ได้เลย

เราจึงตัดสินใจ เปิดแนวรบทางบกในทันที ... แต่ดันไม่มียุทโธปกรณ์ซะนี่

ตอนแรกวางแผนว่าจะวางกับระเบิด (บ้านแมลงสาบ) ซึ่งรอผู้ที่เป็นห่วงสวัสดิภาพของผมจัดหาและส่งมาใ้ห้จากประเทศไทย แต่ก็เห็นว่าเป็นยุทธวิธีที่เน้นการตั้งรับมากกว่า แต่จังหวะนี้ต้องรุกคืบอย่างเดียวเพื่อทำลายฐานที่มั่นข้าศึกให้ราบคาบครับ ต้องกวาดล้างให้หมดโดยเร็วที่สุด .ข้าศึกอ่อนแอ ต้องรีบซ้ำ"  ไม่งั้นอาจจะกลายเป็นสงครามติดพัน ยืดเยื้อ แล้วเราจะเสียเปรียบแน่นอนครับ เพราะข้าศึกสามารถสร้างกองกำลังจำนวนมากขึ้นใหม่ได้อย่างรวดเร็วอย่างน่าตระหนก อีกทั้ง ทรัพยากรเราก็ร่อยหลอไปเรื่อย ๆ ครับ ระเบิดควันก็หมดไปแล้ว ทำให้ไม่สามารถเปิดการโจมตีทางอากาศได้ซ้ำอีกในเวลาอันใกล้นี้

2 วันถัดมาผมจึงได้จัดหาอาวุธเคมีหลัก คือ ยาฉีดแบบมีหัวเล็กทะลุทะลวง โดยได้รับข้อมูลสารเคมีจากทีม เสธ. ว่า ให้เลือกใช้สารเคมีกลุ่ม Pyrethroid เช่น Cypermethrin, Permethrin หรือ Deltamethrin กว่าจะหาได้ ไม่ง่ายเลยครับ สุดท้ายได้ Deltamethrin มาพร้อมหัวรบทะลุทะลวง

เช้าตรู่วันถัด ได้เปิดแนวรบอย่างเป็นทางการ และเริ่มการรุกคืบ บุกโจมตีฐานที่มั่นทางบก เน้นเฉพาะที่ ๆ น่าจะเป็นที่มั่นของศัตรู แต่ไม่เห็นตัวนะครับ ซอกอะไรทั้งหลาย ซอกต่าง ๆ ยิ่งเป็น build-in จะมีพวกช่องต่าง ๆ ที่เราไม่รู้ว่ามีอยู่ เช่น ช่องว่างระหว่างพื้นครัวกับพื้นตู้ หรือลิ้นชัก ก็ต้องซอกแซกเข้าไปให้ได้มากที่สุดครับ เราส่งขีปนาวุธโจมตีแบบจัดเต็ม ไม่มียั้ง

ผ่านไป 1 สัปดาห์หลังการโจมตีทางบก ไม่พบหลักฐานความสูญเสียของฝ่ายตรงข้าม แต่ก็ไม่พบหลักฐานของการคงอยู่เช่นกัน

เราจึงถล่มซ้ำอีก 1 รอบ พร้อมขยายแนวป้องกันโดยการฉีดเบา ๆ ตามมุมในห้องอื่น ๆ เพื่อป้องกันการขยายแนวรบของฝั่งตรงข้าม ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดีครับ จนกระทั่ง ... จนกระทั่ง วันที่ทหารราบมือสังหารฝ่ายข้าศึกเกือบเข้าถึงตัวผมในห้องนั่งเล่น ... มันเปิดแนวรบใหม่จนได้

วันนั้นประมาณ 4 ทุ่ม ผมกำลังนอนดูทีวีอยู่ที่โซฟา กำลังเคลิ้ม ๆ จะคล้อยหลับ แต่แล้ว ก็เห็นทางหางตาว่าเหมือนมีอะไรเคลื่อนไหว ๆ ใกล้เข้ามาแล้วก็หยุด ตอนนั้น ด้วยอารมสลึมสลือ จึงคิดว่า ตาพร่าไป แต่ในบัดนั้นเอง ชั่วเสี่ยววินาที จิตใต้สำนึกก็ปลุกสติขึ้นมาว่า "เห้ย แม่งมีอะไรแน่ ๆ" เท่านั้น แหละครับ ลุกพรวดขึ้นมา มองสำรวจและจ้องเขม็ง ... เห้ย ไอ้ตัวเล็กมีลาย ซึ่งตอนนี้ยืนหยุดอยู่ห่างจากตำแหน่งหัวของผมที่นอนอยู่เมื่อชั่วอึดใจที่แล้วเพียงไม่กี่นิ้ว โอ้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หยาบคายมาก

ผมจึงได้เข้าประจัญบานแบบ close combat หรือการต่อสู้ในระยะประชิด อีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าเรารู้ตัวแล้ว จึงรีบเร่งฝีเท้าหนี แต่ไหนเลยจะทัน เรียบร้อบครับ โดนอัดกระแทกกับเบาะน็อกไปตรงนั้น (ผมไม่ได้โดนมันหรอกครับ พอดีมันดันไปหลบในร่องเบาะ ซึ่งแข็งพอสมควร จึงอัดซะ ...) ใจหนึ่งก็แบบ "เห้ย ถ้าตีเละแถวนี้ ก็สกปรกเกินรับได้" อีกใจก็แบบ "เห้ย หนีแล้ว ๆ ต้องทำอะไรสักอย่าง" ... ทันใดนั้นหลอดไฟแห่งความคิดก็ส่องประกายสว่างสุกใสขึ้นมา ประดุจหนึ่งซดซุปไก่สกัดตราแ_รนด์เข้าไป

หลังจากน็อกเจ้ามือสังหารไป และระบุตำแหน่งนอนหงายท้องของมันได้แล้ว ผมก็รุดไปขอความช่วยเหลือจากหน่วยทหารม้า (แต่ก่อนก็คือ ทหารขี้ม้าขี้ช้างออกรบ แต่เดี๋ยวนี้ก็คือ รถถัง และรถประเภทต่าง ๆ ที่ใช้ในการสงคราม) ทายสิครับ อะไร ... 3 2 1 0 ... ใช้แล้วครับ เครื่องดูดฝุ่นนั่นเอง กว่าจะรื้อออกมาและประกอบร่างเสร็จสมบูรณ์ก็กินเวลาหลายอึดใจทีเดียว ตอนนั้นรีบมากครับเพราะกลัวเจ้ามือสังหารตื่นจากนิทรา (ผมเชื่อว่ามันยังไม่ตายครับ) แล้วจะหากันไม่เจออีก แต่แล้วก็ยังไม่ฟื้นครับ ยังคงนอนแผ่หราอยู่อย่างนั้น จึงโดนซัดโฮกเข้าไปเรียบร้อย

ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่เหตุการณ์พยายามลอบสังหาร ก็ได้มีการลาดตระเวนร่วมผสมระหว่างเหล่าราบกับม้า ตลอดแนวรบห้องนั่งเล่นทุกซอกทุกมุมทุกวัน จนชุมชนแมงมุมพลอยเดือดร้อนไปด้วย (แมงมุมนี่ก็เยอะครับ และขยันเป็นบ้า ยิงใยกันอย่างเมามัน เผลอแปบ ๆ ที่ที่เพิ่งเดินผ่านได้ 10 นาที มีใยแมงมุมซะงั้น โดนเราเดินฝ่าไป ใยขาดไป พี่ ๆ แกก็ยิงกันใหม่แบบสไปเดอร์แมน ไม่มีย่อท้อ) และที่สมรภูมิเดิม (ครัว) เราก็ยังโจมตีด้วยอาวุธเคมีหลักแบบไม่หวังผลเป็ยระยะ ๆ ซึ่งล่าสุด ก็มีหลักฐานความสูญเสียเล็กน้อยของข้าศึกปรากฏให้เห็น   

ณ จุดนี้ คงยังบอกไม่ได้ว่า สงครามจะสิ้นสุดลงเมื่อใด เนื่องจากเราไม่สามารถตอกฝาโลงของมัน และยืนยันชัยชนะได้อย่างเต็มปาก อย่างไรก็ตาม มาตรการต่าง ๆ จะคงดำเนินต่อไปอย่างเข้มงวดรัดกุมเพื่อรักษาพื้นที่ยึดครองของเราเอาไว้ให้ได้ไปตลอช่วงที่ผมอาศัยอยู่

ถึงตรงนี้ หากเป็นภาพยนตร์ ก็คงเป็นแนวให้ไปคิดต่อกันเอาเอง โดยมีฉากจบประมาณ "ผมกำลังขี่เครื่องดูดฝุ่นมือถือยาฆ่าแมลงออกลาดตระเวนตามตะเข็บชายแดน และเคลื่อนห่างออกไปทุกที โดยมุ่งหน้าสู่ดวงตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้าไป ..." และก็ตัดกลับมาที่มุมมืดแห่งหนึ่ง zoom เข้าไปพบ "ไข่ข้าศึกหลายร้อยฟอง แต่ละฟองล้วนมีการเคลื่อนไหวจากภายใน" พรึ่บ จอมืด ...


~ The E N D ~
 



Monday, 17 September 2012

มินิกาพย์ : สงครามยึดพื้นที่ (ครัว) - เปิดฉากสงคราม

เปิดฉากการโจมตีทางอากาศ 


ก่อนหน้านี้ ผมได้หาข้อมูลวิธีการจัดการกะเจ้าฟอสซิลสุดอึดนี้อยู่เป็นเวลาพอสมควร ได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงและวิธีการตลอดจนจุดอ่อนของมันพอสมควร ด้วยตอนแรกอยากทำสงครามแบบรักษาสิ่งแวดล้อม ก็มีวิธีต่าง ๆ เช่น

(1) ใช้เศษอาหารและน้ำ่ตาลดักให้ลงไปรุมกินในอ่างลื่น ๆ ทาน้ำมัน ซึ่งมันจะปีนหนีไม่ได้คือ ลงไปแล้วจะไม่ได้ออกไปอีกยกเว้นบิน หนี (น่ากลัวมาก) แล้วเราค่อยจัดการเจ้าตัวยั้วเยี้ยในอ่างนั้น แต่ประเมินแล้วความเข้มแข็งของจิตใจคงไม่แก่กล้าพอ (เพิ่งทราบก็คราวนี้แหละครับว่าแมลงสาบไม่ได้ปีนเดินไต่คลานได้ทุกที่ขนาด นั้น - ซึ่งขอยืนยันว่าเป็นความจริงครับ บางตัวมาติดแหงกอยู่ในอ่างล้างจานปีนออกไปไม่ได้ ท่อก็ลงไม่ได้เพราะผมใช้ที่กรองเศษอาหารแบบละเอียด เหมือนมุ้งลวดบ้านเรานี่แหละครับ)


(2) บางแหล่งบอกว่า แมลงสาบแพ้สารทำความสะอาดที่ล้างคราบไขมันได้ เช่น น้ำยาล้างจานที่จะไปล้างไขมันที่เคลือบตัวมันอยู่ โดยเฉพาะส่วนใต้ท้อง และเมื่อโดนล้างไขมันออกแล้วมันจะจมน้ำตาย หรือสำลักน้ำตายได้ อารมณแบบน้ำท่วมปอดตายใน 2-3 ชม. เท่านั้น !! - แน่นอนครับ ผมได้ทดลองกับเจ้าตัวเล็กที่ติดอยู่ในอ่างล่างจาน โดยผสมน้ำยาล้างจานกับน้ำเล็กน้อย เอาแบบลื่น ๆ เลย แล้วราดซะ อย่างบรรจง แบบว่า ถ้าจับมาอาบน้ำให้ได้คงทำไปแล้วครับ ต่อมาก็จัดการเปิดน้ำสร้างอุทกภัยฉับพลันแบบบิ๊กแบกเอาไม่อยู่เหมือนเมื่อปลายปี 54 ซะ กะว่าตายแน่ ... ปรากฏยังเดินเล่นต่อไปได้อีก 3 วัน ก่อนจะจากโลกไป ซึ่งอยู่ดี ๆ ก็ตายครับ ไม่ได้ชันสูตร จึงไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่สันนิษฐานว่า อาจจะเพราะกินฟองน้ำ้ยาล้างจานวันนั้นเยอะไปหน่อย สำลักตายซะงั้น ไม่ก็อาจจะเป็นเพราะน้ำเต็มปอดวันนั้นพอดีครับ

(3) วิธีผสมปูนกับอาหาร เช่น น้ำหวานให้แมลงสาบกิน พร้อมเสิร์ฟน้ำต่างหาก แล้วให้ปูนไปทำปฏิกิริยากับน้ำและไปแข็งในระบบทางเดินอาหารของเจ้าหกขา ซึ่งแน่นอนครับ ตายแน่นอน แถมกลับไปตายที่รังไม่ออกมาเรี่ยราด ไม่มีอาการเมายา เมาแล้วขับ ขับถ่ายเรี่ยราดเหมือนเวลาเจอสารเคมี (เหมือนคนเมาไร้สติเลย ฮาๆๆ) นั่นแหละครับ แต่ก็จนปัญญาจะไปหาปูน เลยขอผ่านวิธีนี้ครับ

จากข้อมูลที่รวมรวบมา และหลักฐานทางกายภาพทำให้เชื่อได้ว่า เจ้าตัวอึดทั้งหลายอาศัยอยู่ตามซอกตู้ build-in หรือด้านใต้ตู้ หรือแทรกอยู่ตามรอยแตกรอยผุต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งที่ได้เปรียบทางยุทธศาสตร์อยู่มาก กำลังทางบกคงเข้าถึงได้ยาก (ยาฉีดแบบมีหัวฉีดทะลุทะลวง) ผมจึงตัดสินใจเปิดฉากการโจมตีด้วย "ระเบิดควัน" (อาทควันสำหรับพื้นที่ 36 ตารางเมตร แต่ผมจัดในพื้นที่ไม่เกิน 6 ตารางเมตร) เพื่อทำลายกำลังหลักของข้าศึกก่อนเป็นอันดับแรก โดยกำหนดเริ่มโจมตีในตอนสายของวันถัดมา (จากค่ำวันที่เจอพี่แกเดินทอดน่องสำรวจโลก) โดยให้เป็นการโจมตีแบบไม่ให้รู้ตัวล่วงหน้า (แบบที่ญี่ปุ่นทำกับสหรัฐฯ จนกองทัพสหรัฐฯ ที่ Pearl Harbor ก่อนจะมีการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการและกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางมหาสมุทรแปซิฟิกต่อมา)

อ้อ ลืมบอกไปครับ ตอนเข้าพื้นที่ไปเปิดการโจมตีทางอากาศ คุณพี่ลายพร้อยยังคงชิวอยู่บนเคานเตอร์ตอนนั้นก็ 11 โมง สายโ่ด่ง แดดส่องบั่นท้ายแล้ว ช่างกล้า !!!

3 ชม. ผ่านไปหลังเริ่มปฏิบัติการ "Smoke Their Arses" ผมก็ได้เริ่มสำรวจและประเมินความสูญเสียของข้าศึก สมรภูมิิคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นระเบิดควัน ข้าศึกแน่นิ่งสิ้นชีพให้เห็นกลาดเกลื่อน ประเมินจากสายตาแล้วร่วมครึ่งร้อยได้ ใช่ครับครึ่งร้อย ไม่มากมายอย่างที่คาดไว้ (แต่บอกใครไปก็ตกใจกันทั้งนั้น คงไม่คิดว่าในครัวอพาร์ทเมนบนชั้น 10 แห่งนี้ จะมีได้มากขนาดนั้น) แต่ก็นับว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงามเพราะเหล่านายพลระดับบิ๊ก ๆ (ขนาด) ที่เห็นกันประจำทั้งแบบลายพร้อยและสีพื้นแบบไทย ล้วนลาโลกในสนามรบ เหล่าทหารราบชั้นเลวมากมายก็มอดม้วยไปตามกัน ... หรือจะหมดแล้วจริง ๆ ???

เก็บกวาดซากเรียบร้อย เตรียมล้างคราบเลือดและพี่น้องเชื้อโรคทั้งหลาย แต่ปรากฏไม่มีเดทตอล เลยจัดคลอรีนเหลวผสมน้ำที่หาได้ในบ้าน เล่นเอาบ้านกลิ่นเหมือนสระว่ายน้ำเลยทีเดียว แต่ก็ชื่นใจครับ รู้สึกสะอาดปลอดภัย (คลอรีนระเหยเป็นอันตรายนะครับ ไม่ควรสูดดม เหมือนลูกเหม็นเช่นกัน มันสะสมในร่างกายนะครับ - แต่ตามสระว่ายน้ำ เขาใช้ในปริมาณที่ปลอดภัยครับ แต่บางทีก็ใส่เยอะเกิน)

เช้าวันถัดมา ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ เดินเข้าครัวด้วยความสบายอารมณ์ พื้นครัวสะอาดเอี่ยมอ่อง ไม่เหลือหลักฐานการสู้รบและการหลั่งเลือดที่เพิ่งเกิดขึ้นหนึ่งวันก่อนหน้า ... แต่แล้ว หลังจากสอดส่ายสายตาตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ... เห้ยยยยยยย แมร่งเอ้ยยย มีการขี้เย้ยไว้บนเตาแก็ส เหมือนประกาศกร้าวว่า "สงครามยังไม่รู้ผลแพ้ชนะไอ้น้อง"

หึ ๆ ๆ ๆ ย่อมได้ ขอมา เราก็จัดให้ บ่ ยั่นอยู่แล้ว


โปรดติดตามตอนต่อไป                                        หึ หึ หึ

มินิกาพย์ : สงครามยึดพื้นที่ (ครัว) - ปฐมบท

ปฐมบท 

เมื่อเดินทางถึงมุมไบ นอกจากสิ่งมีชีวิตแบบเรา ๆ แต่แตกต่างแล้ว (แขก) สิ่งมีชีวิตอันดับถัดมาที่ได้ปะหน้ากันก็ คือ แมลงสาบ เจ้าฟอสซิลมีชีวิตวิวัฒนาการผ่านพ้นวิกฤตต่าง ๆ นานามาได้อย่างน่าอัศจรรย์ หากมี institutional memory ป่านนี้ เจ้าแมลงสาบคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ครอบครองความรู้และความลับทั้งปวงของโลกนี้ไว้ กลับเข้าเรื่องต่อครับ วันนั้น ได้เจอะแมลงสาบหน้าตาคุ้นเคยสายพันธุ์ใดไม่ทราบได้ แต่หน้าตาเหมือนที่พบเห็นในไทย แต่คงถือสัญชาติอินเดีย เดินไต่อยู่บนด้านข้างของรถตู้ (ที่มารับผม) อย่างสบายใจ เหมือนเดินเล่นในสวนหลังบ้าน ... สุดท้ายเจอบาทาพิฆาตของพี่ที่มาัรับ เขี่ยตกจากตัวรถไป ก่อนที่พี่คนนั้นจะหันมาบอกว่า เดี๋ยวก็ชิน ต้องอยู่ร่วมกันไปอีกนาน  {-_-"} เห้ยยยย...เอาจริงดิพี่

และแล้ววันที่ต้องเผชิญความจริงก็มาถึง เมื่อย้ายออกจากโรงแรมที่พักเข้าสู่อพาร์ทเมนที่จะเป็นบ้านไปอีกไม่ต่ำกว่า 1 ปี 11 เดือน ... ห้องอยู่ชั้น 10 ครับ (ซึ่งชั้น 10 ตามระบบอังกฤษ ก็จะเป็นชั้นที่ 11 แบบบ้านเราครับ คืือ ที่นี่จะเริ่มชั้นแรกที่ 0 หรือ G ก่อนจะเป็น 1 2 3 4 5 ...) ซึ่งก็สูงพอสมควร กะว่าคงไม่ต้องเจอหน้าเจ้าฟอสซิลเดินได้มากนัก เข้าไปวันแรกไม่ทันได้ดูอะไร ก็ต้องรีบออกเดินทางไปต่างจังหวัด จึงยังไม่ได้ฤกษ์พบปะผู้ร่วมอาศัยทั้งหลาย (ตอนนั้น ก็กะว่ามันคงมีแน่แหละครับ แค่ขอไม่ให้เยอะเป็นพอ)

3 วันผ่านไป เข้าบ้านจริง ๆ เป็นครั้งแรก ... ตอนนั้นเป็นเวลา 21.30 น. มืดกำลังดี วางสัมภาระเรียบร้อยก่อนมุ่งหน้าเข้าครัวเพื่อหาน้ำดื่ม ... เปิดประตูด้วยความระมัดระวัง แบบไม่ให้มีสิ่งชีวิตใดเล็ดรอดออกไปได้ ยื่นมือเข้าไป...ตั้งสติ เปิดไฟ ... พรึบ ......  นั่นไง แมร่งเอ้ยยย 3 ตัวรอทักทายอยู่เลย (พวกนี้ตัวเล็ก ๆ เห็นเรียกกันว่า กะจ๊ว) แต่พวกนี้ ดีครับ พอคบได้ ไล่ก็ไป ไม่หน้าด้าน ไม่มีหึกเหิมวิ่งเข้าใส่ กระทืบเท้าหน่อยก็วิ่งหลบจ้าละหวั่นและหายตัวไปในบัดดล จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรครับรับสภาพ ต่างคนต่างอยู่ละกัน

สองสัปดาห์ต่อมา ด้วยความเชื่อว่าแมลงสาบ (และแมลงรำคาญอื่น ๆ)เกลียดกลิ่นลูกเหม็น และมันต้องขึ้นมาจากท่อน้ำทิ้งที่พื้นครัวแน่นอน จึงไปจัดแจงหาลูกเหม็น และกระถางพลาสติกแบบไม่มีรูที่ก้น แล้วจัดการเอาลูกเหม็นเป็นกำมือวางบนตะแกรงท่อก่อนครอบด้วยกระถางกะว่า ไม่มีทางขึ้นมาได้แน่นอน ฮา ๆ ๆ ๆ  นอกจากนี้ ตะแกรงดักเศษอาหารที่อ่างล้างจาน ผมยังเอาลูกเหม็นโยนไว้อีก 2 ภูมิใจในชัยชนะเพียงเพื่อจะได้รู้จักความล้มเหลวและพ่ายแพ้ในคืนถัดมาเท่านั้น ... พี่ท่านยังไม่เห็นหายหน้าหายตาไปเลย !

กลับถึงบ้านทุกวัน วันไหนเปิดเข้าไปในครัวหลังฟ้ามืด ก็จะได้พบปะเพื่อนฝูงทั้งสามเป็นนิจ ตัวนึงติดอยู่ในอ่างล้างจานเดินเล่นไปมาขึ้นไม่ได้ แต่ก็มีอาหารอิ่มหนำสำราญไปทุกวัน จนกระทั่งผ่านไป 1 สัปดาห์ ... เจ้าตัวในอ่างจึงได้ลาจากโลกนี้ไป ส่วนที่เหลือ ยังคงวนเวียนและเติบโตขึ้นเป็นลำดับ และยังปะหน้ากันเป็นประจำ แต่ก็ว่าง่ายเหมือนเดิมครับ แต่ปัญหาก็คือ มันไม่ได้มีแค่เจ้าสองตัวเดิมอีกต่อไป แต่มากันเหมือนมีปาร์ตี้ย่อม ๆ ทุกคืนไป !!! หึ ๆ ๆ

และแล้ววันที่เส้นความอดทนและความปรารถนาจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ นกพิราบขาวโบยบิน ก็ขาดผึ่งลง นกปีกหักตกลงพื้นดังแอ้กใหญ่ ... มันจะหยามกันเกินไปแล้วเว้ยพี่น้อง !!! พี่ลายพร้อย ขนาดประมาณหัวแม่โป้ง เล่นออกมาเดินทอดน่อง (ขอย้ำว่า ทอดน่อง) ขนฟรึมทั้ง 6 ของพี่แก บนเคาน์เตอร์ครัวอย่างไม่แยแสและไม่เกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน เปิดไฟ เดินเข้าไปยืนจ้อง ส่งเสียงขับไล่ พี่แกก็ยังทำหูหนวกตาบอด ประดุจโลกนี้มีแต่ฉันเพียงผู้เดียว ยังคงเดินชิว สบายอารมณ์ ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับถึงสิ่งที่เปลี่ยนไปแต่อย่างใด แถมยังชิวเดินส่ายหนวดสำรวจไปมาอย่างใจเย็น พี่แกไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ถึงขนาดเชื่อว่าประสาทสัมผัสตายด้านเพราะ ผมสามารถเอากระป๋องพลาสติกใสไปครอบพี่แกไว้ได้โดยละม่อม คือ จะเอามือจับเลยยังได้ครับ แต่ยังไม่กล้าพอ 

แม้จะโดนครอบแล้วพี่ลายก็ยังนิ่งมาก นิ่งสนิท ไม่มีอาการตาลีตาเหลือกให้เห็นเหมือนเวลาแมลงสาบตกใจแตกฮือวิ่งกระเจิงแบบไร้ทิศทางเหมือนที่เคยเห็น มีการปีนสำรวจเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนจะลงมายืนนิ่ง ๆ ต่อตามสไตล์ นี่ถ้าฮัมเพลงกับคาบไปป์ได้ คงทำไปแล้ว หึ ๆ ๆ ๆ เจ้าตัวอื่นยังไล่ไป แต่วันนั้นก็มีตัวหนึ่งเป็นน้องลายขนาดประมาณ 1 ข้อปลายของนิ้วก้อย ประเมินแล้วคงเป็นเพียงทหารราบชั้นเลว หรือเบี้ยตามภาษาหมากรุก แต่หึกเฮิมเด็ดเดี่ยวมาก ถ้าเป็นหนังจีนคงต้องถามว่าไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหนจึงกล้าวิ่งเข้าใส่ผม ... เรียบร้อยครับ สะบัดไม้กวาดส่งไปอัดขอบตู้เป็นการสั่งสอน ก่อนจะซัดอีกรอบเพราะยังไม่ได้สติ วิ่งเข้าใส่ผมอีก โดนครั้งที่ 2 เลยหายหน้าไปไม่เห็นอีก จากนั้น ผมจึงปล่อยพี่ลายพร้อย ซึ่งก็ยังชิวได้ใจ ค่อย ๆ เดินสำรวจพื้นที่ต่อตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

คงถึงเวลาต้องทำสงครามชี้ชะตาและยึดพื้นที่ (คืน) กันสักที !!!


โปรดติดตามตอนต่อไป                             ***ะา.(-_-")

Saturday, 8 September 2012

เข้า-ออกมุมไบทางอากาศ (ขาสุดท้าย - bye bye มุมไบ / อินเดีย)

ขาสุดท้ายก็คือขาออกจากมุมไบกลับประเทศไทย หรือสวรรค์นั่นเอง หลยคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ใครได้มาอินเดีย จะรู้สึกรักประเทศไทยขึ้นอีกมาก ทุกอย่างจะเยี่ยมไปหมด ซึ่งรู้สึกได้ตั้งแต่ก้าวแรกออกจากเครื่องบิน ท่าอาศยานสุวรรณภูิมิแสนสวย ร้านสินค้าปลอดภาษี ความเป็นระเบียบ ที่รับกระเป๋าสัมภาระที่ไม่แออัด มีแสงสว่างของหลอดไฟเพียงพอที่จะทำให้รู้สึกสดใส ฯลฯ แต่ก่อนจะไปถึงสุวรรณภูมิได้ ก็จะต้องผ่านพิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งก็จะคล้าย ๆ กับการเดินทางออกจากมุมไบไปยังเมืองอื่น ๆ ในอินเดีย ซึ่งได้แบ่งปันประสบการณ์ไปใน "ขาที่ 2" แล้ว ครั้งนี้จึงขอบรรยายโดยสังเขป

1) อย่าลืมบัตรโดยสาร หรือสำเนาบัตรโดยสาร ถ้าเป็น e-ticket ก็พิมพ์ออกมาให้เรียบร้อยครับ เพื่อใช้เข้าอาคารขาออกเหมือนเดิม

2) หนังสือเดินทาง หรือ CI (กรณีหนังสือเดินทางสูญหายและไม่สามารถทำใหม่ได้ทัน) อันนี้ก็ใช้ตั้งแต่เข้าอาคารขาออกครับ

3) ขาออกระหว่างประเทศ สามารถเชคอินที่เคานเตอร์ได้เลย ไม่ต้องลากกระเป๋าไปแสกนแต่อย่างใด และหากใครต้องการห่อสัมภาระด้วยฟิล์มพลาสติก (plastic wrap) ก็ีมีให้บริการครับ (ขาภายในประเทศก็มีครับ)

4) เชคอินแล้ว อย่าลืมขอบัตร ตม. ขาออก จากเคาน์เตอร์มากรอกให้เรียบร้อย และอย่าลืมบัตรห้อยกระเป๋าเหมือนเดิมครับ ห้อยให้ครบทุกชิ้น

5) ขั้นต่อไปคือ ตม. ครับ ก็ไปต่อคิวตามระเบียบ ไม่มีอะไรพิสดารครับ ปกติจะมีเจ้าหน้าที่นั่งคอยชี้ว่าให้เราไปต่อแถวไหน โดยดูจากจำนวนคนแต่ละแถวและประเภทหนังสือเดินทางที่ถือครับ แต่เราสามารถตัดสินใจต่อแถวใดก็ได้นะครับ (แถวสำหรับชาวต่างชาตินะครับ แต่บางทีมันก็มั่ว ๆ นะครับ ต่อแถวไหนก็ได้) เพราะบางทีคุณเจ้าหน้าที่ก็จิ้มมั่วครับ

6) ผ่าน security check อันนี้แถวจะยาวมากถึงยาวที่สุด แบ่งชายหญิงเช่นกัน ก็ทนหน่อยนะครับ ผ่านไปได้ก็จะได้ประทับตราที่บัตรห้อยกระเป๋า และ boarding pass เหมือนเดิม แน่นอนครับ ถูกลูบคลำกันถ้วนหน้า แต่ไม่ต้องถอดเข็มขัด / รองเท้าเช่นกัน

7) ผ่าน security check ไปได้ ก็จะได้ลงบันไดเลื่อนมาสู่ร้านสินค้าปลอดภาษี ซึ่งเดิน 10 นาทีก็ทั่วแล้วครับ แถมสินค้าก็ไม่มีอะไรมาก ราคาบางอย่างเท่าที่ดู ก็ไม่ถูกกว่าที่ไทยครับ และบางร้านราคาก็เท่าข้างนอกหรือแพงกว่านะครับ คือไม่ได้เป็นร้านปลอดภาษีนั้นเอง เช่น Pavers England (รองเท้าหนัง) หรือ Samsonite (กระเป๋าสัมภาระและเครื่องหนัง - Samsonite ที่นี่จะมีผลิตภัณฑ์เครื่องหนังด้วยครับ เช่น รองเท้า เข็มขัด กระเป๋าเอกสารขนาดต่าง ๆ ฯลฯ made in India) นอกจากนี้ ก็จะมีร้านเครื่องประดับขนาดใหญ่ ซึ่งผมก็ได้แต่ดูอยู่ข้างนอกครับ

8) เดินวนไปวนมาหลายรอบแล้วก็ไม่มีหนทางละลายทรัพย์ได้ (ซึ่งก็ดีแล้ว) ก็ได้เวลาหาที่นั่งครับ และแล้วก็เพิ่งสำเหนียกว่าทำไมมันหายากแบบนี้ แขกนั่งเต็มไปหมด หายากหาเย็น จนสุดท้ายต้องไปเดินวนดูของอีกหลายรอบ พร้อมกับสอดส่ายสายตาหาที่นั่งไปด้วย สุดท้ายก็ได้ครับ หลังเหลือเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงจะต้องขึ้นเครื่อง (คือ ผมอาจจะเรื่องมาก ไม่อยากนั่งติด ๆ กับแขกน่ะครับ เลยเดินทางที่ว่าง ๆ โล่ง ๆ นานหน่อย)

9) ขึ้นเครื่องกลับบ้าน ... ก็ตรวจ boarding pass (จริง ๆ ไม่ได้ตรวจหรอกครับ ฉีกโลด) แล้วก็มีเจ้าหน้าที่มาตรวจตราประทับ security check เหมือนเดิม ก่อนจะให้เราเดินขึ้นเครื่องไปได้

10) เมื่อขึ้นเครื่องไปแล้วก็จะเหมือนขาออกมามุมไบครับ ความโกลาหลจะเริ่มขึ้น คุณแอร์ก็รับบทหนักเหมือนเดิม ส่วนเรา นอนดีกว่าครับ เช้าวันรุ่งขึ้นจะได้ถึงประเทศไทยอย่างสดชื่นแจ่มใสครับ

ปล. แขกจะนิยมถือสัมภาระขึ้นเครื่องเยอะมาก เพราะฉะนั้นเรารีบขึ้นเครื่องหน่อยก็ดีครับ เว้นแต่ไม่มีของอะไรที่จะต้องแย่งที่วางกับแขกครับ เพราะหากคุณต้องวางของห่างออกไปแล้ว ขาลงคุณอาจจะต้องรอแขกลงกันหมด หรือมีคนขวางทางให้ถึงจะได้้มีโอกาสไปหยิบนะครับ (ถ้าใจเย็นได้ก็สบาย ๆ ครับ) เพราะแขกเป็นชนชาติที่เหมือนกับแข่งกันลงเครื่องบินครับ รอไม่เป็น หยุดให้ทางไม่เป็น ต้องแทรกออกมาเท่านั้น แล้วต้องแทรกแบบ "ก็ตรูจะไปอ่ะ มรึงจะทำไม" ไม่งั้นก็รอไปครับ สำหรับผม รอจังหวะเอาครับ ไม่รีบ ไม่อยากเบียดกะแขกโดยไม่จำเป็น

ท้ายสุดจริง ๆ อย่าลืมเช็คกลิ่นตัวเองนะครับ เพราะคนไทยที่มารับอาจผงะ เซถอยหลังได้ทีเดียว

รักเมืองไทยเพิ่มมากขึ้นไหมครับ ???


- คิ . ด . ถึ . ง . ป . ร . ะ . เ . ท . ศ . ไ . ท . ย -


Thursday, 6 September 2012

เข้า-ออกมุมไบทางอากาศ (ขาที่ 2 - ขาในประเทศ)

ขาที่ 2 - ขาในประเทศ

การบินไป-มาภายในประเทศย่อมยุ่งวุ่นวายน้อยกว่าระหว่างประเทศแน่นอนอยู่แล้ว และที่อินเดียก็เช่นเดียวกันครับ โดยสิ่งที่จะขาดไม่ได้เลย นอกเหนือจากหนังสือแสดงตน เช่น บัตรที่ทางการอินเดียออกให้ หรือหนังสือเดินทาง หรือ CI ที่ทางการไทยออกให้แล้ว ก็จะต้องติดบัตรโดยสาร หรือสำเนาบัตรโดยสารไปด้วยทุกครั้ง เพราะมันคือตั๋วเข้าสู่อาคารผู้โดยสารขาออกของคุณ ไม่มีตั๋ว ไม่ให้เข้านะครับ เจ้าหน้าที่อินเดียจะยืนรออยู่ทุกประตูทางเข้าอาคารขาออกเพื่อตรวจตั๋วและหนังสือแสดงตน เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะเดินทางวันนั้นจริง ๆ ญาติสนิท มิตรสหายที่ไปส่งก็จะส่งได้แค่นั้นครับ เข้าอาคารไม่ได้

อีกอย่างคือ กะเวลาให้พอดี ๆ นะครับ ไปก่อนนาน ๆ ก็ไม่ให้เข้านะครับพี่น้อง เวลาที่ควรไปถึง คือ ประมาณ 1 - 1 ชม. ครึ่ง สำหรับภายในประเทศ (และ 2 ชม. ครึ่ง สำหรับระหว่างประเทศ) บางครั้งอาจจะต้องไปนั่งรอที่ Gate นานหน่อย (ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจให้เดินดู หรือละลายทรัพย์ครับ) แต่เอาชัวร์ไว้ดีกว่าครับ

ผ่านด่านชั้นแรกเข้าไปได้ ด้วยความที่เป็นสนามบินภายในประเทศ บางครั้ง คุณก็จะต้องลากกระเป๋าสัมภาระที่จะโหลดขึ้นเครื่องไปผ่านเครื่องแสกน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ (ดูผ่านเครื่องแสกน) และติดสติกเกอร์ให้ คล้าย ๆ บ้านเราสมัยก่อน โดยเครื่องแสกนอาจจะมีอยู่เพียงเครื่องเดียวครับ เช่น ที่สนามบินเมืองวาดอดรา (Vadodara) ซึ่งมีขนาดเล็ก ๆ น่ารัก ตึกสีสันสวยงามครับ)

Vadodara Airport

จากนั้น จึงไปเชคอินที่เคาน์เตอร์ตามปกติครับ ก็จะเจอสภาพมึนงง แขกเกะกะ บ้าบอคอแตกตามประสาความไม่มีระเบียบไปตามเรื่องตามราวครับ โชคดีก็อาจจะไม่ต้องเจอเรื่องน่ารำคาญให้ขุ่นข้องหมองใจ หลังจากเชคอินเรียบร้อย ให้ขอ tag ห้อยกระเป๋ามาตามจำนวนของที่เราจะถือขึ้นเครื่องครับ เช่น กระเป๋า 1 ใบ ถุงหิ้ว 1 ใบ กล้องคล้องคอ 1 ตัว ก็เอามา 3 แผ่นครับ (ขอที่เคาน์เตอร์เชคอิน)

อันนี้ เพื่อให้นึกภาพออกครับ ปกติที่เคานเตอร์เชคอินจะมีวางไว้ให้หยิบอยู่แล้ว หากลืมจริง ๆ สนามบินบางแห่งจะมีวางไว้ตรงแถว ๆ ที่เราต่อแถวเพื่อผ่าน security check ครับ ก็หยิบมาห้อยกระเป๋าให้เรียบร้อยก่อนผ่าน security check ครับ

จากนั้นจึงไปผ่าน security check ซึ่งที่นี่จะแบ่งชาย หญิงชัดเจนครับ แยกคิวกันเลย ทางหญิงก็จะมีเจ้าหน้าที่หญิงเป็นผู้ปฏิบัตหน้าที่ครับ เจ้าเครื่องตรวจจับโลหะที่นี่ตั้งค่าไว้ไวมาก (sensitive มาก) โลหะติ่งเดียวก็ร้องครับ ก็คงเหมือนที่ไทย ทุกคนจึงต้องมาผ่านมือเจ้าหน้าที่แขกอีกครั้งทุกคราไป ก็ลูบ ๆ คลำ ๆ กันไปตามเรื่อง ส่วนใหญ่ก็ไม่เจออะไรหรอกครับ ในส่วนของ ญ ก็จะเชิญไปถูกลูบคลำในห้องเล็ก ๆ คล้ายกับห้องลองเสื้อผ้าแบบรูดผ้าปิด ซึ่งก็จะมีประจำอยู่ตรงนั้นครับ (คนลูบก็เป็นหญิงครับ แต่ลูบไม่มีเกรงใจนะครับ สตรีไทยบางท่านบ่นอุบว่าล่อซะหมด ไฟหน้ายังไม่เว้น) แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องขนาดถอดเข็มขัด / รองเท้าให้วุ่นวายเหมือนที่สุวรรณภูมิ สำหรับสิงอมควันทั้งหลาย ไฟแช็กใส่กระเป๋าถือนี่ไม่รอดนะครับ ได้ทิ้งหมดแน่นอน แต่ไม้ขีดไฟอาจผ่านได้  อ้อ ลืมบอกไป ให้ถือหนังสือแสดงตน กับ boarding pass ไว้กับตัวนะครับ


พอผ่าน security check เรียบร้อย เจ้าหน้าที่จะประทับตรา (ดูตัวอย่าง ตามรูป) บน tag ที่ห้อยไว้ และจะประทับตราที่ boarding pass ของเราหลังลูบคลำแล้วไม่พบอะไร พอผ่านฉลุยมาแล้วก็ระวังอย่าให้ tag ขาดหลุดหล่นหายนะครับ เพราะจะมีการตรวจอีกครั้งก่อนขึ้นเครื่อง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของทุกท่านเองนะครับ (อินเดียระวังเรื่องการก่อการร้ายมาย)

ขั้นต่อไปคือ หาที่นั่งเพื่อรอขึ้นเครื่องครับ จะเดินเล่นละลายทรัพย์ไปพลางก็พอมีทางเลือกให้ได้ดูชมเล็ก ๆ น้อย ๆ ราคาแพงกว่าข้างนอก (ก็แน่อยู่แล้วครับ) จากนั้น ก็นั่งรอ พร้อมตื่นตัว อาจมีการเปลี่ยนประตูทางออก หรือ เกท แบบไม่ทันตั้งตัว ดูให้ดีครับ ดูเป็นระยะ ๆ แต่จริง ๆ ก็ไม่น่ากลัวมากครับ เพราะสนามบินเล็ก อะไร ๆ ก็อยู่ใกล้ ๆ กันไปหมด เว้นแต่คุณจะสมาธิหลุด สติขาดจริง ๆ ถึงจะพลาดได้หากมีการเปลี่ยนเกท ผมว่า การหาที่นั่งเพื่อรอขึ้นเครื่องยังยากกว่าอีกครับ

Boarding Time !! ก็เดินผ่านเคานเตอร์ แสดง boarding pass ให้เจ้าหน้าที่สายการบินชม ถัดมาจะเป็นเจ้าหน้าที่ security อีกครั้ง คุณก็ต้องแสดง boarding pass ที่มีตราประทับ พร้อมตราประทับบน tag ที่คล้องกับกระเป๋า ฯลฯ ของคุณ จากนั้นจึงจะเดินออกจากเกทไปขึ้นรถบัส เพื่อไปขึ้นเครื่อง ดูป้ายดี ๆ นะครับ เพราะออกจากอาคารไปแล้วคนจะออ บัสจะมางง ๆ แต่จะมีเจ้าหน้าที่คอยเอาป้ายมาตั้งว่า รถบัสที่กำลังจอดนี้สำหรับผู้โดยสารที่จะบินไปที่ไหน หน้าบันไดขึ้นเครื่องจะมีคนรอฉีก boarding pass ของคุณ เป็นอันจบพิธีกรรม ได้ขึ้นเครื่องโดยสวัสดิภาพ  (บินภายในประเทศไม่ค่อยได้เห็นงวงครับ จะเป็นรถบัสซะส่วนใหญ่ ถ้าโชคดีได้ใช้งวง ก็วุ่นวายตามปกติ แต่ไม่ขนาดขึ้นบัสครับ)

ที่นั่งบนเครื่องก็จะขนาดพอนั่งได้สำหรับคนไทยขนาดมาตรฐาน แต่ถ้านั่งติดแขกแล้วล่ะก็ ก็จะมีการล่วงล้ำเขตแดนกันให้เป็นที่น่าหงุดหงิดใจ แต่ก็ขอให้คิดว่า "แปบเดียว ๆ ๆ ๆ" ท่องไว้ครับ (แต่บางเส้นทางก็ไม่แปบเดียวนะครับ เช่น จากมุมไบไปกรุงนิวเดลี ก็ 2 ชม. ครับ ก็ทำได้อย่างเดียว คือ ทำใจ) ส่วนอาหารที่เิสิร์ฟบนเครื่องก็ขึ้นกับระยะทางบินและสายการบินนะครับ จึงจะไม่ขอกล่าวถึง

ที่สำคัญคือ เก็บรักษา boarding pass ไว้ให้ดีครับ สนามบินปลายทางบางแห่งจะมีคนคอยตรวจครับ (งง เหมือนกันครับ ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าตรวจทำไม แต่หลังจากพยายามหาคำอธิบาย ก็ได้ข้อสันนิษฐานมึน ๆว่า อาจจะเป็นเพราะ สนามบินมีขนาดเล็ก ผู้โดยสารลงเครื่องแล้วสามารถเดินจากรันเวย์เข้าอาคารผู้โดยสารได้เลย จึงต้องมีเจ้าหน้าที่มาตรวจก่อนเข้าอาคารว่าเป็นผู้โดยสารจริงหรือไม่ - แต่ก็ไม่รู้ว่า ถ้าไม่ใช่ผู้โดยสาร จะเป็นใครไปได้ - อ้อออ... กัปตันกับคุณแอร์ นั่นเอง - แล้วจะตรวจทำไมนะ ?!?!) และก็ไม่รู้ว่าถ้าทำหายไปแล้ว ไม่มีให้ตรวจจะเป็นยังไง ... ใครรู้บอกด้วยครับ

หลังจากนั้นก็รอกระเป๋า และออกเดินทางไปยังจุดหมายของทุกท่านครับ

เช่นกัน หากมีรถมารอรับก็เป็นลาภอันประเสริฐ ถ้าไม่มีก็สู้ต่อไปครับ  แต่พึงระวังนะครับ อยู่เมืองใหญ่คุณอาจจะใช้ภาษาอังกฤษได้ แต่ออกไปต่างจังหวัดเนี่ย หายากนะครับ ที่หาง่ายและเจอแน่ ๆ คือทำเหมือนเข้าใจแล้วพาเราไปโผล่โลกไหนก็ไม่ทราบได้ ดังนั้น จัดการไว้ล่วงหน้าจะดีกว่าครับ


^ ^ ^\(-.-)/^ ^ ^

เข้า-ออกมุมไบทางอากาศ (ขาที่ 1 - ขาเข้าจากไทย)

ขาที่ 1 : ขาเข้าจากไทย

ขาที่ 1 นับได้ว่าเป็นขาที่มึนน้อยที่่สุดสำหรับเรา ๆ แต่สำหรับคุณแอร์ก็คงจะมึนน่าดูชมพอ ๆ กับขาออกจากเมืองมุมไบ เพราะ พี่น้องชาวอินเดียชอบเล่นเก้าอี้ดนตรีกันมาก โดยเริ่มตั้งแต่เครื่องยังไม่ขึ้น จนกระทั่งก่อนเสิร์ฟอาหาร แล้วทำไมการเล่นเก้าอี้ดนตรีจึงทำให้คุณแอร์มึนถึงขนาดหน้าบูด บ่นงุบงิบ ๆ น่ะเหรอครับ  ก็เพราะ พี่น้องชาวอินเดียมักจะสั่งอาหารพิเศษล่วงหน้าครับ โดยคุณแอร์จะมีข้อมูลว่า ผู้โดยสารชื่อนี้ นั่งที่เก้าอี้หมายเลขนี้ สั่งอาหารพิเศษ ก็ที่เราเห็นคุณแอร์ถือกระดาษพร้อมปากกาเดินตรวจสอบกับผู้โดยสารบางคนก่อนเครื่องขึ้นนั่นแหละครับ แต่คราวนี้พี่น้องเล่นไม่นั่งที่ตามที่ตัวเอง
คุณแอร์ก็มึนซิครับ แล้วหาตัวกันง่าย ๆ ที่ไหนครับ

บางครั้งการเล่นเก้าอี้ดนตรีอาจกระทบชิ่งมาถึงเราหากเรามีที่นั่งว่างอยู่ข้าง ๆ หากรู้ว่าอาจตกเป็นเป้าก็พึงระวัง โดยเริ่มนำสิ่งของเครื่องใช้มากองไว้ที่ที่นั่งข้างเราที่ว่างให้เสมือนมีคนนั่งแต่ไม่รู้อยู่ไหน (หากจำเป็นก็มั่วไปเลยว่าจะมีเพื่อนมานั่ง) การนั่งข้างแขกนั้นมีความเสี่ยงหลายประการที่ล้วนไม่พึงประสงค์ หลัก ๆ คงเป็นเรื่องมารยาท ความเกรงใจ ขนาดตัว และกลิ่น แต่บางคนก็มารยาทดีมากนะครับ เคยเจอเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นผม ผมพยายามไม่เสี่ยงครับ

เรื่องเหล้ากะแขก แขกกะเหล้า ก็ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจร่วมกันนะครับ

เริ่มมึนเบา ๆ ตั้งแต่บนเครื่อง หลังจากไ้ด้รับใบเข้าเมืองของอินเดียจากคุณแอร์สุดสวย คนส่วนใหญ่ก็จะพุ่งไปที่แบบฟอร์มที่ต้องกรอก และลงมือกรอกอย่างเมามันและชินมือ เตรียมพร้อมสำหรับผ่านด่าน ตม. ผ่านไปได้ไม่กี่บรรทัด เครื่องหมายคำถาม ? พร้อม "อะไรแมร่งนิ %#$^$#@" ผุดขึ้นมาเต็มไปหมด เพราะต้องเผชิญกับตัวย่อที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา เช่น NRI (Non-resident Indians) PIO (Persons of Indian Origin) และ OCI (Overseas Citizens of India) ให้เราเลือกว่า เราเป็นหนึ่งในคนประเภทเหล่านี้หรือไม่ ไม่ใช่ก็เลือก NONE ครับ  ตรงนี้ไม่มีอะไรมากครับ แค่ขอแนะนำว่าให้อ่านหน้าแรกก่อน แล้วจึงมากรอกในหน้า 2 ครับ ตรงส่วนล่างของฟอร์ม จะเป็นส่วนแยกสำหรับศุลกากร จะเห็นรอยประให้ฉีกออกจากกันได้ แต่ก็ไม่ต้องฉีกครับ เดี๋ยวพี่ ตม. จัดการให้เองครับ แต่เก็บส่วน slip เล็ก ๆ นั้นไว้ให้ดีนะครับ เพราะจะต้องใช้ก่อนออกจากสนามบินครับ

เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติ Chhatrapati Shivaji โดยสวัสดิภาพ โอกาสเครื่องลงจอดช้ากว่ากำหนดการมีน้อยมาก เพราะบินตามลม กัปตันสามารถทำเวลาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่ ... จะมาเสียเวลา taxi จนจอดสนิท พร้อมให้ผู้โดยสารลงจากเครื่องอีกกว่า 20 นาที  หลังจากนั้น มุ่งหน้าด่าน ตม. และรับกระเป๋าสัมภาระ

ต้องบอกว่า เดินไกลทีเดียวไม่แพ้สุวรรณภูมิ แม้ี่ที่นี่จะมีขนาดเล็กกว่ามาก เมื่อถึงด่าน ตม. มักไม่มีปัญหาอะไร แต่บางครั้งอาจจะต้องรอคิวนาน แต่ทางการอินเดียก็พยายามแก้ไขให้สามารถให้บริการได้เร็วขึ้น พอผ่าน ตม. แล้ว ก็จะมาเจอเจ้าหน้าที่ ตม. อีกครั้ง คือ พอเราเดินผ่านเคานเตอร์มา (บินการบินไทยหรือบางกอกแอร์เวย์สให้เลี้ยวซ้าย บินเจ็ทหรือแอร์อินเดียให้เลี้ยวขวานะครับเพราะสายพานรับกระเป๋าอยู่คนละฝั่งกัน) ที่จุดออกไปยังสายพานก็จะมี ตม. มาดักขอดูหนังสือเดินทางอีกครั้งว่าได้ประทับตราเข้าประเทศแน่แล้วหรือไม่ เราก็เปิดหน้านั้นไว้ให้ดูเท่านั้นครับ และบางครั้งก็จะถามว่า เรามาสายการบินใด เพื่อให้แน่ใจว่าเราออกถูกทางครับ แต่ไม่ต้องเครียดนะครับ ถ้าออกผิดทางแน่แล้ว (ไม่มีเที่ยวบินปรากฏบนจอที่สายพาน) ก็แค่เดินย้อนกลับไปครับ ถาม ตม. ที่จุดออกคนเดิมว่า สายการบินนี้สายพานไหน เดี๋ยวเขาบอกเองครับ

อ้อ สินค้าปลอดภาษีที่นี่ เท่าที่ผมเห็นผมว่าราคาที่ไทยถูกกว่าเล็กน้อยครับ ใครลืมหิ้วของมึนเมามาจากไทยก็แนะนำให้ซื้อครับ (ถ้าคิดว่าดื่มแน่ ๆ) เพราะไปซื้อแบบมีภาษีเนี่ย ผมว่าไม่ดื่มดีกว่าครับ อ้อ แล้วก็ ชาวต่างชาติไม่สามารถใช้เงินรูปีอินเดียซื้อสินค้าได้นะครับ

รอคิวที่ ตม. นานหน่อย อย่าไปกังวลครับ เพราะสิ่งที่ช้าที่สุดคือ กระเป๋า ช้ามาก ช้าได้อีก ช้าไปเรื่อย ช้าอะไรไม่ทราบ แต่ช้าจริง ๆ เดี๋ยวนี้สุวรรณภูมิเราเร็วมาก มาเจอที่นี่เซ็งสนิทครับ แถมสายพานเล็ก คนยืนกันตรึม หาตำแหน่งแทรกยากมาก แต่ต้องลุยครับ จับจองพื้นที่ให้มั่น แขกจะให้วิชาแทรกและดันเข้ายึดพื้นที่ โดยไม่สนใจใคร เพราะฉะนั้นต้องยืนหยัดครับ หรือมีอีกวิธีที่เพิ่งเรียนรู้มา คือ ชิวครับ ไม่ต้องไปเบียดกะแขกอยู่แถวหน้าติดสายพาน อยู่แถวสองนั่นแหละครับ พอกระเป๋ามาให้บอก (แหกปาก) พวกแถวหน้าให้ช่วยครับ ท่านจะได้กระเป๋าของท่านโดยไม่ต้องออกแรง

                                        ชาวไทยผู้บอบบาง "sorry sorry that is my bag. Please help. Please help."
 สุภาพบุรุษเลือดอินเดีย "Datis yo'r bag?"
ชาวไทยผู้บอบบาง "Yes yes, the black one. Yes that one. Thank you very much sir thank you."

หรือไม่คุณก็สามารถเลือกใช้บริการพนักงานยกกระเป๋าที่จะแห่มาหาคุณพร้อมรถเข็น เสร็จแล้วก็ให้ไปสัก 50 รูปี 100 รูปี แล้วแต่ความสะดวกและปริมาณกระเป๋าครับ (ส่วนผม ผมว่า 50 รูปีก็เยอะละ แต่ไม่รู้คนรับจะว่าไงนะครับ ผมเองก็ไม่เคยใช้บริการเหมือนกัน) แต่ว่าก็อย่าให้เกิน 100 รูปีเลยครับ เสียนิสัยหมด (ไม่ได้ขัดคนที่จะให้มากกว่านี้นะครับ)  

เรียบร้อยได้กระเป๋ามาละ ต่อไปก็เข็นรถ หรือลากผ่านศุลกากรครับ คือ แม้จะมีช่องเขียว คือ ไม่มีอะไรต้องสำแดง แต่เท่าที่เห็นทุกคนจะต้องนำกระเป๋าส่งสู่สายพานเครื่องแสกน (ที่ไทยเราใช้วิธีการสุ่มตรวจ แต่ที่นี่ไม่สุ่มครับ) ตรงนี้ก็จะเป็นอีกทีที่แถวยาวมาก เพราะมีเครื่องแสกนกระเป๋าเครื่องเดียวครับ 

จบแล้วครับ ผ่านออกมาได้ จะมีศุลกากรคอยเก็บ slip เล็ก ๆ นั้น (จำได้มั้ยครับ ที่ ตม. ฉีกให้) เป็นอันจบพิธี ใครมีคนมารอรับก็เป็นลาภอันประเสริฐ ใครต้องหาแทกซี่ ก็สู้หน่อยนะครับ เอาให้แน่ว่าไปถึงที่หมายได้แน่นอน โดยสามารถใช้บริการ Prepaid Taxi Counter ได้ โดยให้ที่อยู่ไป แล้วจ่ายตังตามระยะทาง จากนั้นก็นำคูปองไปรอเรียกขึ้นรถ taxi ครับ ซึ่งมีทั้งแบบที่มีแอร์และไม่มีแอร์ให้เลือก (คนละราคา) ส่วนกระเป๋า โดยปกติแล้วก็จะมัดไว้บนหลังคาครับ

คนไทยส่วนใหญ่จะมาพักกันในเขต South Mumbai ก็จะใช้เวลาจากสนามบินประเมาณ 1 ชม. ครับ (เที่ยวบินจากไทยส่วนใหญ่มาถึงค่อนข้างดึก รถจึงไม่ติดครับ เว้น ฝนตกน้ำท่วม อันนี้มี 2 ชม. หรืออาจจะมากกว่านั้น ครับ)


Y (^.^) Y

Wednesday, 5 September 2012

ของเหลวใส ๆ ที่เรียกว่า "น้ำ"


เมื่อเอ่ยถึงน้ำในประเทศอินเดีย ภาพแม่น้ำคงคา ซึ่งก็เหมือนแม่น้ำเจ้าพระยาคือ เป็นเส้นเลือดล่อเลี้ยงประเทศอินเดียทั้งในการอุปโภคบริโภคและทางศาสนาและวัฒนธรรม ภาพการซักผ้า ชำระล้างร่างกาย และการประกอบพิธีศพตามประเพณีชาวฮินดูอาจจะไม่ได้ให้ภาพที่ดีนักเกี่ยวกับ "น้ำ" ในอินเดีย แม้จะมีที่มาจากเทือกเขาหิมาลัย น้ำใสเย็นยะเยือกเป็นแม่น้ำสายต่าง ๆ หล่อเลี้ยงอินเดีย


0 น้ำดื่ม - คนไทยมักจะกลัวว่า น้ำดื่มที่นี่สกปรกและมีเชื้อโรค จึงมักซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดหรือน้ำแร่เป็นส่วนใหญ่ แต่ที่ผ่านมาผมก็มีวัดดวงกะน้ำก็อกมาบ้าง แต่ก็ไม่บ่อย จะเป็นเฉพาะเวลาทานข้าวตามร้านอาหารบางแห่งเท่านั้น ที่ลืมตัวไม่ได้สั่งน้ำขวด แต่ก็ยังไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยจากการดื่มน้ำก็อก หรือแค่อาจจะยังดวงดีอยู่เท่านั้นเองก็เป็นได้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว น้ำที่ไม่สะอาดส่งคุณเข้าโรงพยาบาลได้ง่ายมากนะครับ 

1 ดื่มน้ำที่บ้าน - ซื้อน้ำขวดดื่มจะดีที่สุด (มีมาตรฐาน ดื่มได้ปลอดภัยครับ) แต่ถ้าที่พักมีเครื่องกรองก็พอได้ครับ แต่คงต้องดูเครื่องกรองให้ไฮโซนิดหนึ่ง คือเอาที่เราฟังสรรพคุณแล้วรู้สึกว่า น้ำที่ผ่านออกมาเนี่ยดิ่มได้ (เอาตามความรู้มากกว่าความรู้สึกนะครับ) พี่ ๆ บางท่านก็นำน้ำกรองนี้มาต้มอีกรอบก่อนเก็บไว้สำหรับดื่มครับ แต่ส่วนใหญ่ซื้อน้ำดื่มขวดใหญ่เอาครับ

2 ดื่มน้ำนอกบ้าน - เวลาไปทานอาหารนอกบ้านก็ให้สั่งไปเลยว่า "bottled water" หรือไม่ก็ "mineral water" ไปเลยครับ หากสั่งแบบขอน้ำเย็น (chilled water) ก็จะได้น้ำเย็นเทจากเหยือก ซึ่งก็จะคือน้ำก็อกแช่เย็นนั่นเองครับ แต่เชื่อว่าร้านอาหาร และโรงแรมที่พอไหวส่วนใหญ่จะใช้น้ำกรองครับ คือ ไม่ขนาด น้ำก็อกบริสุทธิ์ 100% แต่ถ้าไปร้านซึม ๆ ก็น้ำก็อกแน่นอนครับ

3 น้ำใช้ - บางคนแพ้น้ำที่นี่ ก็จะเป็นพด ๆ เม็ดเล็ก ๆ ตามผิวหนัง ผมเองก็เป็นตามหน้าครับ แต่ก็ไม่ได้แย่มาก แต่ถ้าผิวใครแพ้ง่ายก็อาจจะเป็นขนาดสิวเขรอะได้ครับ ก็เตรียมยากันให้ดี หาซื้อที่นี้ได้ครับยาแต้มสิวทั้งหลาย แถมยังมีทางเลือกมากมายด้วยผลิตภัณฑ์ของอินเดีย พี่บางท่านบอกว่า น้ำที่นี่อาบแล้วไม่สดชื่นเหมือนน้ำที่ไทย ก็อาจจะเป็นได้ว่าน้ำที่นี่อาจจะกระด้างแล้วก็สกปรกกว่าครับ

4 ปัญหาน้ำ ๆ - ปกติเราจะเจอปัญหาแดดเลียสีผ้า และทำผ้าขาวหม่น แต่อยู่ที่นี้ไม่ค่อยมีแดด ต้องอาศัยพัดลมในการตากผ้า แต่ผ้าขาวก็ยังหม่นอย่างรวดเร็ว จึงมีคนสันนิษฐานว่า อาจจะเป็นเพราะน้ำ แต่ก็ยังไม่มีการพิสูจน์นะครับ
5 ไหลไม่ไหล - การใช้น้ำในเรื่องอื่นไม่มีปัญหาอะไร จะมีเพียงน้ำประปาไม่ไหล ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ คนที่นี้ก็ต้องมีถังไว้สำรองน้ำให้พอใช้สัก 2-3 วัน แต่ส่วนใหญ่ก่อนจะตัดน้ำ จะมีการแจ้งล่วงหน้า
6 น้ำแข็ง - ที่นี่หาน้ำแข็งยากเหมือนที่เคยบอกในตอน "ดื่มสุราฯ" น้ำที่มีบริการในร้านอาหาร เต็มที่ก็คือแช่เย็นมาครับ แต่คนที่นี่ส่วนใหญ่ดื่มน้ำที่อุณหภูมิห้องครับ

ช่วงนี้ฝนเริ่มตกมากขึ้นแล้ว จริงๆ ตั้งแต่เดือน มิ.ย. - ก.ย. คือ ช่วงฤดูมรสุม ซึ่งปกติพี่ ๆ ที่นี่บอกว่าฝนจะตกแบบ non-stop เป็นสิบวัน ส่งผลให้เราเผชิญปัญหาจากความชื้นสูงและเชื้อราตามมา ซึ่งเชื้อรานี้ขึ้นทุกที่ ไม่ว่าจะตามฝาผนัง กระเป๋าที่วางนิ่ง ๆ เนคไท เสื้อผ้า ผมเจอมาแล้ว เก็บกระเป๋าไว้จะหยิบออกมาใช้ เห็นราแล้ว อึ้งไปสามกระบวนท่า ก่อนกลั้นหายใจเช็ดทิ้ง ส่วนเนคไทก็ส่งสั่งแห้งโลด ตอนนี้เลยขนกระเป๋าผ้าที่ไม่ค่อยได้ใช้กลับไทยไปหมดแล้ว นี่ขนาดว่าปีนี้ฝนตกน้อยแล้วนะครับเนี่ย
. . . /(>.<'\) . . .

Friday, 31 August 2012

อินเดียเป็นศูนย์กลางของโลก ไม่สิ ต้องจักรวาล ?!?!


หลายท่านคงเคยได้ยินว่าหลายประเทศเคยเชื่อว่า ประเทศของตนเป็นศูนย์กลางของโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศตะวันตก หรือตะวันออก โดยตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคงจะเป็นประเทศจีน ที่ตั้งชื่อประเทศในภาษาจีนมีความหมายว่า ดินแดนศูนย์กลาง (中国) ซึ่งเมื่อกาลเวลาผ่านไปประเทศเหล่านั้นก็ได้เรียนรู้ว่าไม่มีประเทศใดเป็นศูนย์กลางของโลกอย่างแท้จริง และล้วนแต่ต้องปรับตัวเพื่อก้าวไปให้ทันโลก ซึ่งในบางครั้งก็ได้มีโอกาสขึ้นมาเป็นผู้นำในเวทีโลก

แต่... สำหรับอินเดียนั้น พยานหลายปากยืนยันว่า กาลเวลาและโลกาภิวัฒน์ ไม่ได้ช่วยให้คนในประเทศแห่งนี้เข้าใจอะไรมากขึ้นเลย หากพูดแรง ๆ ก็คงหมายความว่า สื่อต่าง ๆ ในโลกความไวแสงนี้ ไม่ได้เปิดโลกทัศน์ให้กับคนที่นี้เท่าที่ควรจะเป็น คนอินเดีย (บางส่วน แต่จำนวนไม่น้อย) จึงยังเชื่อว่า ตนเองเป็นศูนย์กลางของโลก ไม่สิ คงเชื่อว่าตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลที่ยิ่งใหญ่ทีเดียว

สิ่งที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่าอินเดียคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกนั้น ก็สืบเนื่องมาจากวิธีคิดที่แสดงออกมาของคนที่นี่ ที่บางครั้งก็น่าสนใจที่จะทำความเข้าใจเพื่อหาเหตุผลและวิธีคิดเบื้องหลังการกระทำ แต่บางครั้งก็สุดจะทน และอยากจะประเคนคำเชือดเฉือนเจ็บแสบให้สาสม แต่พอจะสรุปง่าย ๆ ว่า คือ "การไม่แคร์โลก" ซึ่งบางครั้งเข้าขั้นรุนแรง คือ อะไรที่ต่างจากอินเดีย คือ ผิด คือ ประหลาด !! ทุกอย่างต้องเป็น Indian way ไม่แคร์ใครทั้งนั้น ซึ่งจะมาพร้อมคำอธิบายแบบเอาสีข้างที่หนาเป็นพิเศษเข้าถู คำอธิบายที่พอได้ยินแล้วแบบว่า "เห้ย มันไม่ใช่แบบนั้นป่าววะ คิดได้ไงวะ"

อาการไม่แคร์โลกนี้สามารถส่งผลกระทบกับคุณ และทำให้ปวดประสาทได้อย่างไม่น่าเชื่อ มาตรฐาน มารยาท ระเบียบวินัยล้วนมลายหายสิ้น อย่าได้หวัง (ในปัจจุบัน) แต่อีกหน่อยคงจะค่อย ๆ สำเหนียกกันได้เองว่าแท้จริงแล้วอินเดียไม่ใช่ศูนย์กลางของโลก หรือจักรวาล และต้องยึดถือหลักปฏิบัติและมาตรฐานสากลในเรื่องที่เหมาะสม

ชาวอินเดียเห็นว่า ประเทศตนเ็ป็นมหาอำนาจทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ และยังคงมีคำพูดติดปากที่เป็นความหวัง (ลม ๆ แล้ง ๆ) ว่าจะไล่ประเทศจีนทันใน 5-10 ปีข้างหน้า (อาจจะ้เป็นไปได้ในกรณีที่จีนเผชิญกับความถดถอยอย่างรุนแรง) แต่ดูจากวิธีคิดแบบ "ข้าคือศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่าง" แล้ว เชื่อว่าคงอีกนานครับ

ท่านที่เคยได้สัมผัสกับประเทศนี้ในแง่มุมต่าง ๆ คงเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร แต่ท่านที่ไม่เคยก็อยากจะขอยกตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ และขอเชิญชวนให้มาสัมผัสด้วยตนเองครับ

ตัวอย่าง : คุณขับรถมา บรืน ๆ อ่ะ ไฟแดง จอด ๆ รถหยุดนิ่งสนิท สบาย ๆ ทันใดนั้นเอง โครม !! รถคันหลังหลงรักบั่นท้ายคุณแบบรักแรกพบเข้าแล้วและออกจะไวไฟซะด้วย คุณนั่งปลงอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะเรียกประกันและเดินลงไปคุยกับคู่กรณี ... อ่ะ ไม่ยอมคุยด้วยแฮะ ไม่คุยก็ไม่คุย ไม่เป็นไร อีกสักพัก มีบุคคลฝ่ายคู่กรณีมาเพิ่มเติม และเริ่มบทสนทนาโดยการบอกว่าเราผิด ?!?! เห้ยยยยยยยย ... HERE แล้วไง ว่าแต่คุณ (มึง) เป็นใครครับ (วะ) แล้วเอาหลักประเทศชาติไหนมาบอกว่าคนโดนชนท้ายเป็นฝ่ายผิด ?? คำอธิบายของอีกฝ่ายง่ายมากครับ คือ "คุณหยุดรถกระทันหันเกินไป เลยทำให้โดนชนท้าย และการชนยังทำให้คนฝ่ายเขาตกใจด้วย" แต่เห้ย นี่มันหยุดตามสัญญาณไฟนะครับพี่ . . . . . ปลง สรุปว่า เถียงยังไงก็ไม่ชนะ ประกันก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไร สุดท้ายต่างคนต่างซ่อม โดยประกันสองฝ่ายจ่ายเท่ากัน และคู่กรณียอมจ่ายส่วนต่างไม่ว่าค่าซ่อมของใครจะแพงกว่าก็ตาม (คงรู้อยู่ว่าตัวเองผิด แต่ด้วยพื้นฐานวิธีคิดข้างต้น ซึ่งบ้างครั้งก็เป็นลักษณะเอาแต่ได้ จึงได้บทสรุปเช่นนี้)

ปล. ตัวอย่างนี้ฟังมานะครับ แต่มีเรื่องลักษณะนี้อีกมากมายครับ ทั้งที่ฟังมาและประสบเอง ไว้จะกล่าวถึงต่อไปครับ

วิธีคิดของคนประเทศนี้น่าสนใจนะครับ และคงต้องมาสัมผัสถึงจะเข้าใจได้ ไม่เช่นนั้นเวลาต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วยอาจจะเกิดอาการปวดเศียรเวียนเกล้า ท้องอืดอาหารไม่ย่อย กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ท้องผูก ฯลฯ



. . . ป ล ง . . .






Sunday, 12 August 2012

หนีฝน ... ปะแท็กซี่

หนีฝน ... ปะแท็กซี่

วันนี้ 12 สิงหาคม 2555 สุขสันต์วันแม่ครับทุกคน ... รักแม่ ห่วงแม่ อย่าพึ่งพายาเสพติดนะครับ

วันนี้เป็นวันที่ผมตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องขยับตัวออกจากที่พักให้ได้หลังจากดีกรีความขี้เกียจออกไปมาไหนพอกพูนมากกว่างานที่พอกหางผมอยู่ในปัจจุบัน และในที่สุดก็สำเร็จครับแม้จะอ้อยอิ่งอยู่นานสองนานทำเอาเวลาที่วางแผนจะออกจากที่พักล่าช้าเนิ่นนานออกไปถึง 1 ชม. ครึ่ง

ก่อนออกจากที่พักก็ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะไปห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่ง Google Map บอกว่าห่างออกไป 13 ก.ม. ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเล็กน้อยก็จะถึง และได้โทรสอบถามพี่ ๆ ที่นี่เป็นอย่างดีว่านั่งแท็กซี่ราคาประมาณเท่าไหร่ เพื่อเอาไว้เป็นข้อมูลอ้างอิงให้เจ็บใจเล่นหากปรากฏว่าโดนแขกต้ม จริง ๆ แล้วการทราบราคาคร่าว ๆ ล่วงหน้าก็มีประโยชน์อีกอย่างครับ คือ เราจะพอกะ ๆ ได้ว่า ควรจะใกล้ถึงแล้วหรือไม่ หรือควรจะต้องเริ่มกังวลใจอย่างจริงจังและตรวจสอบว่า คนขับกับเราเข้าใจเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ตรงกันหรือไม่)

แน่นอนครับ พอทราบราคาคร่าว ๆ แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ เลือกขึ้นรถแท็กซี่สีเหลือง-ดำ รุ่นใหม่ที่มีมิเตอร์แบบดิจิตอล จะได้เห็นราคาชัด ๆ ไม่ต้องมานั่งเทียบตาราง (ซึ่งผมก็ไม่มีอยู่กับตัว)

ผมเดินออกจากที่พัก ข้ามถนน และเดินเลาะไปตามทางเท้า หันหลังกลับมามองหาแท็กซี่เป็นระยะ เรียกไม่ทันก็ปล่อยผ่านไป แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่เมตร ฝนก็เริ่มลงเม็ด ผมจึงหยุดยืนรอแท็กซี่ (อย่างจริงจัง) และก็ได้แท็กซี่ด้วยความรวดเร็ว จึงไม่โดนฝนจัง ๆ พอขึ้นรถได้ไม่เกิน 10 นาที ฝนก็ตกเป็นเรื่องเป็นราว คนขับที่น่ารักก็เอื้อมมาไขกระจกฝั่งคนนั่งข้างคนขับที่เปิดรับลมไว้ (เหลือง-ดำ ไม่มีแอร์ไงครับ) ให้เหลือครึ่งเดียวเพื่อไม่ให้ฝนสาดเข้ามา ผมทราบซึ้งมาก แม้จะยังมีละอองฝนพัดเข้าหน้าผมซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังก็ตาม แต่ในพะวงความปลื้มปิติในบริการนั้น โสตประสาทก็เริ่มตื่นตัว โดยมีเหตุจากกลิ่นคละคลุ้งที่ส่งมาถึงประสาทรับกลิ่นหลังการขยับตัวของคนขับนั่นเอง แล้วก็จางหายไปเกือบหมด ผมโล่งใจขึ้นมาทันที

ขออธิบายกลิ่นครับ - เป็นประมาณกลิ่นอับ ๆ ในค่ายมวย หรือโรงยิมน่ะครับ แต่แค่มันมารวมอยู่ที่คน 1 คน ในพื้นที่เล็ก ๆ ของแทกซี่ หายใจลำบากทีเดียว

และแล้วฝนฟ้าก็เล่นตลก ตกหนักขึ้นอีก คุณคนขับที่น่ารักก็ขยับตัวอีกครั้ง พร้อมไขกระจกขึ้นอีก ... ในหัวเริ่มทำงาน "(เห้ย ... ยอมเปียก ๆ อย่าปิดหมด ขอร้อง ...)" แม้ตอนนั้น จะมีน้ำหยดจากขอบกระจกตรงที่ผมนั่งให้ได้เปียกแล้ว ผมก็ยังภาวนาให้คนขับรถเหลือตัวช่วยให้ผมบ้าง

ผมนั่งมองกระจกค่อย ๆ เลื่อนขึ้นอย่างช้า ๆ (ระบบไขนี่ครับ แถมเือื้อมมาไขจากอีกฝั่งอีกตะหาก) และแล้วกระจกก็หยุดครับ เหลือช่องว่าง 1 นิ้ว ... ส่วนฝั่งคนขับก็ 1 นิ้วเช่นกัน บรรยากาศวังเวงเริ่มครอบงำ ความอับชื้นเริ่มกระจายตัวสู่ทุกอณูอากาศในตัวรถ การหายใจทำได้อย่างยากเย็นมากขึ้นทุกที ... คือ มันแบบหายใจไม่ออกครับ ครั้นจะสูดหายใจลึก ๆ เป็นครั้งคราวก็ไม่ไหว กลืนไม่เข้าคายไม่ออก คว้านตัวช่วยในกระเป๋า (ยาดม) ดันเจอแต่ลิปมัน ไอ้ตอนคลำเจอก็ดีใจครับ นึกว่าใช่ เพราะมันทรงเดียวกัน พอหยิบออกมา ... คิดทันทีว่า "(เอามาดมแทนได้ไหมเนี่ย)" แต่สุดท้ายก็วางลงครับ ไม่อยากทำตัวน่าสมเพชเกินเหตุ แต่แล้วก็ใจชื้นขึ้นเมื่อเหลือบไปเห็นราคาค่าโดยสารที่มิเตอร์ ซึ่งตัวเลขนั้นแสดงว่า ใกล้ถึงที่หมายมาก ๆ แล้ว ซึ่งหลังจากจากนั้นไม่เกิน 5 นาที ผมก็ถึงที่หมายครับ พร้อมสูดหายใจเต็มปอดเมื่อลงจากรถ

สรุปแล้ว ถ้าฝนตก อยู่บ้านดีกว่าครับ เว้นแต่มีรถส่วนตัว

ฯ(-"-ฯ)



Saturday, 11 August 2012

ลิ้มรสมะม่วง Alphonso (อัลฟองโซ่) ราชาแห่งผลไม้ (ของอินเดีย)

ตามปกติแล้วเราจะเคยได้ยินว่า ทุเรียนคือ ราชาแห่งผลไม้ ในขณะที่มังคุดเป็นราชินี โดยผลไม้ทั้งสองประเภทเป็นสินค้าทางการเกษตรที่สำคัญของไทย และถึงแม้จะมีการปลูกในประเทศอื่น ๆ แต่ก็ไม่อร่อยเท่าของไทย เช่น ทุเรียนมาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย แต่หลายคนคงไม่คุ้น หากถามว่า แล้วราชาแห่งผลไม้ในสายตาของชาวอินเดีย คือ อะไร ?? นึกออกไหมครับ ... คำตอบคือ มะม่วงครับ โดยมะม่วงหมายเลข 1 มีชื่อเรียกว่า มะม่วงอัลฟองโซ่ (Alphonso)

มะม่วงอัลฟองโซ่ หรือที่รู้จักกันในภาษาท้องถิ่นว่า Happus เป็นมะม่วงที่แม่ทัพเรือชาวโปรตุเกสนำเข้ามายังประเทศอินเดีย (รัฐกัว หรือ Goa) ตั้งแต่ยุคแสวงหาโลกใหม่ - ล่าอาณานิคม ซึ่งชาวพื้นเมืองได้นำไปปลูกกันอย่างแพร่หลาย

มะม่วงอัลฟองโซ่ได้รับการกล่าวขวัญให้เป็นราขาแห่งผลไม้ด้วยรสชาติหวานหอม เนื้อแน่น รับประทานตอนสุก โดยจะมีเนื้อสีเหลืองเข้ม-ส้มอ่อน แต่เปลือกจะไม่เหลืองทั้งลูกเหมือนมะม่วงสุกบ้านเราครับ

จริง ๆ แล้ว ตั้งแต่มาถึงมุมไบได้ 1 สัปดาห์ ก็ได้ยินพี่ ๆ คนไทยพูดถึงมะม่วงราชานี้อย่างหนาหู แต่ก็ได้ยินว่าหมดหน้าของมันไปแล้ว (ช่วงฤดูร้อนของอินเดีย ซึ่งคือ ประมาณ มี.ค. - พ.ค.) จึงไม่ได้คิดอะไรมาก แค่ตั้งใจว่าปีหน้าต้องได้ชิม แต่ก็หวั่น ๆ เล็กน้อย เพราะได้ยินว่าราคานั้น แสนจะน่ารังเกียจ พี่บางคนบอกว่า ตอนเข้าหน้ามะม่วงอัลฟองโซ่ใหม่ ๆ พี่เขาซื้อที่ราคาสูงถึง 1,500 รูปี (900 บาท) ต่อ 5-6 ลูก (ประมาณ 1 กิโลกรัมนิด ๆ) ใช่ครับ ขายเป็นลูก ราคาดุเดือดมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อปลายหน้าร้อนที่ผ่านมาราคาเจ้ามะม่วงนี้ลดลงอย่างมาก เนื่องจากมะม่วงล้นตลาด oversupply) โดยราคาต่อลัง (1 ลัง มีมะม่วง 4 - 10 โหล) ตกลงถึง 2-5 เท่า จาก 5,000 - 10,000 รูปี เป็นประมาณ 1,000 - 4,000 รูปี ขึ้นกับจำนวนและเกรดของมะม่วง

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้มีโอกาสไปตลาด Crawford ซึ่งเป็นแหล่งซื้อข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน เช่น ถังน้ำ ไม้กวาด ไม้ถูพื้น ทิชชู่ ผงซักฟอก ฯลฯ และเป็นแหล่งเครื่องปรุงอาหารจากไทย เช่น ซอสหอยนางรม ซีอิ้วขาว น้ำปลา ฯลฯ ตลอดจนผัก ผลไม้สด ซึ่งก็ได้เจอเจ้ามะม่วงราชานี้ตัวเป็น ๆ ด้วย จึงไม่ปล่อยให้หลุดมือ ลงทุนซื้อมาชิมที่ราคา กิโลฯ ละ 400 รูปี ใช่ครับขายเป็นกิโลฯ แล้ว ได้มาทั้งหมด 5 ลูก มีสติกเกอร์ "Best Quality" แปะไว้เรียบร้อย ส่วนขนาดเป็นดังภาพครับ ใหญ่กว่าอกร่องเราเล็กน้อย เปลือกหนา ผิวมัน เปลือกไม่เหลืองทั้งหมดแม้จะสุกแล้ว ไม่มีกลิ่นหอมมากนัก

เนื้อแน่นพอสมควร (แน่นกว่ามะม่วงทานสุกชื่อดังของไทยอย่างน้ำดอกไม้) แต่กลิ่นหมอของอัลฟองโซก็เทียบทั้งอกร่องและน้ำดอกไม้ไม่ได้ ในขณะที่รสหวานนั้น เข้มข้นกำลังดีถึงหวานมากในบางลูก แต่ก็ไม่สู้อกร่องอีกเช่นกัน เม็ดอัลฟองโซอ้วนทีเดียว หนาเกือบ 1 ใน 3 ของความหนารวมของมะม่วง

สรุปแล้ว คล้ายกับมะม่วงโชคอนันต์ / มะม่วงแก้ว (สุก) ของไทย ทั้งกลิ่น รสชาติ ความหวาน รสสัมผัส และความแน่นของเนื้อ แต่ไม่รู้ทำไมแพงนักแพงหนา

ผมเคยมีโอกาสได้ทาน honey mango ของปากีสถานตอนใต้ โดยรวมก็คล้าย ๆ โชคอนันต์ครับ แต่เปลือกบาง รสชาติหวานจัด สมชื่อมาก อร่อยครับ

อ้อ ลืมบอกไปว่า คนอินเดียทั่วไปทานมะม่วงโดยรอให้สุกจัด แล้วบีบ ๆ นวด ๆ จนเละ ก่อนกัดเปลือกที่ปลายทิ้ง และดูดน้ำมะม่วงสด ๆแต่ถ้าเป็นร้านดี ๆ หรือโรงแรม ก็จะเสิร์ฟหน้าตาเหมือนในรูปครับ ผมเลยเลียนแบบมา เพราะเคยลองปอกเปลือกแล้ว ไม่เหมาะครับ เพราะเราปอกแบบคนไทย บางที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แต่สุดท้ายทำให้ผิวด้านในของเปลือกยังอยู่ส่งรสขมจาง ๆ ออกมาก่อกวนรสโดยรวมของมะม่วงครับ

นอกจากนี้ แล้ว ที่อินเดียยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะม่วงหลายอย่าง เช่น น้ำมะม่วง เครื่องดื่มผสมมะม่วง ลูกอม ของหวาน และของทานเล่นที่ผสมเนื้อมะ่ม่วงแห้ง
 
\(^{}^)/

Friday, 10 August 2012

ว่าด้วยการอ่านมิเตอร์

ว่าด้วยการอ่านมิเตอร์

ตามที่เคยได้เล่าเรื่องการขึ้นแทกซี่ที่เมืองมุมไบไปแล้ว ยังจำได้ใช่ไหมครับ ว่ามิเตอร์แทกซี่เก่า และรถสามล้อเครื่องบางส่วนยังเป็นแบบ analog ซึ่งจะติดอยู่นอกตัวรถตำแหน่งที่ควรจะเป็นกระจกมองข้างฝั่งคนนั่งข้างคนขับ

 
เจ้ามิเตอร์แบบเก่านี้จะมีแค่ตัวเลขซึ่งจะหมุนไปเหมือนมิเตอร์น้ำประปา ซึ่งเราจะต้องแปลเป็นจำนวนเงินเอง เช่น ถ้าขึ้น 1.00 คือ 17 รูปี ไอ้ตอนแรกเราก็ไม่รู้ เห็นมิเตอร์มันวิ่ง ๆ ไป เราก็เอ๊ะ นั่งมาสักพักเพิ่งจะ 4.5 รูปีเองเหรอ (มิเตอร์ขึ้น 4.50) มันถูกขนาดนี้เหรอ เอ๊ะ หรือโชคจะไม่เข้าข้างซะแล้ว 4.5 USD O_o?!?! สุดท้ายเพิ่งมาถึงบางอ้อ ว่ามันต้องแปลงเลขมิเตอร์เป็นจำนวนเงินอีกครั้ง (สามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.go4mumbai.com)

นอกจากนี้ พอตกดึก ราคามิเตอร์จะปรับสูงขึ้น (midnight fare) เช่น 1.00 จะเป็น 21 รูปี แต่ผมก็ไม่ทราบนะครับว่า ที่เรียกว่า ค่าบริการยามเที่ยงคืนของอินเดีย เริ่มตั้งแต่เวลาใดถึงเวลาใด แต่เคยเรียกตอนตีห้า ก็เป็นราคาปกติครับ


แทกซี่เหลือง-ดำ ทั้งสามแบบที่เห็นกันทั่วไป ซ้ายสุดคือรถเฟียตรุ่นเก่า (เหมือนรูปแรก) แล้วก็จะมีรถกึ่ง ๆ รถตู้ ขนาดประมาณรถกะป๊อ (ไม่ทราบจริง ๆ ว่าสะกดอย่างไร) บ้านเรา และอีกอันคือรุ่นใหม่สุด ซึ่งจะเป็นมิเตอร์ดิจิตอลมีราคาแสดงเรียบร้อย ไม่ต้องนั่งจ้องมิเตอร์แล้วคำนวณเองว่ามีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ คือ จริง ๆ คนขับก็บอกแหละครับ แต่ถ้ารู้ไว้หน่อยก็จะได้ไม่โดนแขกต้มครับ

มีอยู่ครั้งหนึ่ง จะหาแทกซี่จากที่พักเพื่อไปทำงาน (ตอนหลังมารู้ว่า มันใกล้กันทีเดียว คือ ประมาณ 2.5 ก.ม. เท่านั้น) ก็เดินออกมาเรียกห่างจากหน้าโรงแรมสัก 50 เมตร เพื่อหลีกเลี่ยงกลุ่มแทกซี่ที่รอดักลูกค้าที่เป็นแขกโรงแรม วันนั้นได้รถด้วยความไม่ยากเย็น (บางทียืนรอแล้วรอเล่า ไม่มีคันไหนยอมไป) ขึ้นรถเรียบร้อย บอกสถานที่กับคนขับ ได้รับการส่ายหน้าบอกกล่าวตามสไตล์แขกว่า "ok สบายมาก ถึงแน่" แผนที่ในกระเป๋าพร้อม วันนี้ไม่พลาดแน่นอน นั่งไปก็พยายามดูทางไป ว่าถูกทางแน่ (เริ่มพอจำทางได้เลา ๆ แล้วครับ) กวาดสายตาต่อลงมาที่มิเตอร์ ... ทันใดนั้น สมองแง่ร้ายก็เริ่มทำงาน เห้ย คุณคนขับไม่กดมิเตอร์ แล้วนั้นมันเขียนว่าอะไร "ERROR?!?!" เอ๊ะ หรือ "FOR HIRE" (ประมาณ "ว่าง" บ้านเรา) เอ่อ จะออกซ้ายหรือขวา เสียเกินราคามิเตอร์ปกติแน่นอน เห่อ ๆ ๆ พลาดจนได้

สรุปครับ ถึงที่หมาย ไม่มีหลง พอถามคนขับว่าเท่าไหร่ คุณเขาก็มองมิเตอร์แล้วเกาหัวแกรก ๆ ก่อนจะ "สบถ" ออกมาว่า 50 รูปี ... นั่นไง กะแล้ว ราคาเหมามาแล้ว (เคยนั่งไม่ถึง 30 รูปี) โดนจนได้ แต่ง่ายไปไหมครับพี่น้อง ผมตอบ "ok ok" พร้อมส่ายหัวตามแบบแขกส่งสัญญาณว่า "ไม่มีปัญหา" ก่อนจะส่งให้ 40 รูปี แล้วบอกคนขับว่า "ok I give you 40. Thank you" ก่อนจะเปิดประตูลงรถ และเดินจากไปอย่างไม่รีบร้อน คิดว่าคนขับยังงงกับลูกมึนของผมอยู่ (จริง ๆ ให้ 40 นี่ก็เยอะแล้วนะครับ tip ถึงกว่า 30% --> ตีว่าน่าจะจ่ายประมาณ 30 รูปี หากกดมิเตอร์)    แขกมึนอย่าตระหนกครับ ตั้งสติแล้วมึนกลับเนียน ๆ ครับ

2(-"-)\

Wednesday, 1 August 2012

มุมไบสีเขียวคล้ำ ๆ

มุมไบสีเขียวคล้ำ ๆ

อินเดียถือเป็นประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งปกติแล้วประเทศในกลุ่มนี้จะมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นสำคัญเพื่อให้ทัดเทียมกับประเทศตะวันตก (ไทยก็เช่นกัน) โดยเทคโนโลยีที่ใช้ส่วนใหญ่ไม่มีประสิทธิภาพมากนัก จึงเป็นช่วงที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากที่สุด คล้ายประเทศตะวันตกในสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม แต่ในปัจจุบัน กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วได้ผลักดันเรื่องคุณค่าหรือบรรทัดฐานด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อชะลอ / แก้ปัญหาโลกร้อน (Global Warming) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก (Climate Change) ส่งผลให้ประเทศกำลัังพัฒนาต่าง ๆ ต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้ด้วย โดยจะมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเอาแต่ได้แบบชาติตะวันตก (ที่ตอนนี้เรียกตนเองว่าเป็นประเทศพัฒนาแล้ว) ในสมัยก่อนไม่ได้


ในเดือน ก.ค. 2555 ที่ผ่านมา อินเดียได้รับการจัดอันดับโดย National Geographic Society (องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สหรัฐฯ คนไทยรู้จักกันดีทางช่องโทรทัศน์ National Geographic ที่นำเสนอสารคดีดี ๆ ต่าง ๆ มากมาย) ให้อยู่ 1 ใน 5 ของประเทศทั่วโลกที่ผู้บริโภคมีพฤติกรรมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ซึ่ง 5 ประเทศแรกล้วนเป็นประเทศกำลังพัฒนาทั้งสิ้น คือ  1) อินเดีย 2) จีน 3) บราซิล 4) ฮังการี และ 5) เกาหลีใต้ ในขณะที่ประเทศรั้งท้าย 5 ประเทศ ล้วนเป็นประเทศพัฒนาแล้ว คือ สหรัฐฯ แคนาดา ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และออสเตรเลียที่ล่างสุดของตาราง  ผลการสำรวจพบว่า ผู้บริโภคในจีน (42%) และอินเดีย (45%) ตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากพฤติกรรมการบริโภคของตน ซึ่งส่งผลต่อการบริโภคของตน ในขณะที่ 21% ของชาวสหรัฐฯ ไม่ใส่ใจ

หากยังจำได้ ไทยเราเคยรณรงค์เรื่องการใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก ซึ่งฮิตติดตลาดอยู่ได้พักหนึ่ง ก็เห็นจะจืดจางลงตามกาลเวลาและความทรงจำของคนไทยที่ได้ชื่อว่าลืมง่าย ตามสไตล์ไทยแห่นิยมเป็นพัก ๆ  ในช่วงนั้น ห้างสรรพสินค้า และซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งได้มีนโยบายส่งเสริมการใช้ถุงผ้าโดยการหักส่วนลดให้กับลูกค้าที่ไม่รับถุงหิ้วพลาสติกของทางห้างสรรพสินค้า แต่หากต้องการ ก็ยังมีถุงหิ้วพลาสติกไว้ให้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเพิ่ม (ยกเว้น Makro ซึ่งปกติไม่ได้ให้บริการถุงพลาสติกอยู่แล้ว เนื่องจากขายส่งครั้งละปริมาณมาก อย่างไรก็ตาม หากลูกค้าต้องการก็สามารถซื้อถุงหิ้วได้ที่แคชเชียร์ ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิดจะเป็นถุงหิ้วช็อปปิ้งที่ใช้ซ้ำได้)

ในทางกลับกัน ที่เมืองมุมไบ ซุปเปอร์มาร์เก็ตส่วนใหญ่จะคิดค่าถุงหิ้วพลาสติกแยกต่างหาก แม้ราคาจะต่ำมาก คือ ประมาณ 4 รูปี (2.5 บาท) แต่ก็น่าจะทำให้คนฉุกคิดได้ทุกครั้ง 

มาหยุดคิดตรงนี้สักนิดครับ 

ที่ไทยหากทำสิ่งที่ควรทำ (ลดใช้ถุงพลาสติก) คือ ได้รางวัล (ส่วนลด) ในขณะที่ หากไม่ทำ ก็เสมอตัว
ที่อินเดียหากทำสิ่งที่ควรทำ (ลดใช้ถุงพลาสติก) คือ เสมอตัว ในขณะที่ หากไม่ทำ คือ โดนลงโทษ (เสียเงินเพิ่ม แม้จะไม่มากก็ตาม) ซึ่งประเทศจีนก็เป็นเช่นนี้

สะท้อนวิธีคิดที่แตกต่างกันมั้ยครับ ?

นอกจากนี้ สำนักงานบริหารเมืองมุมไบ (ฺBMC) ยังมีแผนจะลดหย่อนภาษีให้กับชุมชนที่มีพฤติกรรมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและช่วยรักษาความสะอาดของพื้นที่ในชุมชน อย่างไรก็ตาม คงต้องรอความชัดเจนมากกว่านี้ ทั้งนี้ ประชาชนบางส่วนเห็นว่า BMC ควรจะทำหน้าที่ให้ดีกว่านี้ แทนที่จะผลักภาระทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อมและความสะอาดให้กับประชาชน เช่น ประชาชนแยกขยะก่อนที่แต่ BMC กลับเอาไปเทรวมกัน เป็นต้น ในขณะที่บางส่วนก็เห็นว่าจะต้องเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน


สภาพเมืองมุมไบปัจจุบัน ก็แบบที่เคยเล่าครับ สกปรกสุด ๆ กลิ่นไม่พึงประสงค์เตะจมูกเป็นระยะ บางแห่งก็เหม็นได้ตลอดเวลา กลิ่นคล้าย ๆ น้ำ้เน่า ผสมขยะเน่า และที่เมืองนี้หาถังขยะสาธารณะยากแสนยาก แต่หากมองดี ๆ คุณก็จะรู้ตัวว่าคุณยืนอยู่ในถังขยะอยู่แล้วนั่นเอง จึงหาไม่เจอ คนอินเดียตามที่ได้สัมผัสเห็นว่าการทิ้งขยะลงพื้นเป็นเรื่องปกติ บางทีเราจะหาที่ทิ้ง ก็จะมีคนบอกว่า ทิ้งลงพื้นสาธารณะไปเลยไม่เป็นไร (O_o) !! พอเราบอกไม่เอา ก็มาจัดการแย่งไปโยนทิ้งให้เรียบร้อย แต่เชื่อว่าอีกหน่อยคงจะดีขึ้น เพราะไทยเองก็เคยผ่านช่วงนี้มาแล้ว และในปัจจุบันก็ยังมีบางคนที่คิดแบบนี้อยู่ คือ อยากอยู่ในถังขยะต่อไป 



/(-.-"\)







Wednesday, 11 July 2012

ขึ้นแทกซี่ ...

                                เมืองมุมไบศูนย์กลางทางการเงินของอินเดีย (คนอินเดียว่าอย่างนั้น แต่ยังห่างไกลการเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคอย่างที่ตั้งเป้ากันไว้มากนัก) การคมนาคมขนส่งสาธารณะในเมืองนี้นับว่ามีความสะดวกสบายด้วยรถเมล์ (ขึ้นยากมากครับ เพราะไม่มีภาษาอังกฤษ แม้แต่ตัวเลขก็ไม่เป็นเลขอารบิก ดังนั้น จะขึ้นได้จึงต้องรู้ภาษาฮินดี) รถไฟที่เชื่อมมุมไบเข้าด้วยกัน แต่ยังไม่มีประเภทรถไฟฟ้า หรือรถใต้ดินนะครับ และที่สำคัญที่สุดคือ แทกซี่ที่มีจำนวนมากมายมหาศาล โดยแทกซี่ที่วิ่งตามท้องถนนทั่วไปจะเป็นแทกซี่มิเตอร์ เว้นแต่แทกซี่ที่โทรเรียกเป็นพิเศษ ก็ตกลงราคากันเอาครับ แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีมาตรฐานราคาอ้างอิงกันอยู่ เหมือนบริการรถเช่าพร้อมคนขับบ้านเรา และมีอีกชนิดคือ ออโต้ริคชอว์ หรือสามล้อเครื่องนั่นเอง อันนี้จะอยู่เฉพาะในบางพื้นที่เท่านั้นครับ เช่น มีกฎหมายห้ามเข้ามาวิ่งในเขตมุมไบใต้
                                แท็กซี่จะแบ่งเป็นหลายระดับตามสีสันที่ต่างกันไป ระดับล่างสุด คือ แทกซี่ดำ-เหลือง ซึ่งไม่มีแอร์ (บางคันผมว่าผมก็เห็นแอร์นะ แต่ไม่เปิดกัน ประหยัดครับ รถติดไฟแดงบางทีก็ดับเครื่องเลย เหมือนจะเป็นสามล้อซะอย่างนั้น จึงคาดว่า คนขับคนนั้นอาจจะขับสามล้อเครื่องมาก่อน จึงดับด้วยความเคยชิน) มิเตอร์จะเริ่มที่ 16 รูปี หรือประมาณ 9 บาท และเงินจะเริ่มวิ่งหลังจาก 2 กม. แรกผ่านไปเหมือนบ้านเรา ระดับต่อมา คือ แทกซี่สีฟ้า-ขาว สดใส จะเป็นรถแอร์ มิเตอร์เริ่มต้นที่ประมาณ 18 รูปี (ถามมานะครับ ไม่เคยขึ้นครับ) ส่วนที่เหลือก็เป็นพวกที่จ้างเฉพาะกิจ
                                ผมเองใช้แต่ดำ-เหลือง เพราะหาง่ายที่สุด (พวกสีฟ้า-ขาว มักจะจอดดักลูกค้าตามสถานที่อย่างโรงแรม ร้านอาหารหรู ๆ หน่อย) ซึ่งจะมีรถหลายแบบ แต่ส่วนใหญ่เป็นรถระดับเก่ามากถึงมากที่สุด มิเตอร์จะเป็นแบบหมุน (analog) โดยมิเตอร์จะอยู่นอกตัวรถในบริเวณที่ควรจะเป็นกระจกมองข้างฝั่งคนนั่งข้างคนขับ (ที่นี่คนขับอยู่ขวาเหมือนไทย) โดยที่จะไม่มีกระจกมองข้างแต่อย่างใด (จึงต้องอาศัยเสียงแตรส่งสัญญาณบอกคันหน้าว่า มีฉันอยู่ตรงนี้ไม่ไกล - ใกล้มาก แล้วพอได้ยินเสียงแตรจึงมองกระจกมองหลังเอา) ส่วนที่ใหม่ขึ้นมาก็จะเป็นมิเตอร์ดิจิตอลแบบที่เห็นในแท็กซี่บ้านเราครับ
                                อย่างที่บอกครับ รถแทกซี่ดำ-เหลืองหาง่ายครับ มีเกลื่อนกลาด แต่ปัญหา คือ ไม่ค่อยอยากรับลูกค้า พี่บางคนบอกว่า พวกนี้ จนแต่หยิ่ง แต่จริง ๆ แล้วคาดว่าเป็นเพราะเราเรียกไปใกล้ ๆ ไม่เกิน 2 กม. คนขับคงรู้สึกว่าได้ไม่คุ้มเหนื่อย เพราะระยะทางแค่นั้นก็จะได้กัน 20 กว่า ๆ รูปีเท่านั้นก็ถึงที่หมายแล้ว ยิ่งตอนค่ำ ๆ ยิ่งหยิ่ง แต่อย่าไปง้อครับ เดี๋ยวได้ใจ ตอนนี้คนอินเดียก็ไม่พอใจที่แท็กซี่เป็นแบบนี้จึงมี นสพ. อินเดียนามว่า Hindustan Times จัดโครงการส่งอาสาสมัครไปล่อเรียกแท็กซี่ (และสามล้อเครื่อง) โดยให้เรียกไปในระยะใกล้ ๆ หากแทกซี่ปฏิเสธก็จะมีเจ้าหน้าที่จราจรจับ ยึดใบอนุญาต และขึ้นศาลในวันต่อมา ใช่ครับปฏิเสธลูกค้าที่นี่ ขึ้นศาลครับ (แทกซี่ไทยเอาแบบนี้ไหมครับ โดยเฉพาะพวกปฏิเสธคนไทยรอจับแต่ต่างชาติเนี่ย ??) ส่วนโกงมิเตอร์ เช่น ปรับแต่งมิเตอร์ให้วิ่งเร็วติดจรวด หากถูกจับได้จะโดนยึดใบอนุญาตเป็นกาถาวรครับ คือ (ตามหลัก) หมายความว่าคุณจะไม่สามารถประกอบอาชีพนี้ได้อีก แต่ไม่รู้เอาเข้าจริง ระบบข้อมูลอะไรต่าง ๆ มันจะดีขนาดตรวจสอบได้ว่าอีตานี่เคยโดนยึดใบอนุญาตไปแล้วหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้
                                พอได้แทกซี่แล้ว ขั้นต่อไปคือ ลุ้นว่า คนขับทราบที่หมายเหมือนที่เราต้องการให้ทราบจริง ๆ หรือไม่ คนที่นี่ “thik hai” หรือ OK / yes ลูกเดียว บอกอะไรไปก็ส่ายหัวให้ขึ้นรถตลอด (ส่ายหัวบนแกน Z (ค่าบนแกน Z ไม่เปลี่ยนแปลง) แปลว่า "ใช่ โอเค" เหมือนการพยักหน้าบ้านเรา แต่ถ้าส่ายบนแกน Y (ค่าบนแกน Y ไม่ขยับ) แบบของไทย ก็คือการปฏิเสธครับ) ใจหนึ่งก็คิดว่าสงสัยกลัวไม่ได้ลูกค้า แต่ก็ เอ๊ะ ทำไมบางคันมันหยิ่งจัง แต่นั่นแหละครับ ต้องลุ้นว่าเข้าใจตรงกันหรือไม่ ถ้าเราไม่รู้ทางก็แย่หน่อยครับ เพราะ เราก็จะไม่รู้ว่าแท็กซี่พาไปไหน จะมารู้ก็ตอนคนขับบอกว่าถึงแล้ว ซึ่งหากผิด เราก็จะนั่งงงอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนรำพึงในใจว่า “แม่ง เอ๊ย ที่ไหนฟระเนี่ย” ผมเคยครับ แล้วสภาพก็เป็นแบบนั้นเลย คือ เราไม่รู้ทางเลย พาไปผิด พาอ้อม เราก็ไม่รู้หรอกครับ (เป็นเรื่องที่เจอบ้าง โดยบางทีอาจจะเป็นความมึนจากใจจริงที่พาไปผิดทาง เพราะคนขับที่นี่แปลกมาก ไม่ค่อยรู้ทางเท่าไหร่ หรือแกล้งมึนเพิ่มเลขบนมิเตอร์ก็เป็นได้ แต่อย่าไปคิดมากครับ ทำใจสบาย ๆ แล้วคิดซะว่าทำทาน และถ้าคิดกลับเป็นเงินไทยแล้ว มันก็ไม่เท่าไหร่ อย่าไปเสียอารมณ์ครับ ถือว่าชมเมือง) คิดอยู่อย่างเดียวคือ ขอให้ถึงที่ ๆ เราจะไปเป็นใช้ได้ แต่จะให้ดีศึกษาแผนที่ไว้หน่อยก็ดีนะครับ
                                แล้วถ้าคนขับหันกลับมาถามทางคุณล่ะ คุณคิดว่าโชคดีหรือโชคร้าย ?? โดนมาแล้วครับ งงสิครับ ไอ้ตอนขึ้นก็ถามย้ำแล้วย้ำอีกว่ารู้จักนะ (สงสัยรู้จัก แต่ไม่รู้ไปยังไง...ผมผิดเองที่ถามไม่ชัดเจน -_-" ) สักพักหันกลับมาถามทางหน้าตาเฉย ผมก็ “เอ่อ.. ไม่รู้ จะไปรู้ได้ไง รู้แต่ว่า จะไปที่นี่... ไปที่นี่...” (มึนกับคุณคนขับรถจริง ๆ) หลัง ๆ นี่ต้องศึกษาแผนที่ก่อนออกครับ เพื่อความแน่ใจ ไม่ใช่ว่าจะรู้ทางนะครับ คือ มั่นใจว่าถ้าคนขับหันมาถาม จะได้ส่งแผนที่พร้อมจิ้มที่หมายให้ดู แบบนี้ไม่น่าพลาด แต่จนกระทั่งบัดนี้ ก็ยังไม่ได้มีโอกาสแจกแผนที่ครับ  อ้อลืมบอกไปว่า หากไปเรียกแทกซี่พวกจอดรอตามสถานที่บางแห่งคนขับจะเรียกราคาเหมานะครับ โดยเฉพาะในยามค่ำคืน

รถแทกซี่รุ่นเก่า กับคนขับที่กำลังผ่อนคลายอิริยาบท ดูดี ๆ จะเห็นว่าไม่มีกระจกมองข้างครับ

 รถแทกซี่ของเก่าทางมุมซ้ายล่าง กับรถแทกซี่ที่ใหม่กว่าอยู่หลังรถเมล์แดง

 ทะเลสาบ ?!?! ... ไม่ใช่ครับ มันคือ ถนนหลังฝนตกได้สักพัก (พักเดียว)


Wednesday, 4 July 2012

เดี๋ยวเอารถไปจอดให้ครับ ... เอ่อ ไม่รบกวนดีกว่า

เดี๋ยวเอารถไปจอดให้ครับ ... เอ่อ ไม่รบกวนดีกว่า

                              ชอบป้ายนี้มากครับ สะท้อนความไม่แน่นอนในชีวิตได้ดีจริง ๆ อันนี้ คิดแง่ดีแล้วนะครับ คือ เจ้าของป้าย ซึ่งก็คงเป็นเจ้าของสถานที่นั้น ๆ คงทราบอยู่เต็มอกว่า การขับรถที่นี่ ไม่ว่าจะระยะทางสั้นแค่ไหน ก็มีโอกาสทำรถเป็นรอยได้เสมอ เกิดความเสียหายได้เสมอ จึงเอาป้ายนี้โชว์ลูกค้าซะ ... แต่ถ้าคิดแบบแง่ลบ ก็คงจะเป็นว่า "เอ่อ ... คุณท่านจะไม่รับผิดชอบอะไรเลยใช่มั้ย"

                              อ่ะครับ แปลกันก่อน "ระวัง!! บริการจอดรถ (หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า วาเล่ คือ มีคนขับรถเราไปจอดที่ไหนสักที่) แต่ร้านจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือการโจรกรรม" ปกติ เห็นแต่ "Park at your own risk" คือ จอดได้เลย แต่รับผิดชอบเองนะ ก็อารมณ์เดียวกับที่เขียนไว้ในบัตรจอดรถของสถานที่เกือบทุกแห่งในเมืองไทย ที่บอกว่า ทางห้าง / โรงแรมจะไม่รับผิดชอบใด ๆ กับความเสียหาย / การสูญหายต่อทรัพย์สินของท่าน เพราะเราเพียงแต่ให้บริการที่จอดรถเท่านั้น (นัก กม. บางท่านบอกว่า สถานที่เหล่านั้น ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ... ใครขยายความได้ว่าเพราะเหตุใด พร้อมระบุข้อกฎหมาย ช่วยบอกด้วยนะครับ ขอบคุณครับ)

                             ประเด็น คือ ถ้าคุณเอารถผมไปขูดกำแพงเล่น คือ คุณไม่ต้องรับผิดชอบ ? นิดนึงอ่ะ ไม่เห็นก็แล้วไป    ถ้าป้ายนี้ตั้งอยู่ใน กทม. คงไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ครับ เพราะทราบกันดีว่า ยังไงคนไทยก็รักษารถครับ ยิ่งเป็นงานในหน้าที่ แต่นี่แขกครับ รถคุณท่านแต่ละคันที่เห็นบนถนนยังเละซะ ... รอยเต็มไปหมด แล้วนี่รถเรา ไม่ใช่รถเขา จะเหลือเหรอ ใช้ความระวังเท่าการจกข้าวใส่ปากไม่ให้หกแน่นอน ... ซึ่งคือ เป็น 0 ครับ เพราะ (1) ระวังให้ตายก็เท่านั้นครับ เพราะทานด้วยมือ มันต้องมีหกบ้างแหละ (2) หกแล้วก็ไม่เห็นเป็นไรนิ เหมือนรถเป็นรอยก็ไม่เห็นเป็นไรนิ ยังขับได้ปกติ ... สวัสดี การไม่มีรถเป็นลาภอันประเสริฐ

(-^0^-)

ดื่มสุรา ณ ที่นี้


ดื่มสุรา ณ ที่นี้
                        คนอินเดียส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู ซึ่งไม่มีข้อห้ามเรื่องการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม ดังที่ทุกท่านน่าจะเคยได้ยินได้ฟัง หรือประสบมากับตนเองแล้วสำหรับพฤติกรรมการดื่มของแขก ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อสิ่งเหล่านั้น “ฟรี” หรือออกแนวบุฟเฟ่ต์ เช่น บนเครื่องบินครับ ผมเห็นมาเยอะ พวกประเภทบั่นท้าย (ตูด) แตะเบาะเรียกหาพนักงานทันที ไม่มีรอเครื่องขึ้นครับพี่แกกระหายมาก แต่ก็ไม่มีใครเสิร์ฟหรอกครับ เอาน้ำเปล่าไปแทนก่อน พอเริ่มเสิร์ฟได้ ก็ non-stop ครับ เอาจนเครื่องลง กินไปเรื่อย แถมกระดกกันเร็วด้วย สงสัยกลัวไม่คุ้ม บางคนลุกมาเข้าห้องน้ำสภาพแบบใส่รองเท้าข้างเดียว เดินเป๋ไปเป๋มา อาศัยหัวคนที่นั่งอยู่ประคองตัวไปตามทาง แต่ไม่วาย ดื่มต่อ ... สงสารคุณแอร์จริง ๆ
                                ตอนแรกไม่เข้าใจว่าทำไมต้องดื่มขนาดนั้น จะเอาโล่ความคุ้มหรืออย่างไร สำหรับประเทศมุสลิมก็พอเข้าใจได้ ว่าคงมีบางคนที่เก็บกด คือ อยู่ในประเทศดื่มไม่ได้ หรือหาที่ดื่มได้ยาก แถมผิดกฎหมาย เลยซัดซะ แต่อย่างอินเดียที่ไม่มีข้อห้ามล่ะ?? พอได้ลองหาซื้อเหล้าที่นี่ก็เข้าใจครับ สุราต่างประเทศราคาสูงมาก อย่าง Black Label ขนาด 70 cl. บ้านเราน่าจะประมาณสักพันนิด ๆ ที่นี่ปาเข้าไป 4,300 รูปี (~ 2,580 บาท) แพงสนิท แพงกว่าเปิดใน pub ที่ กทม. อีก ในขณะที่วิสกี้ของอินเดียเองขวดหนึ่งไม่เกิน 1,000 รูปี (แต่ไม่ไหว เหม็นสนิท) แล้วเขามี single malt ด้วยราคาพอกัน และเหม็นสนิทเช่นกัน ไวน์ออสเตรเลียที่บ้านเราขายอยู่ไม่เกิน 500 บาท ที่นี่จัดไป 1,400 รูปี (~ 840 บาท) ทั้งหมดนี้ซื้อที่ร้านขายเหล้าโดยเฉพาะครับ เหมือนอารมณ์ร้านขายส่งเหล้าที่บ้านเรา (ร้านที่เหมือนโชว์ห่วยที่ขายแต่เหล้า)
                                สาเหตุที่เป็นเช่นว่าก็เพราะภาษีนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่นี่สูงมากครับ อยู่ที่ 150% สำหรับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ไม่เกิน 80% ทุกชนิด (เกินกว่านั้นมันยังกินได้เหรอเนี่ย .. O_o)
อินเดียผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เองหลายชนิด ที่เป็นที่นิยม คือ เบียร์ อย่าง Kingfisher ส่วนวิสกี้ก็มีหลายบริษัทให้เลือก ไวน์ก็มีเช่นกัน แหล่งทำไร่องุ่นอยู่ที่เมืองนาสิก (Nashik) แบรนด์ที่เคยลองก็มีไวน์แดงของ Valonne (กลิ่นคล้ายน้ำยาถูพื้นโรงพยาบาล ส่วนรสก็ไปกับกลิ่นล่ะครับ ดื่มแล้วทรมาน) กับ Sula (อันนี้ที่เคยลองก็ดีกว่า Valonne หลายขุมครับ แต่ก็ไม่พ้นกลิ่นน้ำยาถูพื้นจาง ๆ บางท่านจิตนาการล้ำลึกอาจบอกว่าเป็นกลิ่นหนังเก่า - ตามสะดวกเลยครับ) ส่วนรสก็พอไปได้นิด ๆ ครับจาง ๆ ไม่ค่อยมีอะไร ทั้งสองตัวนี้ มาจากนาสิกทั้งคู่ เจอเข้าไปทีเซ็งจมูกและเสียดายตังครับ
                                หลังจากได้เครื่องดื่มมาแล้วโดยยอมจ่ายแพงกว่า (คือ ไหน ๆ ก็จะเสียสุขภาพแล้ว ขอให้จังหวะเอาเข้าไปเนี่ยมันมีความสุขนิดนึงครับ จะได้คุ้มค่ากับสุขภาพที่บั่นทอนลงไป) ก็มาว่ากันต่อด้วยเรื่องการดื่ม
ตามกฎหมาย ณ ที่นี้ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะต้องมีอายุ 25 ปีขึ้นไป และจะต้องมีใบอนุญาตครับ (เพิ่งเริ่มเข้มเมื่อ 23 มิ.ย. ที่ผ่านมา - อันนี้ตามที่ถามพนักงานมานะครับ) ใช่ครับใบอนุญาต Drinking Permit / License … แต่ยังดีไม่ต้องไปสอบแบบใบขับขี่ (แต่ที่นี่คงซื้อเอานะผมว่า) โดยบาร์/ร้านจะคิดค่าใบอนุญาตรวมให้ในบิล ราคาคนละ 5 รูปี เรียกว่า one-day license ใบอนุญาต 1 ปี ราคา 100 รูปี ส่วนตลอดชีวิตก็ 1,000 รูปี ... ถูกมากครับ   ดื่มที่บ้านก็ต้องมีนะครับ เพราะถ้าโชคชะตาเล่นตลกโดนตำรวจบุกเจอก็ผิดนะครับ แม้จะดื่มที่บ้าน โทษก็มีปรับ 50,000 รูปี หรือจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับครับ ที่นี่เขามีความสามารถในการทำให้ชีวิตคุณยุ่งยากในเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นสาระครับ
                                สรุป ... ใครจะมาที่นี่ ก็หิ้วเข้ามาเลยนะครับ (ตามกฎหมายได้ไม่เกิน 1 ลิตร/คน) คุ้มกว่าเยอะ อ้อ ลืมบอกไปว่า น้ำแข็งที่นี่สามารถส่งคุณเข้าโรงพยาบาลได้ง่าย ๆ (อย่าคิดว่าเหล้าฆ่าเชื้อนะครับ) ก็ต้องใช้ความพยายามในการหาที่สะอาด ๆ หน่อยนะครับ อยากเมาต้องสู้ครับ ไม่ก็อาศัยผสมกะมิกเซอร์เย็น ๆ เอาก็พอไหวครับ

\(^S^)/