Tuesday, 18 September 2012

โนบิตะ กับ อินเดีย

เวลาอยู่บ้านส่วนใหญ่ผมจะเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ ดูบ้างไม่ดูบ้าง โดยช่องที่เปิดเกือบจะตลอดคือ Disney Channel ซึ่งฉายโดเรมอนที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีเกือบทั้งวัน จะมีเพียงว่า คราวนี้โดเรมอนและผองเพื่อนพูดภาษาฮินดีกัน ตอนแรกก็รู้สึกขัด ๆ เพราะมีความคาดหวังว่า ช่องนี้น่าจะเป็นภาษาต้นตำรับแล้วมี sub-title เป็นภาษาท้องถิ่นเพื่อให้เด็ก ๆ เข้าใจได้ แต่พอคิดไปคิดมา ที่พากย์เป็นภาษาท้องถิ่นก็น่าจะถูกต้องแล้ว เพราะเด็ก ๆ คงอ่านไม่ทัน และถ้าทันก็คงจะเป็นการดูการ์ตูนที่น่าเบื่อพิลึก

ผมเป็นแฟนโดเรมอนคนหนึ่ง และชอบอ่านและดูมาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะตอนยาวที่เป็นการผจญภัยในดินแดนต่าง ๆ ผมรู้สึกว่า การดูโดเรมอนช่วยพัฒนาสมองด้านขวา ซึ่งเป็นด้านแห่งจิตนาการของมนุษย์ เพราะของวิเศษต่าง ๆ ของโดเรมอนส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ เต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะทำให้ชีวิตของมนุษย์สะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยเครื่องมือต่าง ๆ 

ตอนนี้ มีอายุแล้ว กลับมานั่งดู ก็ย่อมต้องมีบ้างที่รู้สึกว่า หลาย ๆ อย่าง มันไม่น่าจะใช่ แต่ก็คงเป็นเพราะรู้เยอะมากกว่าตอนเป็นเด็ก กำแพงแห่งความเป็นจริงจึงก่อตัวขึ้นปิดล้อมพื้นที่แห่งจินตนาการ

วันหนึ่งได้ดูโดเรมอนตอน "แว่นขยายวิเศษ" ซึ่งแว่นขยายนี้หากนำไปใช้ส่องสิ่งใด สิ่งนั้นจะขยายใหญ่ขึ้น (ก็คงแบบไฟฉายขยายส่วน และอุปกรณ์อีกมากมายที่ให้ผลลัพธ์เหมือนกัน) ซึ่งโนบิตะก็สามารถนำไปเล่นสนุกได้เช่นเคย โดยหนึ่งในนั้น คือ การช่วยเหลือแม่ ที่กำลังคลำหาแว่นตาบนพื้นห้อง เพื่อจะได้อ่าน นสพ. ต่อ ... โนบิตะเห็นดังนั้น จึงนำแว่นขยายไปส่อง นสพ. ให้ขยายใหญ่ขึ้นเท่ากับขนาดของพื้นห้องเพื่อให้แม่สามารถอ่านได้โดยไม่ต้องใช้แว่น

ประเด็นคือ ... มันใช่เหรอ แก้ปัญหาวิธีนี้เหรอ ไม่น่านะ เป็นเรา เราคงจะช่วยแม่หาแว่นใช่ไหมครับ แล้ว เอ่อ..ไอ้วิธีการแก้ปัญหาแบบนี้มันมาได้ไง คิดได้ไงเนี่ย 

ชั่วพริบตา ความคิดก็ผุดขึ้น นี่มัน นี่มัน ... ใครเลียนแบบใครฟระเนี่ย โนบิตะเลียนแบบแขก หรือแขกเรียนวิธีคิดแบบนี้จากโนบิตะ จะทางไหน มันก็หายนะชัด ๆ นี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากที่สะท้อนวิธีคิดของคนที่นี่ ที่ผมเห็นว่ามันไม่น่าจะใช่และภาวนาไม่ให้ต้องประสบพบเจอ เพราะมันคือความปวดกะโหลกอย่างสุดจะทน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นั่งกุมขมับอย่างเดียว

มีพี่ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า สมัยมาอยู่ที่นี้ใหม่ ๆ (ประมาณ 3 ปีที่แล้ว) ได้บ้านพักที่ไม่ดี ฝนตกแล้วน้ำรั่วซึมเข้ามาตามวงกบหน้าต่ืาง เล่นเอาน้ำเจิงนองไปเต็มห้อง จึงเรียกช่างมาซ่อม ... ไอ้เราก็คิดว่า "อ้อ ก็คงมาหารูรั่วและอุดซะ ไม่งั้นก็ยิงซิลิโคลนยาตามแนววงกบมันซะเลย น้ำก็ไม่เข้าแล้ว" แต่ไม่ใช่ครับ ผิดถนัด ที่นี่มีวิธีที่เหนือเมฆแบบสุด ๆ ทายให้ตายก็ไม่ถูกครับ สิ่งที่คุณช่างทำคือ สกัดพื้นหินอ่อนในห้อง หินอ่อนนะครับ สกัดเป็นร่องให้น้ำไหลซะ พร้อมเจาะกำแพงเป็นรูให้น้ำไหลออกไปข้างนอก ... (เข้าใจว่า พี่ท่านนั้นคงห้ามไม่ทัน หรือมาพบเอาสภาพสุึดท้ายหลัง "ซ่อม" เสร็จแล้ว) สมควรนั่งกุมกะโหลกและหัวเราะอย่างบ้าคลั่งให้กับโชคชะตาไหมครับ ??? ไม่รู้เอาอวัยวะส่วนไหนกลั่นกรองความคิดแบบนี้ออกมา เห่อ ...

การจัดเลี้ยงแบบบุฟเฟ่ต์ที่อินเดีย มีวิธีการนับจำนวนผู้เข้าร่วมงานที่น่าอัศจรรย์ (จริง ๆ แล้วน่าฉงนมากกว่า) ซึ่งหากนับได้เกินจากจำนวนขั้นต่ำที่ตกลงไว้เท่าใด ก็จะคิดเงินเพิ่มมากขึ้นตามจำนวนนั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติครับ โรงแรมบางแห่งในไทยก็ทำเช่นนี้ แม้บางโรงแรม (ส่วนใหญ่ที่ผมเจอ) จะนับเพื่อแจ้งลูกค้าเจ้าของงานเท่านั้นว่า อาหารอาจจะไม่พอ จะให้เตรียมอาหารเพิ่มเติมจากที่ตกลงหรือไม่ ซึ่งเหตุการณ์อาหารขาดจะเกิดได้ก็จะต้องมีจำนวนแขกเกินพอสมควรเลยนะครับ เพราะปกติโรงแรมจะเผื่ออาหารไว้ประมาณ 10% อยู่แล้ว 

สิ่งที่พิเศษสำหรับประเทศแห่งนี้ คือ การใช้วิธีการนับจำนวนจานครับ (คิดได้??) เช่น สมมติจำนวนต่ำสุดตกลงกันไว้ทีื่่ 200 คน ทางโรงแรมก็จะนับจำนวนจานมาวางไว้ที่ไลน์บุฟเฟ่ต์จำนวน 200 จานเป๊ะ ไม่ขาดไม่เกิน นับแล้วนับอีก เดินผ่านไปมาเดี๋ยว ๆ ก็นับ จนกว่าจะถึงเวลาเริ่มงาน แต่ถ้าจานหมดขอเพิ่มได้ครับ แต่นั่นคือค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามจำนวนที่ขอเพิ่ม ... แปลว่า สมมติฐานคือ คนในงานแต่ละคนจะต้องใช้จาน ๆ เดียวเท่านั้น จะตักกี่ล้านรอบ อาหารผสมกันในจานจนเละขนาดต้องเลียให้จานสะอาดเพื่อใส่อาหารใหม่ ก็ต้องใช้มันจานเดียวเท่านั้น (แต่จริง ๆ แล้ว เรื่องอาหารผสมกันเละเทะ รู้สึกจะไม่เป็นประเด็นสำหรับคนที่นี้ส่วนใหญ่นะครับ) เพื่อให้จำนวนจานสะท้อนจำนวนผู้เข้าร่วมงานจริง ๆ ถ้าทำแบบที่เราคุ้นเคย คือ ตักมันหลายรอบ ตักไปเรื่อย ลุก ๆ นั่ง ๆ และที่สำคัญคือ เปลี่ยนจานกันตลอด เจ้าภาพมีเจ๊งครับ

ผลที่ตามมาจากการนับจานก็คือ ผมเชื่อว่าทางโรงแรมจะต้องเตรียมอาหารแบบเหลือเฟือแบบไม่คะเนตามจำนวนที่ตกลงกัน ผนวกกับพื้นฐานความเขี้ยวลากดินคือ ไม่ยอมให้ 10% ที่ต้องทำเผื่อเสียไปฟรี ๆ แบบไม่มีรายได้เพิ่ม เพราะไม่เช่นนั้นก็ควรจะให้จานเราเพิ่ม 10% ถูกไหมครับ แฟร์ ๆ 

ต่อมา ผลจากการไม่คะเนจำนวนอาหารที่เหมาะสมตามจำนวนขั้นต่ำที่ตกลงก็คือ การจัดเลี้ยงที่นี่ คุณไม่สามารถห่ออาหารที่เหลือกลับบ้านได้ แม้คุณจะเป็นเจ้าของงาน ซึ่งผมเชื่อว่า เป็นเพราะหากสามารถนำอาหารกลับได้โรงแรมอาจจะขาดทุน เพราะมันคงทำเกินออกมามั่ว ๆ ซั่ว ๆ ตามสไตล์ โดยโรงแรมให้เหตุผลว่าที่ต้องทำแบบนี้เพราะไม่ต้องการให้อาหารขาด (ตลกละมรึง คิดได้ไง) คาดว่า จริง ๆ เวลาลูกค้าที่เป็นแขกด้วยกันมาจัดงานอาจจะเจอปัญหากินไม่หยุด หรือแอบเอากลับบ้าน แล้วมากล่าวหาว่าโรงแรมเตรียมอาหารน้อย ไม่เป็นไปตามที่ตกลง และอาจจะพยายามลดจำนวนเงินที่ต้องจ่ายโรงแรมลง ซึ่งก็อีกแหละครับ ผมว่ามันสะท้อนความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันและความพร้อมจะเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นของคนพวกนี้ (ผมคิดว่า การที่ตู้เย็นที่นี่มาพร้อม feature เสริมคือ กุญแจล็อคตู้ในตัว ก็น่าจะสะท้อนความเป็นจริงของสังคมที่คนต้องปากกัดตีนถีบและพร้อมจะเอาเปรียบผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของตนเสมอ)

สรุป วิธีคิดแบบนี้ มันไม่ใช่ เป็นวิธีแก้ปัญหาแบบแกน ๆ ซึ่งคงใช้ได้กับคนประเภทเดียวกันเท่านั้น แถมเวลาไปต่อรองให้ไม่นับจำนวนจาน ขอแค่ให้เตรียมอาหารมาตามที่ตกลงพร้อมขั้นต่ำ +10% อีเซลมันยังมีหน้ามาบอกว่า "โอ้ ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน เป็นครั้งแรกเลย เรานับจานกันมาตลอด ทุกที่ในประเทศอารยธรรมเก่าแก่ (แต่หยุดเจริญไปแล้วหลายสิบปี) แห่งนี้ก็ทำเช่นนี้" ซึ่งถ้าโรงแรมมันนับ เราก็ต้องไปนับด้วยอีก เพราะ เหมือนที่คำโบราณว่าไว้ "ให้ตีแขกก่อนงู" ใครจะไว้ใจครับ

สรุป สวดส่งให้ไปที่ชอบ ๆ ... พร้อมแหกปากไล่หลังไปว่า "เห้ย เปิดตาดูโลกบ้าง มรึงไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาลโว้ย เอาแค่ทวีปเอเชียมรึงยังเป็นศูนย์กลางไม่ได้เลย สวัสดี"



t.(-_-")



3 comments:

  1. so far.. this post is my most favorite!

    ReplyDelete
  2. เออ ตลกอ่ะ คิดได้ไง -__-"

    ReplyDelete
  3. กว่าจะคอมเม้นท์บล็อกพี่อาร์ตได้นี่ลำบากแท้...

    ReplyDelete