Saturday, 8 September 2012

เข้า-ออกมุมไบทางอากาศ (ขาสุดท้าย - bye bye มุมไบ / อินเดีย)

ขาสุดท้ายก็คือขาออกจากมุมไบกลับประเทศไทย หรือสวรรค์นั่นเอง หลยคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ใครได้มาอินเดีย จะรู้สึกรักประเทศไทยขึ้นอีกมาก ทุกอย่างจะเยี่ยมไปหมด ซึ่งรู้สึกได้ตั้งแต่ก้าวแรกออกจากเครื่องบิน ท่าอาศยานสุวรรณภูิมิแสนสวย ร้านสินค้าปลอดภาษี ความเป็นระเบียบ ที่รับกระเป๋าสัมภาระที่ไม่แออัด มีแสงสว่างของหลอดไฟเพียงพอที่จะทำให้รู้สึกสดใส ฯลฯ แต่ก่อนจะไปถึงสุวรรณภูมิได้ ก็จะต้องผ่านพิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งก็จะคล้าย ๆ กับการเดินทางออกจากมุมไบไปยังเมืองอื่น ๆ ในอินเดีย ซึ่งได้แบ่งปันประสบการณ์ไปใน "ขาที่ 2" แล้ว ครั้งนี้จึงขอบรรยายโดยสังเขป

1) อย่าลืมบัตรโดยสาร หรือสำเนาบัตรโดยสาร ถ้าเป็น e-ticket ก็พิมพ์ออกมาให้เรียบร้อยครับ เพื่อใช้เข้าอาคารขาออกเหมือนเดิม

2) หนังสือเดินทาง หรือ CI (กรณีหนังสือเดินทางสูญหายและไม่สามารถทำใหม่ได้ทัน) อันนี้ก็ใช้ตั้งแต่เข้าอาคารขาออกครับ

3) ขาออกระหว่างประเทศ สามารถเชคอินที่เคานเตอร์ได้เลย ไม่ต้องลากกระเป๋าไปแสกนแต่อย่างใด และหากใครต้องการห่อสัมภาระด้วยฟิล์มพลาสติก (plastic wrap) ก็ีมีให้บริการครับ (ขาภายในประเทศก็มีครับ)

4) เชคอินแล้ว อย่าลืมขอบัตร ตม. ขาออก จากเคาน์เตอร์มากรอกให้เรียบร้อย และอย่าลืมบัตรห้อยกระเป๋าเหมือนเดิมครับ ห้อยให้ครบทุกชิ้น

5) ขั้นต่อไปคือ ตม. ครับ ก็ไปต่อคิวตามระเบียบ ไม่มีอะไรพิสดารครับ ปกติจะมีเจ้าหน้าที่นั่งคอยชี้ว่าให้เราไปต่อแถวไหน โดยดูจากจำนวนคนแต่ละแถวและประเภทหนังสือเดินทางที่ถือครับ แต่เราสามารถตัดสินใจต่อแถวใดก็ได้นะครับ (แถวสำหรับชาวต่างชาตินะครับ แต่บางทีมันก็มั่ว ๆ นะครับ ต่อแถวไหนก็ได้) เพราะบางทีคุณเจ้าหน้าที่ก็จิ้มมั่วครับ

6) ผ่าน security check อันนี้แถวจะยาวมากถึงยาวที่สุด แบ่งชายหญิงเช่นกัน ก็ทนหน่อยนะครับ ผ่านไปได้ก็จะได้ประทับตราที่บัตรห้อยกระเป๋า และ boarding pass เหมือนเดิม แน่นอนครับ ถูกลูบคลำกันถ้วนหน้า แต่ไม่ต้องถอดเข็มขัด / รองเท้าเช่นกัน

7) ผ่าน security check ไปได้ ก็จะได้ลงบันไดเลื่อนมาสู่ร้านสินค้าปลอดภาษี ซึ่งเดิน 10 นาทีก็ทั่วแล้วครับ แถมสินค้าก็ไม่มีอะไรมาก ราคาบางอย่างเท่าที่ดู ก็ไม่ถูกกว่าที่ไทยครับ และบางร้านราคาก็เท่าข้างนอกหรือแพงกว่านะครับ คือไม่ได้เป็นร้านปลอดภาษีนั้นเอง เช่น Pavers England (รองเท้าหนัง) หรือ Samsonite (กระเป๋าสัมภาระและเครื่องหนัง - Samsonite ที่นี่จะมีผลิตภัณฑ์เครื่องหนังด้วยครับ เช่น รองเท้า เข็มขัด กระเป๋าเอกสารขนาดต่าง ๆ ฯลฯ made in India) นอกจากนี้ ก็จะมีร้านเครื่องประดับขนาดใหญ่ ซึ่งผมก็ได้แต่ดูอยู่ข้างนอกครับ

8) เดินวนไปวนมาหลายรอบแล้วก็ไม่มีหนทางละลายทรัพย์ได้ (ซึ่งก็ดีแล้ว) ก็ได้เวลาหาที่นั่งครับ และแล้วก็เพิ่งสำเหนียกว่าทำไมมันหายากแบบนี้ แขกนั่งเต็มไปหมด หายากหาเย็น จนสุดท้ายต้องไปเดินวนดูของอีกหลายรอบ พร้อมกับสอดส่ายสายตาหาที่นั่งไปด้วย สุดท้ายก็ได้ครับ หลังเหลือเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงจะต้องขึ้นเครื่อง (คือ ผมอาจจะเรื่องมาก ไม่อยากนั่งติด ๆ กับแขกน่ะครับ เลยเดินทางที่ว่าง ๆ โล่ง ๆ นานหน่อย)

9) ขึ้นเครื่องกลับบ้าน ... ก็ตรวจ boarding pass (จริง ๆ ไม่ได้ตรวจหรอกครับ ฉีกโลด) แล้วก็มีเจ้าหน้าที่มาตรวจตราประทับ security check เหมือนเดิม ก่อนจะให้เราเดินขึ้นเครื่องไปได้

10) เมื่อขึ้นเครื่องไปแล้วก็จะเหมือนขาออกมามุมไบครับ ความโกลาหลจะเริ่มขึ้น คุณแอร์ก็รับบทหนักเหมือนเดิม ส่วนเรา นอนดีกว่าครับ เช้าวันรุ่งขึ้นจะได้ถึงประเทศไทยอย่างสดชื่นแจ่มใสครับ

ปล. แขกจะนิยมถือสัมภาระขึ้นเครื่องเยอะมาก เพราะฉะนั้นเรารีบขึ้นเครื่องหน่อยก็ดีครับ เว้นแต่ไม่มีของอะไรที่จะต้องแย่งที่วางกับแขกครับ เพราะหากคุณต้องวางของห่างออกไปแล้ว ขาลงคุณอาจจะต้องรอแขกลงกันหมด หรือมีคนขวางทางให้ถึงจะได้้มีโอกาสไปหยิบนะครับ (ถ้าใจเย็นได้ก็สบาย ๆ ครับ) เพราะแขกเป็นชนชาติที่เหมือนกับแข่งกันลงเครื่องบินครับ รอไม่เป็น หยุดให้ทางไม่เป็น ต้องแทรกออกมาเท่านั้น แล้วต้องแทรกแบบ "ก็ตรูจะไปอ่ะ มรึงจะทำไม" ไม่งั้นก็รอไปครับ สำหรับผม รอจังหวะเอาครับ ไม่รีบ ไม่อยากเบียดกะแขกโดยไม่จำเป็น

ท้ายสุดจริง ๆ อย่าลืมเช็คกลิ่นตัวเองนะครับ เพราะคนไทยที่มารับอาจผงะ เซถอยหลังได้ทีเดียว

รักเมืองไทยเพิ่มมากขึ้นไหมครับ ???


- คิ . ด . ถึ . ง . ป . ร . ะ . เ . ท . ศ . ไ . ท . ย -


1 comment: