หนีฝน ... ปะแท็กซี่
วันนี้ 12 สิงหาคม 2555 สุขสันต์วันแม่ครับทุกคน ... รักแม่ ห่วงแม่ อย่าพึ่งพายาเสพติดนะครับ
วันนี้เป็นวันที่ผมตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องขยับตัวออกจากที่พักให้ได้หลังจากดีกรีความขี้เกียจออกไปมาไหนพอกพูนมากกว่างานที่พอกหางผมอยู่ในปัจจุบัน และในที่สุดก็สำเร็จครับแม้จะอ้อยอิ่งอยู่นานสองนานทำเอาเวลาที่วางแผนจะออกจากที่พักล่าช้าเนิ่นนานออกไปถึง 1 ชม. ครึ่ง
ก่อนออกจากที่พักก็ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะไปห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่ง Google Map บอกว่าห่างออกไป 13 ก.ม. ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเล็กน้อยก็จะถึง และได้โทรสอบถามพี่ ๆ ที่นี่เป็นอย่างดีว่านั่งแท็กซี่ราคาประมาณเท่าไหร่ เพื่อเอาไว้เป็นข้อมูลอ้างอิงให้เจ็บใจเล่นหากปรากฏว่าโดนแขกต้ม จริง ๆ แล้วการทราบราคาคร่าว ๆ ล่วงหน้าก็มีประโยชน์อีกอย่างครับ คือ เราจะพอกะ ๆ ได้ว่า ควรจะใกล้ถึงแล้วหรือไม่ หรือควรจะต้องเริ่มกังวลใจอย่างจริงจังและตรวจสอบว่า คนขับกับเราเข้าใจเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ตรงกันหรือไม่)
แน่นอนครับ พอทราบราคาคร่าว ๆ แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ เลือกขึ้นรถแท็กซี่สีเหลือง-ดำ รุ่นใหม่ที่มีมิเตอร์แบบดิจิตอล จะได้เห็นราคาชัด ๆ ไม่ต้องมานั่งเทียบตาราง (ซึ่งผมก็ไม่มีอยู่กับตัว)
ผมเดินออกจากที่พัก ข้ามถนน และเดินเลาะไปตามทางเท้า หันหลังกลับมามองหาแท็กซี่เป็นระยะ เรียกไม่ทันก็ปล่อยผ่านไป แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่เมตร ฝนก็เริ่มลงเม็ด ผมจึงหยุดยืนรอแท็กซี่ (อย่างจริงจัง) และก็ได้แท็กซี่ด้วยความรวดเร็ว จึงไม่โดนฝนจัง ๆ พอขึ้นรถได้ไม่เกิน 10 นาที ฝนก็ตกเป็นเรื่องเป็นราว คนขับที่น่ารักก็เอื้อมมาไขกระจกฝั่งคนนั่งข้างคนขับที่เปิดรับลมไว้ (เหลือง-ดำ ไม่มีแอร์ไงครับ) ให้เหลือครึ่งเดียวเพื่อไม่ให้ฝนสาดเข้ามา ผมทราบซึ้งมาก แม้จะยังมีละอองฝนพัดเข้าหน้าผมซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังก็ตาม แต่ในพะวงความปลื้มปิติในบริการนั้น โสตประสาทก็เริ่มตื่นตัว โดยมีเหตุจากกลิ่นคละคลุ้งที่ส่งมาถึงประสาทรับกลิ่นหลังการขยับตัวของคนขับนั่นเอง แล้วก็จางหายไปเกือบหมด ผมโล่งใจขึ้นมาทันที
ขออธิบายกลิ่นครับ - เป็นประมาณกลิ่นอับ ๆ ในค่ายมวย หรือโรงยิมน่ะครับ แต่แค่มันมารวมอยู่ที่คน 1 คน ในพื้นที่เล็ก ๆ ของแทกซี่ หายใจลำบากทีเดียว
และแล้วฝนฟ้าก็เล่นตลก ตกหนักขึ้นอีก คุณคนขับที่น่ารักก็ขยับตัวอีกครั้ง พร้อมไขกระจกขึ้นอีก ... ในหัวเริ่มทำงาน "(เห้ย ... ยอมเปียก ๆ อย่าปิดหมด ขอร้อง ...)" แม้ตอนนั้น จะมีน้ำหยดจากขอบกระจกตรงที่ผมนั่งให้ได้เปียกแล้ว ผมก็ยังภาวนาให้คนขับรถเหลือตัวช่วยให้ผมบ้าง
ผมนั่งมองกระจกค่อย ๆ เลื่อนขึ้นอย่างช้า ๆ (ระบบไขนี่ครับ แถมเือื้อมมาไขจากอีกฝั่งอีกตะหาก) และแล้วกระจกก็หยุดครับ เหลือช่องว่าง 1 นิ้ว ... ส่วนฝั่งคนขับก็ 1 นิ้วเช่นกัน บรรยากาศวังเวงเริ่มครอบงำ ความอับชื้นเริ่มกระจายตัวสู่ทุกอณูอากาศในตัวรถ การหายใจทำได้อย่างยากเย็นมากขึ้นทุกที ... คือ มันแบบหายใจไม่ออกครับ ครั้นจะสูดหายใจลึก ๆ เป็นครั้งคราวก็ไม่ไหว กลืนไม่เข้าคายไม่ออก คว้านตัวช่วยในกระเป๋า (ยาดม) ดันเจอแต่ลิปมัน ไอ้ตอนคลำเจอก็ดีใจครับ นึกว่าใช่ เพราะมันทรงเดียวกัน พอหยิบออกมา ... คิดทันทีว่า "(เอามาดมแทนได้ไหมเนี่ย)" แต่สุดท้ายก็วางลงครับ ไม่อยากทำตัวน่าสมเพชเกินเหตุ แต่แล้วก็ใจชื้นขึ้นเมื่อเหลือบไปเห็นราคาค่าโดยสารที่มิเตอร์ ซึ่งตัวเลขนั้นแสดงว่า ใกล้ถึงที่หมายมาก ๆ แล้ว ซึ่งหลังจากจากนั้นไม่เกิน 5 นาที ผมก็ถึงที่หมายครับ พร้อมสูดหายใจเต็มปอดเมื่อลงจากรถ
สรุปแล้ว ถ้าฝนตก อยู่บ้านดีกว่าครับ เว้นแต่มีรถส่วนตัว
วันนี้ 12 สิงหาคม 2555 สุขสันต์วันแม่ครับทุกคน ... รักแม่ ห่วงแม่ อย่าพึ่งพายาเสพติดนะครับ
วันนี้เป็นวันที่ผมตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องขยับตัวออกจากที่พักให้ได้หลังจากดีกรีความขี้เกียจออกไปมาไหนพอกพูนมากกว่างานที่พอกหางผมอยู่ในปัจจุบัน และในที่สุดก็สำเร็จครับแม้จะอ้อยอิ่งอยู่นานสองนานทำเอาเวลาที่วางแผนจะออกจากที่พักล่าช้าเนิ่นนานออกไปถึง 1 ชม. ครึ่ง
ก่อนออกจากที่พักก็ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะไปห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่ง Google Map บอกว่าห่างออกไป 13 ก.ม. ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเล็กน้อยก็จะถึง และได้โทรสอบถามพี่ ๆ ที่นี่เป็นอย่างดีว่านั่งแท็กซี่ราคาประมาณเท่าไหร่ เพื่อเอาไว้เป็นข้อมูลอ้างอิงให้เจ็บใจเล่นหากปรากฏว่าโดนแขกต้ม จริง ๆ แล้วการทราบราคาคร่าว ๆ ล่วงหน้าก็มีประโยชน์อีกอย่างครับ คือ เราจะพอกะ ๆ ได้ว่า ควรจะใกล้ถึงแล้วหรือไม่ หรือควรจะต้องเริ่มกังวลใจอย่างจริงจังและตรวจสอบว่า คนขับกับเราเข้าใจเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ตรงกันหรือไม่)
แน่นอนครับ พอทราบราคาคร่าว ๆ แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ เลือกขึ้นรถแท็กซี่สีเหลือง-ดำ รุ่นใหม่ที่มีมิเตอร์แบบดิจิตอล จะได้เห็นราคาชัด ๆ ไม่ต้องมานั่งเทียบตาราง (ซึ่งผมก็ไม่มีอยู่กับตัว)
ผมเดินออกจากที่พัก ข้ามถนน และเดินเลาะไปตามทางเท้า หันหลังกลับมามองหาแท็กซี่เป็นระยะ เรียกไม่ทันก็ปล่อยผ่านไป แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่เมตร ฝนก็เริ่มลงเม็ด ผมจึงหยุดยืนรอแท็กซี่ (อย่างจริงจัง) และก็ได้แท็กซี่ด้วยความรวดเร็ว จึงไม่โดนฝนจัง ๆ พอขึ้นรถได้ไม่เกิน 10 นาที ฝนก็ตกเป็นเรื่องเป็นราว คนขับที่น่ารักก็เอื้อมมาไขกระจกฝั่งคนนั่งข้างคนขับที่เปิดรับลมไว้ (เหลือง-ดำ ไม่มีแอร์ไงครับ) ให้เหลือครึ่งเดียวเพื่อไม่ให้ฝนสาดเข้ามา ผมทราบซึ้งมาก แม้จะยังมีละอองฝนพัดเข้าหน้าผมซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังก็ตาม แต่ในพะวงความปลื้มปิติในบริการนั้น โสตประสาทก็เริ่มตื่นตัว โดยมีเหตุจากกลิ่นคละคลุ้งที่ส่งมาถึงประสาทรับกลิ่นหลังการขยับตัวของคนขับนั่นเอง แล้วก็จางหายไปเกือบหมด ผมโล่งใจขึ้นมาทันที
ขออธิบายกลิ่นครับ - เป็นประมาณกลิ่นอับ ๆ ในค่ายมวย หรือโรงยิมน่ะครับ แต่แค่มันมารวมอยู่ที่คน 1 คน ในพื้นที่เล็ก ๆ ของแทกซี่ หายใจลำบากทีเดียว
และแล้วฝนฟ้าก็เล่นตลก ตกหนักขึ้นอีก คุณคนขับที่น่ารักก็ขยับตัวอีกครั้ง พร้อมไขกระจกขึ้นอีก ... ในหัวเริ่มทำงาน "(เห้ย ... ยอมเปียก ๆ อย่าปิดหมด ขอร้อง ...)" แม้ตอนนั้น จะมีน้ำหยดจากขอบกระจกตรงที่ผมนั่งให้ได้เปียกแล้ว ผมก็ยังภาวนาให้คนขับรถเหลือตัวช่วยให้ผมบ้าง
ผมนั่งมองกระจกค่อย ๆ เลื่อนขึ้นอย่างช้า ๆ (ระบบไขนี่ครับ แถมเือื้อมมาไขจากอีกฝั่งอีกตะหาก) และแล้วกระจกก็หยุดครับ เหลือช่องว่าง 1 นิ้ว ... ส่วนฝั่งคนขับก็ 1 นิ้วเช่นกัน บรรยากาศวังเวงเริ่มครอบงำ ความอับชื้นเริ่มกระจายตัวสู่ทุกอณูอากาศในตัวรถ การหายใจทำได้อย่างยากเย็นมากขึ้นทุกที ... คือ มันแบบหายใจไม่ออกครับ ครั้นจะสูดหายใจลึก ๆ เป็นครั้งคราวก็ไม่ไหว กลืนไม่เข้าคายไม่ออก คว้านตัวช่วยในกระเป๋า (ยาดม) ดันเจอแต่ลิปมัน ไอ้ตอนคลำเจอก็ดีใจครับ นึกว่าใช่ เพราะมันทรงเดียวกัน พอหยิบออกมา ... คิดทันทีว่า "(เอามาดมแทนได้ไหมเนี่ย)" แต่สุดท้ายก็วางลงครับ ไม่อยากทำตัวน่าสมเพชเกินเหตุ แต่แล้วก็ใจชื้นขึ้นเมื่อเหลือบไปเห็นราคาค่าโดยสารที่มิเตอร์ ซึ่งตัวเลขนั้นแสดงว่า ใกล้ถึงที่หมายมาก ๆ แล้ว ซึ่งหลังจากจากนั้นไม่เกิน 5 นาที ผมก็ถึงที่หมายครับ พร้อมสูดหายใจเต็มปอดเมื่อลงจากรถ
สรุปแล้ว ถ้าฝนตก อยู่บ้านดีกว่าครับ เว้นแต่มีรถส่วนตัว
ฯ(-"-ฯ)
No comments:
Post a Comment