ขาที่ 2 - ขาในประเทศ
การบินไป-มาภายในประเทศย่อมยุ่งวุ่นวายน้อยกว่าระหว่างประเทศแน่นอนอยู่แล้ว และที่อินเดียก็เช่นเดียวกันครับ โดยสิ่งที่จะขาดไม่ได้เลย นอกเหนือจากหนังสือแสดงตน เช่น บัตรที่ทางการอินเดียออกให้ หรือหนังสือเดินทาง หรือ CI ที่ทางการไทยออกให้แล้ว ก็จะต้องติดบัตรโดยสาร หรือสำเนาบัตรโดยสารไปด้วยทุกครั้ง เพราะมันคือตั๋วเข้าสู่อาคารผู้โดยสารขาออกของคุณ ไม่มีตั๋ว ไม่ให้เข้านะครับ เจ้าหน้าที่อินเดียจะยืนรออยู่ทุกประตูทางเข้าอาคารขาออกเพื่อตรวจตั๋วและหนังสือแสดงตน เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะเดินทางวันนั้นจริง ๆ ญาติสนิท มิตรสหายที่ไปส่งก็จะส่งได้แค่นั้นครับ เข้าอาคารไม่ได้
อีกอย่างคือ กะเวลาให้พอดี ๆ นะครับ ไปก่อนนาน ๆ ก็ไม่ให้เข้านะครับพี่น้อง เวลาที่ควรไปถึง คือ ประมาณ 1 - 1 ชม. ครึ่ง สำหรับภายในประเทศ (และ 2 ชม. ครึ่ง สำหรับระหว่างประเทศ) บางครั้งอาจจะต้องไปนั่งรอที่ Gate นานหน่อย (ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจให้เดินดู หรือละลายทรัพย์ครับ) แต่เอาชัวร์ไว้ดีกว่าครับ
ผ่านด่านชั้นแรกเข้าไปได้ ด้วยความที่เป็นสนามบินภายในประเทศ บางครั้ง คุณก็จะต้องลากกระเป๋าสัมภาระที่จะโหลดขึ้นเครื่องไปผ่านเครื่องแสกน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ (ดูผ่านเครื่องแสกน) และติดสติกเกอร์ให้ คล้าย ๆ บ้านเราสมัยก่อน โดยเครื่องแสกนอาจจะมีอยู่เพียงเครื่องเดียวครับ เช่น ที่สนามบินเมืองวาดอดรา (Vadodara) ซึ่งมีขนาดเล็ก ๆ น่ารัก ตึกสีสันสวยงามครับ)
จากนั้น จึงไปเชคอินที่เคาน์เตอร์ตามปกติครับ ก็จะเจอสภาพมึนงง แขกเกะกะ บ้าบอคอแตกตามประสาความไม่มีระเบียบไปตามเรื่องตามราวครับ โชคดีก็อาจจะไม่ต้องเจอเรื่องน่ารำคาญให้ขุ่นข้องหมองใจ หลังจากเชคอินเรียบร้อย ให้ขอ tag ห้อยกระเป๋ามาตามจำนวนของที่เราจะถือขึ้นเครื่องครับ เช่น กระเป๋า 1 ใบ ถุงหิ้ว 1 ใบ กล้องคล้องคอ 1 ตัว ก็เอามา 3 แผ่นครับ (ขอที่เคาน์เตอร์เชคอิน)
อันนี้ เพื่อให้นึกภาพออกครับ ปกติที่เคานเตอร์เชคอินจะมีวางไว้ให้หยิบอยู่แล้ว หากลืมจริง ๆ สนามบินบางแห่งจะมีวางไว้ตรงแถว ๆ ที่เราต่อแถวเพื่อผ่าน security check ครับ ก็หยิบมาห้อยกระเป๋าให้เรียบร้อยก่อนผ่าน security check ครับ
จากนั้นจึงไปผ่าน security check ซึ่งที่นี่จะแบ่งชาย หญิงชัดเจนครับ แยกคิวกันเลย ทางหญิงก็จะมีเจ้าหน้าที่หญิงเป็นผู้ปฏิบัตหน้าที่ครับ เจ้าเครื่องตรวจจับโลหะที่นี่ตั้งค่าไว้ไวมาก (sensitive มาก) โลหะติ่งเดียวก็ร้องครับ ก็คงเหมือนที่ไทย ทุกคนจึงต้องมาผ่านมือเจ้าหน้าที่แขกอีกครั้งทุกคราไป ก็ลูบ ๆ คลำ ๆ กันไปตามเรื่อง ส่วนใหญ่ก็ไม่เจออะไรหรอกครับ ในส่วนของ ญ ก็จะเชิญไปถูกลูบคลำในห้องเล็ก ๆ คล้ายกับห้องลองเสื้อผ้าแบบรูดผ้าปิด ซึ่งก็จะมีประจำอยู่ตรงนั้นครับ (คนลูบก็เป็นหญิงครับ แต่ลูบไม่มีเกรงใจนะครับ สตรีไทยบางท่านบ่นอุบว่าล่อซะหมด ไฟหน้ายังไม่เว้น) แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องขนาดถอดเข็มขัด / รองเท้าให้วุ่นวายเหมือนที่สุวรรณภูมิ สำหรับสิงอมควันทั้งหลาย ไฟแช็กใส่กระเป๋าถือนี่ไม่รอดนะครับ ได้ทิ้งหมดแน่นอน แต่ไม้ขีดไฟอาจผ่านได้ อ้อ ลืมบอกไป ให้ถือหนังสือแสดงตน กับ boarding pass ไว้กับตัวนะครับ

พอผ่าน security check เรียบร้อย เจ้าหน้าที่จะประทับตรา (ดูตัวอย่าง ตามรูป) บน tag ที่ห้อยไว้ และจะประทับตราที่ boarding pass ของเราหลังลูบคลำแล้วไม่พบอะไร พอผ่านฉลุยมาแล้วก็ระวังอย่าให้ tag ขาดหลุดหล่นหายนะครับ เพราะจะมีการตรวจอีกครั้งก่อนขึ้นเครื่อง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของทุกท่านเองนะครับ (อินเดียระวังเรื่องการก่อการร้ายมาย)
ขั้นต่อไปคือ หาที่นั่งเพื่อรอขึ้นเครื่องครับ จะเดินเล่นละลายทรัพย์ไปพลางก็พอมีทางเลือกให้ได้ดูชมเล็ก ๆ น้อย ๆ ราคาแพงกว่าข้างนอก (ก็แน่อยู่แล้วครับ) จากนั้น ก็นั่งรอ พร้อมตื่นตัว อาจมีการเปลี่ยนประตูทางออก หรือ เกท แบบไม่ทันตั้งตัว ดูให้ดีครับ ดูเป็นระยะ ๆ แต่จริง ๆ ก็ไม่น่ากลัวมากครับ เพราะสนามบินเล็ก อะไร ๆ ก็อยู่ใกล้ ๆ กันไปหมด เว้นแต่คุณจะสมาธิหลุด สติขาดจริง ๆ ถึงจะพลาดได้หากมีการเปลี่ยนเกท ผมว่า การหาที่นั่งเพื่อรอขึ้นเครื่องยังยากกว่าอีกครับ
Boarding Time !! ก็เดินผ่านเคานเตอร์ แสดง boarding pass ให้เจ้าหน้าที่สายการบินชม ถัดมาจะเป็นเจ้าหน้าที่ security อีกครั้ง คุณก็ต้องแสดง boarding pass ที่มีตราประทับ พร้อมตราประทับบน tag ที่คล้องกับกระเป๋า ฯลฯ ของคุณ จากนั้นจึงจะเดินออกจากเกทไปขึ้นรถบัส เพื่อไปขึ้นเครื่อง ดูป้ายดี ๆ นะครับ เพราะออกจากอาคารไปแล้วคนจะออ บัสจะมางง ๆ แต่จะมีเจ้าหน้าที่คอยเอาป้ายมาตั้งว่า รถบัสที่กำลังจอดนี้สำหรับผู้โดยสารที่จะบินไปที่ไหน หน้าบันไดขึ้นเครื่องจะมีคนรอฉีก boarding pass ของคุณ เป็นอันจบพิธีกรรม ได้ขึ้นเครื่องโดยสวัสดิภาพ (บินภายในประเทศไม่ค่อยได้เห็นงวงครับ จะเป็นรถบัสซะส่วนใหญ่ ถ้าโชคดีได้ใช้งวง ก็วุ่นวายตามปกติ แต่ไม่ขนาดขึ้นบัสครับ)
ที่นั่งบนเครื่องก็จะขนาดพอนั่งได้สำหรับคนไทยขนาดมาตรฐาน แต่ถ้านั่งติดแขกแล้วล่ะก็ ก็จะมีการล่วงล้ำเขตแดนกันให้เป็นที่น่าหงุดหงิดใจ แต่ก็ขอให้คิดว่า "แปบเดียว ๆ ๆ ๆ" ท่องไว้ครับ (แต่บางเส้นทางก็ไม่แปบเดียวนะครับ เช่น จากมุมไบไปกรุงนิวเดลี ก็ 2 ชม. ครับ ก็ทำได้อย่างเดียว คือ ทำใจ) ส่วนอาหารที่เิสิร์ฟบนเครื่องก็ขึ้นกับระยะทางบินและสายการบินนะครับ จึงจะไม่ขอกล่าวถึง
ที่สำคัญคือ เก็บรักษา boarding pass ไว้ให้ดีครับ สนามบินปลายทางบางแห่งจะมีคนคอยตรวจครับ (งง เหมือนกันครับ ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าตรวจทำไม แต่หลังจากพยายามหาคำอธิบาย ก็ได้ข้อสันนิษฐานมึน ๆว่า อาจจะเป็นเพราะ สนามบินมีขนาดเล็ก ผู้โดยสารลงเครื่องแล้วสามารถเดินจากรันเวย์เข้าอาคารผู้โดยสารได้เลย จึงต้องมีเจ้าหน้าที่มาตรวจก่อนเข้าอาคารว่าเป็นผู้โดยสารจริงหรือไม่ - แต่ก็ไม่รู้ว่า ถ้าไม่ใช่ผู้โดยสาร จะเป็นใครไปได้ - อ้อออ... กัปตันกับคุณแอร์ นั่นเอง - แล้วจะตรวจทำไมนะ ?!?!) และก็ไม่รู้ว่าถ้าทำหายไปแล้ว ไม่มีให้ตรวจจะเป็นยังไง ... ใครรู้บอกด้วยครับ
หลังจากนั้นก็รอกระเป๋า และออกเดินทางไปยังจุดหมายของทุกท่านครับ
เช่นกัน หากมีรถมารอรับก็เป็นลาภอันประเสริฐ ถ้าไม่มีก็สู้ต่อไปครับ แต่พึงระวังนะครับ อยู่เมืองใหญ่คุณอาจจะใช้ภาษาอังกฤษได้ แต่ออกไปต่างจังหวัดเนี่ย หายากนะครับ ที่หาง่ายและเจอแน่ ๆ คือทำเหมือนเข้าใจแล้วพาเราไปโผล่โลกไหนก็ไม่ทราบได้ ดังนั้น จัดการไว้ล่วงหน้าจะดีกว่าครับ
การบินไป-มาภายในประเทศย่อมยุ่งวุ่นวายน้อยกว่าระหว่างประเทศแน่นอนอยู่แล้ว และที่อินเดียก็เช่นเดียวกันครับ โดยสิ่งที่จะขาดไม่ได้เลย นอกเหนือจากหนังสือแสดงตน เช่น บัตรที่ทางการอินเดียออกให้ หรือหนังสือเดินทาง หรือ CI ที่ทางการไทยออกให้แล้ว ก็จะต้องติดบัตรโดยสาร หรือสำเนาบัตรโดยสารไปด้วยทุกครั้ง เพราะมันคือตั๋วเข้าสู่อาคารผู้โดยสารขาออกของคุณ ไม่มีตั๋ว ไม่ให้เข้านะครับ เจ้าหน้าที่อินเดียจะยืนรออยู่ทุกประตูทางเข้าอาคารขาออกเพื่อตรวจตั๋วและหนังสือแสดงตน เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะเดินทางวันนั้นจริง ๆ ญาติสนิท มิตรสหายที่ไปส่งก็จะส่งได้แค่นั้นครับ เข้าอาคารไม่ได้
อีกอย่างคือ กะเวลาให้พอดี ๆ นะครับ ไปก่อนนาน ๆ ก็ไม่ให้เข้านะครับพี่น้อง เวลาที่ควรไปถึง คือ ประมาณ 1 - 1 ชม. ครึ่ง สำหรับภายในประเทศ (และ 2 ชม. ครึ่ง สำหรับระหว่างประเทศ) บางครั้งอาจจะต้องไปนั่งรอที่ Gate นานหน่อย (ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจให้เดินดู หรือละลายทรัพย์ครับ) แต่เอาชัวร์ไว้ดีกว่าครับ
ผ่านด่านชั้นแรกเข้าไปได้ ด้วยความที่เป็นสนามบินภายในประเทศ บางครั้ง คุณก็จะต้องลากกระเป๋าสัมภาระที่จะโหลดขึ้นเครื่องไปผ่านเครื่องแสกน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ (ดูผ่านเครื่องแสกน) และติดสติกเกอร์ให้ คล้าย ๆ บ้านเราสมัยก่อน โดยเครื่องแสกนอาจจะมีอยู่เพียงเครื่องเดียวครับ เช่น ที่สนามบินเมืองวาดอดรา (Vadodara) ซึ่งมีขนาดเล็ก ๆ น่ารัก ตึกสีสันสวยงามครับ)

จากนั้น จึงไปเชคอินที่เคาน์เตอร์ตามปกติครับ ก็จะเจอสภาพมึนงง แขกเกะกะ บ้าบอคอแตกตามประสาความไม่มีระเบียบไปตามเรื่องตามราวครับ โชคดีก็อาจจะไม่ต้องเจอเรื่องน่ารำคาญให้ขุ่นข้องหมองใจ หลังจากเชคอินเรียบร้อย ให้ขอ tag ห้อยกระเป๋ามาตามจำนวนของที่เราจะถือขึ้นเครื่องครับ เช่น กระเป๋า 1 ใบ ถุงหิ้ว 1 ใบ กล้องคล้องคอ 1 ตัว ก็เอามา 3 แผ่นครับ (ขอที่เคาน์เตอร์เชคอิน)
อันนี้ เพื่อให้นึกภาพออกครับ ปกติที่เคานเตอร์เชคอินจะมีวางไว้ให้หยิบอยู่แล้ว หากลืมจริง ๆ สนามบินบางแห่งจะมีวางไว้ตรงแถว ๆ ที่เราต่อแถวเพื่อผ่าน security check ครับ ก็หยิบมาห้อยกระเป๋าให้เรียบร้อยก่อนผ่าน security check ครับ
จากนั้นจึงไปผ่าน security check ซึ่งที่นี่จะแบ่งชาย หญิงชัดเจนครับ แยกคิวกันเลย ทางหญิงก็จะมีเจ้าหน้าที่หญิงเป็นผู้ปฏิบัตหน้าที่ครับ เจ้าเครื่องตรวจจับโลหะที่นี่ตั้งค่าไว้ไวมาก (sensitive มาก) โลหะติ่งเดียวก็ร้องครับ ก็คงเหมือนที่ไทย ทุกคนจึงต้องมาผ่านมือเจ้าหน้าที่แขกอีกครั้งทุกคราไป ก็ลูบ ๆ คลำ ๆ กันไปตามเรื่อง ส่วนใหญ่ก็ไม่เจออะไรหรอกครับ ในส่วนของ ญ ก็จะเชิญไปถูกลูบคลำในห้องเล็ก ๆ คล้ายกับห้องลองเสื้อผ้าแบบรูดผ้าปิด ซึ่งก็จะมีประจำอยู่ตรงนั้นครับ (คนลูบก็เป็นหญิงครับ แต่ลูบไม่มีเกรงใจนะครับ สตรีไทยบางท่านบ่นอุบว่าล่อซะหมด ไฟหน้ายังไม่เว้น) แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องขนาดถอดเข็มขัด / รองเท้าให้วุ่นวายเหมือนที่สุวรรณภูมิ สำหรับสิงอมควันทั้งหลาย ไฟแช็กใส่กระเป๋าถือนี่ไม่รอดนะครับ ได้ทิ้งหมดแน่นอน แต่ไม้ขีดไฟอาจผ่านได้ อ้อ ลืมบอกไป ให้ถือหนังสือแสดงตน กับ boarding pass ไว้กับตัวนะครับ

พอผ่าน security check เรียบร้อย เจ้าหน้าที่จะประทับตรา (ดูตัวอย่าง ตามรูป) บน tag ที่ห้อยไว้ และจะประทับตราที่ boarding pass ของเราหลังลูบคลำแล้วไม่พบอะไร พอผ่านฉลุยมาแล้วก็ระวังอย่าให้ tag ขาดหลุดหล่นหายนะครับ เพราะจะมีการตรวจอีกครั้งก่อนขึ้นเครื่อง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของทุกท่านเองนะครับ (อินเดียระวังเรื่องการก่อการร้ายมาย)
ขั้นต่อไปคือ หาที่นั่งเพื่อรอขึ้นเครื่องครับ จะเดินเล่นละลายทรัพย์ไปพลางก็พอมีทางเลือกให้ได้ดูชมเล็ก ๆ น้อย ๆ ราคาแพงกว่าข้างนอก (ก็แน่อยู่แล้วครับ) จากนั้น ก็นั่งรอ พร้อมตื่นตัว อาจมีการเปลี่ยนประตูทางออก หรือ เกท แบบไม่ทันตั้งตัว ดูให้ดีครับ ดูเป็นระยะ ๆ แต่จริง ๆ ก็ไม่น่ากลัวมากครับ เพราะสนามบินเล็ก อะไร ๆ ก็อยู่ใกล้ ๆ กันไปหมด เว้นแต่คุณจะสมาธิหลุด สติขาดจริง ๆ ถึงจะพลาดได้หากมีการเปลี่ยนเกท ผมว่า การหาที่นั่งเพื่อรอขึ้นเครื่องยังยากกว่าอีกครับ
Boarding Time !! ก็เดินผ่านเคานเตอร์ แสดง boarding pass ให้เจ้าหน้าที่สายการบินชม ถัดมาจะเป็นเจ้าหน้าที่ security อีกครั้ง คุณก็ต้องแสดง boarding pass ที่มีตราประทับ พร้อมตราประทับบน tag ที่คล้องกับกระเป๋า ฯลฯ ของคุณ จากนั้นจึงจะเดินออกจากเกทไปขึ้นรถบัส เพื่อไปขึ้นเครื่อง ดูป้ายดี ๆ นะครับ เพราะออกจากอาคารไปแล้วคนจะออ บัสจะมางง ๆ แต่จะมีเจ้าหน้าที่คอยเอาป้ายมาตั้งว่า รถบัสที่กำลังจอดนี้สำหรับผู้โดยสารที่จะบินไปที่ไหน หน้าบันไดขึ้นเครื่องจะมีคนรอฉีก boarding pass ของคุณ เป็นอันจบพิธีกรรม ได้ขึ้นเครื่องโดยสวัสดิภาพ (บินภายในประเทศไม่ค่อยได้เห็นงวงครับ จะเป็นรถบัสซะส่วนใหญ่ ถ้าโชคดีได้ใช้งวง ก็วุ่นวายตามปกติ แต่ไม่ขนาดขึ้นบัสครับ)
ที่นั่งบนเครื่องก็จะขนาดพอนั่งได้สำหรับคนไทยขนาดมาตรฐาน แต่ถ้านั่งติดแขกแล้วล่ะก็ ก็จะมีการล่วงล้ำเขตแดนกันให้เป็นที่น่าหงุดหงิดใจ แต่ก็ขอให้คิดว่า "แปบเดียว ๆ ๆ ๆ" ท่องไว้ครับ (แต่บางเส้นทางก็ไม่แปบเดียวนะครับ เช่น จากมุมไบไปกรุงนิวเดลี ก็ 2 ชม. ครับ ก็ทำได้อย่างเดียว คือ ทำใจ) ส่วนอาหารที่เิสิร์ฟบนเครื่องก็ขึ้นกับระยะทางบินและสายการบินนะครับ จึงจะไม่ขอกล่าวถึง
ที่สำคัญคือ เก็บรักษา boarding pass ไว้ให้ดีครับ สนามบินปลายทางบางแห่งจะมีคนคอยตรวจครับ (งง เหมือนกันครับ ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าตรวจทำไม แต่หลังจากพยายามหาคำอธิบาย ก็ได้ข้อสันนิษฐานมึน ๆว่า อาจจะเป็นเพราะ สนามบินมีขนาดเล็ก ผู้โดยสารลงเครื่องแล้วสามารถเดินจากรันเวย์เข้าอาคารผู้โดยสารได้เลย จึงต้องมีเจ้าหน้าที่มาตรวจก่อนเข้าอาคารว่าเป็นผู้โดยสารจริงหรือไม่ - แต่ก็ไม่รู้ว่า ถ้าไม่ใช่ผู้โดยสาร จะเป็นใครไปได้ - อ้อออ... กัปตันกับคุณแอร์ นั่นเอง - แล้วจะตรวจทำไมนะ ?!?!) และก็ไม่รู้ว่าถ้าทำหายไปแล้ว ไม่มีให้ตรวจจะเป็นยังไง ... ใครรู้บอกด้วยครับ
หลังจากนั้นก็รอกระเป๋า และออกเดินทางไปยังจุดหมายของทุกท่านครับ
เช่นกัน หากมีรถมารอรับก็เป็นลาภอันประเสริฐ ถ้าไม่มีก็สู้ต่อไปครับ แต่พึงระวังนะครับ อยู่เมืองใหญ่คุณอาจจะใช้ภาษาอังกฤษได้ แต่ออกไปต่างจังหวัดเนี่ย หายากนะครับ ที่หาง่ายและเจอแน่ ๆ คือทำเหมือนเข้าใจแล้วพาเราไปโผล่โลกไหนก็ไม่ทราบได้ ดังนั้น จัดการไว้ล่วงหน้าจะดีกว่าครับ
^ ^ ^\(-.-)/^ ^ ^
No comments:
Post a Comment