ขาที่ 1 : ขาเข้าจากไทย
ขาที่ 1 นับได้ว่าเป็นขาที่มึนน้อยที่่สุดสำหรับเรา ๆ แต่สำหรับคุณแอร์ก็คงจะมึนน่าดูชมพอ ๆ กับขาออกจากเมืองมุมไบ เพราะ พี่น้องชาวอินเดียชอบเล่นเก้าอี้ดนตรีกันมาก โดยเริ่มตั้งแต่เครื่องยังไม่ขึ้น จนกระทั่งก่อนเสิร์ฟอาหาร แล้วทำไมการเล่นเก้าอี้ดนตรีจึงทำให้คุณแอร์มึนถึงขนาดหน้าบูด บ่นงุบงิบ ๆ น่ะเหรอครับ ก็เพราะ พี่น้องชาวอินเดียมักจะสั่งอาหารพิเศษล่วงหน้าครับ โดยคุณแอร์จะมีข้อมูลว่า ผู้โดยสารชื่อนี้ นั่งที่เก้าอี้หมายเลขนี้ สั่งอาหารพิเศษ ก็ที่เราเห็นคุณแอร์ถือกระดาษพร้อมปากกาเดินตรวจสอบกับผู้โดยสารบางคนก่อนเครื่องขึ้นนั่นแหละครับ แต่คราวนี้พี่น้องเล่นไม่นั่งที่ตามที่ตัวเอง
คุณแอร์ก็มึนซิครับ แล้วหาตัวกันง่าย ๆ ที่ไหนครับ
บางครั้งการเล่นเก้าอี้ดนตรีอาจกระทบชิ่งมาถึงเราหากเรามีที่นั่งว่างอยู่ข้าง ๆ หากรู้ว่าอาจตกเป็นเป้าก็พึงระวัง โดยเริ่มนำสิ่งของเครื่องใช้มากองไว้ที่ที่นั่งข้างเราที่ว่างให้เสมือนมีคนนั่งแต่ไม่รู้อยู่ไหน (หากจำเป็นก็มั่วไปเลยว่าจะมีเพื่อนมานั่ง) การนั่งข้างแขกนั้นมีความเสี่ยงหลายประการที่ล้วนไม่พึงประสงค์ หลัก ๆ คงเป็นเรื่องมารยาท ความเกรงใจ ขนาดตัว และกลิ่น แต่บางคนก็มารยาทดีมากนะครับ เคยเจอเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นผม ผมพยายามไม่เสี่ยงครับ
เรื่องเหล้ากะแขก แขกกะเหล้า ก็ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจร่วมกันนะครับ
เริ่มมึนเบา ๆ ตั้งแต่บนเครื่อง หลังจากไ้ด้รับใบเข้าเมืองของอินเดียจากคุณแอร์สุดสวย คนส่วนใหญ่ก็จะพุ่งไปที่แบบฟอร์มที่ต้องกรอก และลงมือกรอกอย่างเมามันและชินมือ เตรียมพร้อมสำหรับผ่านด่าน ตม. ผ่านไปได้ไม่กี่บรรทัด เครื่องหมายคำถาม ? พร้อม "อะไรแมร่งนิ %#$^$#@" ผุดขึ้นมาเต็มไปหมด เพราะต้องเผชิญกับตัวย่อที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา เช่น NRI (Non-resident Indians) PIO (Persons of Indian Origin) และ OCI (Overseas Citizens of India) ให้เราเลือกว่า เราเป็นหนึ่งในคนประเภทเหล่านี้หรือไม่ ไม่ใช่ก็เลือก NONE ครับ ตรงนี้ไม่มีอะไรมากครับ แค่ขอแนะนำว่าให้อ่านหน้าแรกก่อน แล้วจึงมากรอกในหน้า 2 ครับ ตรงส่วนล่างของฟอร์ม จะเป็นส่วนแยกสำหรับศุลกากร จะเห็นรอยประให้ฉีกออกจากกันได้ แต่ก็ไม่ต้องฉีกครับ เดี๋ยวพี่ ตม. จัดการให้เองครับ แต่เก็บส่วน slip เล็ก ๆ นั้นไว้ให้ดีนะครับ เพราะจะต้องใช้ก่อนออกจากสนามบินครับ
เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติ Chhatrapati Shivaji โดยสวัสดิภาพ โอกาสเครื่องลงจอดช้ากว่ากำหนดการมีน้อยมาก เพราะบินตามลม กัปตันสามารถทำเวลาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่ ... จะมาเสียเวลา taxi จนจอดสนิท พร้อมให้ผู้โดยสารลงจากเครื่องอีกกว่า 20 นาที หลังจากนั้น มุ่งหน้าด่าน ตม. และรับกระเป๋าสัมภาระ
ต้องบอกว่า เดินไกลทีเดียวไม่แพ้สุวรรณภูมิ แม้ี่ที่นี่จะมีขนาดเล็กกว่ามาก เมื่อถึงด่าน ตม. มักไม่มีปัญหาอะไร แต่บางครั้งอาจจะต้องรอคิวนาน แต่ทางการอินเดียก็พยายามแก้ไขให้สามารถให้บริการได้เร็วขึ้น พอผ่าน ตม. แล้ว ก็จะมาเจอเจ้าหน้าที่ ตม. อีกครั้ง คือ พอเราเดินผ่านเคานเตอร์มา (บินการบินไทยหรือบางกอกแอร์เวย์สให้เลี้ยวซ้าย บินเจ็ทหรือแอร์อินเดียให้เลี้ยวขวานะครับเพราะสายพานรับกระเป๋าอยู่คนละฝั่งกัน) ที่จุดออกไปยังสายพานก็จะมี ตม. มาดักขอดูหนังสือเดินทางอีกครั้งว่าได้ประทับตราเข้าประเทศแน่แล้วหรือไม่ เราก็เปิดหน้านั้นไว้ให้ดูเท่านั้นครับ และบางครั้งก็จะถามว่า เรามาสายการบินใด เพื่อให้แน่ใจว่าเราออกถูกทางครับ แต่ไม่ต้องเครียดนะครับ ถ้าออกผิดทางแน่แล้ว (ไม่มีเที่ยวบินปรากฏบนจอที่สายพาน) ก็แค่เดินย้อนกลับไปครับ ถาม ตม. ที่จุดออกคนเดิมว่า สายการบินนี้สายพานไหน เดี๋ยวเขาบอกเองครับ
อ้อ สินค้าปลอดภาษีที่นี่ เท่าที่ผมเห็นผมว่าราคาที่ไทยถูกกว่าเล็กน้อยครับ ใครลืมหิ้วของมึนเมามาจากไทยก็แนะนำให้ซื้อครับ (ถ้าคิดว่าดื่มแน่ ๆ) เพราะไปซื้อแบบมีภาษีเนี่ย ผมว่าไม่ดื่มดีกว่าครับ อ้อ แล้วก็ ชาวต่างชาติไม่สามารถใช้เงินรูปีอินเดียซื้อสินค้าได้นะครับ
รอคิวที่ ตม. นานหน่อย อย่าไปกังวลครับ เพราะสิ่งที่ช้าที่สุดคือ กระเป๋า ช้ามาก ช้าได้อีก ช้าไปเรื่อย ช้าอะไรไม่ทราบ แต่ช้าจริง ๆ เดี๋ยวนี้สุวรรณภูมิเราเร็วมาก มาเจอที่นี่เซ็งสนิทครับ แถมสายพานเล็ก คนยืนกันตรึม หาตำแหน่งแทรกยากมาก แต่ต้องลุยครับ จับจองพื้นที่ให้มั่น แขกจะให้วิชาแทรกและดันเข้ายึดพื้นที่ โดยไม่สนใจใคร เพราะฉะนั้นต้องยืนหยัดครับ หรือมีอีกวิธีที่เพิ่งเรียนรู้มา คือ ชิวครับ ไม่ต้องไปเบียดกะแขกอยู่แถวหน้าติดสายพาน อยู่แถวสองนั่นแหละครับ พอกระเป๋ามาให้บอก (แหกปาก) พวกแถวหน้าให้ช่วยครับ ท่านจะได้กระเป๋าของท่านโดยไม่ต้องออกแรง
ขาที่ 1 นับได้ว่าเป็นขาที่มึนน้อยที่่สุดสำหรับเรา ๆ แต่สำหรับคุณแอร์ก็คงจะมึนน่าดูชมพอ ๆ กับขาออกจากเมืองมุมไบ เพราะ พี่น้องชาวอินเดียชอบเล่นเก้าอี้ดนตรีกันมาก โดยเริ่มตั้งแต่เครื่องยังไม่ขึ้น จนกระทั่งก่อนเสิร์ฟอาหาร แล้วทำไมการเล่นเก้าอี้ดนตรีจึงทำให้คุณแอร์มึนถึงขนาดหน้าบูด บ่นงุบงิบ ๆ น่ะเหรอครับ ก็เพราะ พี่น้องชาวอินเดียมักจะสั่งอาหารพิเศษล่วงหน้าครับ โดยคุณแอร์จะมีข้อมูลว่า ผู้โดยสารชื่อนี้ นั่งที่เก้าอี้หมายเลขนี้ สั่งอาหารพิเศษ ก็ที่เราเห็นคุณแอร์ถือกระดาษพร้อมปากกาเดินตรวจสอบกับผู้โดยสารบางคนก่อนเครื่องขึ้นนั่นแหละครับ แต่คราวนี้พี่น้องเล่นไม่นั่งที่ตามที่ตัวเอง
คุณแอร์ก็มึนซิครับ แล้วหาตัวกันง่าย ๆ ที่ไหนครับ
บางครั้งการเล่นเก้าอี้ดนตรีอาจกระทบชิ่งมาถึงเราหากเรามีที่นั่งว่างอยู่ข้าง ๆ หากรู้ว่าอาจตกเป็นเป้าก็พึงระวัง โดยเริ่มนำสิ่งของเครื่องใช้มากองไว้ที่ที่นั่งข้างเราที่ว่างให้เสมือนมีคนนั่งแต่ไม่รู้อยู่ไหน (หากจำเป็นก็มั่วไปเลยว่าจะมีเพื่อนมานั่ง) การนั่งข้างแขกนั้นมีความเสี่ยงหลายประการที่ล้วนไม่พึงประสงค์ หลัก ๆ คงเป็นเรื่องมารยาท ความเกรงใจ ขนาดตัว และกลิ่น แต่บางคนก็มารยาทดีมากนะครับ เคยเจอเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นผม ผมพยายามไม่เสี่ยงครับ
เรื่องเหล้ากะแขก แขกกะเหล้า ก็ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจร่วมกันนะครับ
เริ่มมึนเบา ๆ ตั้งแต่บนเครื่อง หลังจากไ้ด้รับใบเข้าเมืองของอินเดียจากคุณแอร์สุดสวย คนส่วนใหญ่ก็จะพุ่งไปที่แบบฟอร์มที่ต้องกรอก และลงมือกรอกอย่างเมามันและชินมือ เตรียมพร้อมสำหรับผ่านด่าน ตม. ผ่านไปได้ไม่กี่บรรทัด เครื่องหมายคำถาม ? พร้อม "อะไรแมร่งนิ %#$^$#@" ผุดขึ้นมาเต็มไปหมด เพราะต้องเผชิญกับตัวย่อที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา เช่น NRI (Non-resident Indians) PIO (Persons of Indian Origin) และ OCI (Overseas Citizens of India) ให้เราเลือกว่า เราเป็นหนึ่งในคนประเภทเหล่านี้หรือไม่ ไม่ใช่ก็เลือก NONE ครับ ตรงนี้ไม่มีอะไรมากครับ แค่ขอแนะนำว่าให้อ่านหน้าแรกก่อน แล้วจึงมากรอกในหน้า 2 ครับ ตรงส่วนล่างของฟอร์ม จะเป็นส่วนแยกสำหรับศุลกากร จะเห็นรอยประให้ฉีกออกจากกันได้ แต่ก็ไม่ต้องฉีกครับ เดี๋ยวพี่ ตม. จัดการให้เองครับ แต่เก็บส่วน slip เล็ก ๆ นั้นไว้ให้ดีนะครับ เพราะจะต้องใช้ก่อนออกจากสนามบินครับ
เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติ Chhatrapati Shivaji โดยสวัสดิภาพ โอกาสเครื่องลงจอดช้ากว่ากำหนดการมีน้อยมาก เพราะบินตามลม กัปตันสามารถทำเวลาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่ ... จะมาเสียเวลา taxi จนจอดสนิท พร้อมให้ผู้โดยสารลงจากเครื่องอีกกว่า 20 นาที หลังจากนั้น มุ่งหน้าด่าน ตม. และรับกระเป๋าสัมภาระ
ต้องบอกว่า เดินไกลทีเดียวไม่แพ้สุวรรณภูมิ แม้ี่ที่นี่จะมีขนาดเล็กกว่ามาก เมื่อถึงด่าน ตม. มักไม่มีปัญหาอะไร แต่บางครั้งอาจจะต้องรอคิวนาน แต่ทางการอินเดียก็พยายามแก้ไขให้สามารถให้บริการได้เร็วขึ้น พอผ่าน ตม. แล้ว ก็จะมาเจอเจ้าหน้าที่ ตม. อีกครั้ง คือ พอเราเดินผ่านเคานเตอร์มา (บินการบินไทยหรือบางกอกแอร์เวย์สให้เลี้ยวซ้าย บินเจ็ทหรือแอร์อินเดียให้เลี้ยวขวานะครับเพราะสายพานรับกระเป๋าอยู่คนละฝั่งกัน) ที่จุดออกไปยังสายพานก็จะมี ตม. มาดักขอดูหนังสือเดินทางอีกครั้งว่าได้ประทับตราเข้าประเทศแน่แล้วหรือไม่ เราก็เปิดหน้านั้นไว้ให้ดูเท่านั้นครับ และบางครั้งก็จะถามว่า เรามาสายการบินใด เพื่อให้แน่ใจว่าเราออกถูกทางครับ แต่ไม่ต้องเครียดนะครับ ถ้าออกผิดทางแน่แล้ว (ไม่มีเที่ยวบินปรากฏบนจอที่สายพาน) ก็แค่เดินย้อนกลับไปครับ ถาม ตม. ที่จุดออกคนเดิมว่า สายการบินนี้สายพานไหน เดี๋ยวเขาบอกเองครับ
อ้อ สินค้าปลอดภาษีที่นี่ เท่าที่ผมเห็นผมว่าราคาที่ไทยถูกกว่าเล็กน้อยครับ ใครลืมหิ้วของมึนเมามาจากไทยก็แนะนำให้ซื้อครับ (ถ้าคิดว่าดื่มแน่ ๆ) เพราะไปซื้อแบบมีภาษีเนี่ย ผมว่าไม่ดื่มดีกว่าครับ อ้อ แล้วก็ ชาวต่างชาติไม่สามารถใช้เงินรูปีอินเดียซื้อสินค้าได้นะครับ
รอคิวที่ ตม. นานหน่อย อย่าไปกังวลครับ เพราะสิ่งที่ช้าที่สุดคือ กระเป๋า ช้ามาก ช้าได้อีก ช้าไปเรื่อย ช้าอะไรไม่ทราบ แต่ช้าจริง ๆ เดี๋ยวนี้สุวรรณภูมิเราเร็วมาก มาเจอที่นี่เซ็งสนิทครับ แถมสายพานเล็ก คนยืนกันตรึม หาตำแหน่งแทรกยากมาก แต่ต้องลุยครับ จับจองพื้นที่ให้มั่น แขกจะให้วิชาแทรกและดันเข้ายึดพื้นที่ โดยไม่สนใจใคร เพราะฉะนั้นต้องยืนหยัดครับ หรือมีอีกวิธีที่เพิ่งเรียนรู้มา คือ ชิวครับ ไม่ต้องไปเบียดกะแขกอยู่แถวหน้าติดสายพาน อยู่แถวสองนั่นแหละครับ พอกระเป๋ามาให้บอก (แหกปาก) พวกแถวหน้าให้ช่วยครับ ท่านจะได้กระเป๋าของท่านโดยไม่ต้องออกแรง
ชาวไทยผู้บอบบาง "sorry sorry that is my bag. Please help. Please help."
สุภาพบุรุษเลือดอินเดีย "Datis yo'r bag?"
สุภาพบุรุษเลือดอินเดีย "Datis yo'r bag?"
ชาวไทยผู้บอบบาง "Yes yes, the black one. Yes that one. Thank you very much sir thank you."
หรือไม่คุณก็สามารถเลือกใช้บริการพนักงานยกกระเป๋าที่จะแห่มาหาคุณพร้อมรถเข็น เสร็จแล้วก็ให้ไปสัก 50 รูปี 100 รูปี แล้วแต่ความสะดวกและปริมาณกระเป๋าครับ (ส่วนผม ผมว่า 50 รูปีก็เยอะละ แต่ไม่รู้คนรับจะว่าไงนะครับ ผมเองก็ไม่เคยใช้บริการเหมือนกัน) แต่ว่าก็อย่าให้เกิน 100 รูปีเลยครับ เสียนิสัยหมด (ไม่ได้ขัดคนที่จะให้มากกว่านี้นะครับ)
เรียบร้อยได้กระเป๋ามาละ ต่อไปก็เข็นรถ หรือลากผ่านศุลกากรครับ คือ แม้จะมีช่องเขียว คือ ไม่มีอะไรต้องสำแดง แต่เท่าที่เห็นทุกคนจะต้องนำกระเป๋าส่งสู่สายพานเครื่องแสกน (ที่ไทยเราใช้วิธีการสุ่มตรวจ แต่ที่นี่ไม่สุ่มครับ) ตรงนี้ก็จะเป็นอีกทีที่แถวยาวมาก เพราะมีเครื่องแสกนกระเป๋าเครื่องเดียวครับ
จบแล้วครับ ผ่านออกมาได้ จะมีศุลกากรคอยเก็บ slip เล็ก ๆ นั้น (จำได้มั้ยครับ ที่ ตม. ฉีกให้) เป็นอันจบพิธี ใครมีคนมารอรับก็เป็นลาภอันประเสริฐ ใครต้องหาแทกซี่ ก็สู้หน่อยนะครับ เอาให้แน่ว่าไปถึงที่หมายได้แน่นอน โดยสามารถใช้บริการ Prepaid Taxi Counter ได้ โดยให้ที่อยู่ไป แล้วจ่ายตังตามระยะทาง จากนั้นก็นำคูปองไปรอเรียกขึ้นรถ taxi ครับ ซึ่งมีทั้งแบบที่มีแอร์และไม่มีแอร์ให้เลือก (คนละราคา) ส่วนกระเป๋า โดยปกติแล้วก็จะมัดไว้บนหลังคาครับ
คนไทยส่วนใหญ่จะมาพักกันในเขต South Mumbai ก็จะใช้เวลาจากสนามบินประเมาณ 1 ชม. ครับ (เที่ยวบินจากไทยส่วนใหญ่มาถึงค่อนข้างดึก รถจึงไม่ติดครับ เว้น ฝนตกน้ำท่วม อันนี้มี 2 ชม. หรืออาจจะมากกว่านั้น ครับ)
คนไทยส่วนใหญ่จะมาพักกันในเขต South Mumbai ก็จะใช้เวลาจากสนามบินประเมาณ 1 ชม. ครับ (เที่ยวบินจากไทยส่วนใหญ่มาถึงค่อนข้างดึก รถจึงไม่ติดครับ เว้น ฝนตกน้ำท่วม อันนี้มี 2 ชม. หรืออาจจะมากกว่านั้น ครับ)
Y (^.^) Y
เคยมีรุ่นน้องเดินทางจากบังกาลอร์ไปนิวเดลีโดยรถไฟ พอไปถึงสถานีรถไฟแล้วโดนแท๊กซี่หลอกค่ะ ไม่ได้วางแผน ไม่ได้จองโรงแรม บอกแท๊กซี่ให้พาไป ดันขับอ้อมไปไหนไม่รู้แล้วเกิดหลงทาง สุดท้ายไปทิ้งน้องไว้ที่หน้าโรงพยาบาล แล้วบอกว่า อ่ะเนี่ยโรงแรม ?!
ReplyDeleteคงเป็นโพสที่ประทับใจพี่อาร์ตจริงๆ -_-"
ReplyDeleteกลับบ้านคงต้องอาบน้ำก่อนเป็นอันดับแรก
ReplyDelete