เปิดฉากการโจมตีทางอากาศ
ก่อนหน้านี้ ผมได้หาข้อมูลวิธีการจัดการกะเจ้าฟอสซิลสุดอึดนี้อยู่เป็นเวลาพอสมควร ได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงและวิธีการตลอดจนจุดอ่อนของมันพอสมควร ด้วยตอนแรกอยากทำสงครามแบบรักษาสิ่งแวดล้อม ก็มีวิธีต่าง ๆ เช่น
(1) ใช้เศษอาหารและน้ำ่ตาลดักให้ลงไปรุมกินในอ่างลื่น ๆ ทาน้ำมัน ซึ่งมันจะปีนหนีไม่ได้คือ ลงไปแล้วจะไม่ได้ออกไปอีกยกเว้นบิน หนี (น่ากลัวมาก) แล้วเราค่อยจัดการเจ้าตัวยั้วเยี้ยในอ่างนั้น แต่ประเมินแล้วความเข้มแข็งของจิตใจคงไม่แก่กล้าพอ (เพิ่งทราบก็คราวนี้แหละครับว่าแมลงสาบไม่ได้ปีนเดินไต่คลานได้ทุกที่ขนาด นั้น - ซึ่งขอยืนยันว่าเป็นความจริงครับ บางตัวมาติดแหงกอยู่ในอ่างล้างจานปีนออกไปไม่ได้ ท่อก็ลงไม่ได้เพราะผมใช้ที่กรองเศษอาหารแบบละเอียด เหมือนมุ้งลวดบ้านเรานี่แหละครับ)
(2) บางแหล่งบอกว่า แมลงสาบแพ้สารทำความสะอาดที่ล้างคราบไขมันได้ เช่น น้ำยาล้างจานที่จะไปล้างไขมันที่เคลือบตัวมันอยู่ โดยเฉพาะส่วนใต้ท้อง และเมื่อโดนล้างไขมันออกแล้วมันจะจมน้ำตาย หรือสำลักน้ำตายได้ อารมณแบบน้ำท่วมปอดตายใน 2-3 ชม. เท่านั้น !! - แน่นอนครับ ผมได้ทดลองกับเจ้าตัวเล็กที่ติดอยู่ในอ่างล่างจาน โดยผสมน้ำยาล้างจานกับน้ำเล็กน้อย เอาแบบลื่น ๆ เลย แล้วราดซะ อย่างบรรจง แบบว่า ถ้าจับมาอาบน้ำให้ได้คงทำไปแล้วครับ ต่อมาก็จัดการเปิดน้ำสร้างอุทกภัยฉับพลันแบบบิ๊กแบกเอาไม่อยู่เหมือนเมื่อปลายปี 54 ซะ กะว่าตายแน่ ... ปรากฏยังเดินเล่นต่อไปได้อีก 3 วัน ก่อนจะจากโลกไป ซึ่งอยู่ดี ๆ ก็ตายครับ ไม่ได้ชันสูตร จึงไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่สันนิษฐานว่า อาจจะเพราะกินฟองน้ำ้ยาล้างจานวันนั้นเยอะไปหน่อย สำลักตายซะงั้น ไม่ก็อาจจะเป็นเพราะน้ำเต็มปอดวันนั้นพอดีครับ
(3) วิธีผสมปูนกับอาหาร เช่น น้ำหวานให้แมลงสาบกิน พร้อมเสิร์ฟน้ำต่างหาก แล้วให้ปูนไปทำปฏิกิริยากับน้ำและไปแข็งในระบบทางเดินอาหารของเจ้าหกขา ซึ่งแน่นอนครับ ตายแน่นอน แถมกลับไปตายที่รังไม่ออกมาเรี่ยราด ไม่มีอาการเมายา เมาแล้วขับ ขับถ่ายเรี่ยราดเหมือนเวลาเจอสารเคมี (เหมือนคนเมาไร้สติเลย ฮาๆๆ) นั่นแหละครับ แต่ก็จนปัญญาจะไปหาปูน เลยขอผ่านวิธีนี้ครับ
จากข้อมูลที่รวมรวบมา และหลักฐานทางกายภาพทำให้เชื่อได้ว่า เจ้าตัวอึดทั้งหลายอาศัยอยู่ตามซอกตู้ build-in หรือด้านใต้ตู้ หรือแทรกอยู่ตามรอยแตกรอยผุต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งที่ได้เปรียบทางยุทธศาสตร์อยู่มาก กำลังทางบกคงเข้าถึงได้ยาก (ยาฉีดแบบมีหัวฉีดทะลุทะลวง) ผมจึงตัดสินใจเปิดฉากการโจมตีด้วย "ระเบิดควัน" (อาทควันสำหรับพื้นที่ 36 ตารางเมตร แต่ผมจัดในพื้นที่ไม่เกิน 6 ตารางเมตร) เพื่อทำลายกำลังหลักของข้าศึกก่อนเป็นอันดับแรก โดยกำหนดเริ่มโจมตีในตอนสายของวันถัดมา (จากค่ำวันที่เจอพี่แกเดินทอดน่องสำรวจโลก) โดยให้เป็นการโจมตีแบบไม่ให้รู้ตัวล่วงหน้า (แบบที่ญี่ปุ่นทำกับสหรัฐฯ จนกองทัพสหรัฐฯ ที่ Pearl Harbor ก่อนจะมีการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการและกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางมหาสมุทรแปซิฟิกต่อมา)
อ้อ ลืมบอกไปครับ ตอนเข้าพื้นที่ไปเปิดการโจมตีทางอากาศ คุณพี่ลายพร้อยยังคงชิวอยู่บนเคานเตอร์ตอนนั้นก็ 11 โมง สายโ่ด่ง แดดส่องบั่นท้ายแล้ว ช่างกล้า !!!
3 ชม. ผ่านไปหลังเริ่มปฏิบัติการ "Smoke Their Arses" ผมก็ได้เริ่มสำรวจและประเมินความสูญเสียของข้าศึก สมรภูมิิคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นระเบิดควัน ข้าศึกแน่นิ่งสิ้นชีพให้เห็นกลาดเกลื่อน ประเมินจากสายตาแล้วร่วมครึ่งร้อยได้ ใช่ครับครึ่งร้อย ไม่มากมายอย่างที่คาดไว้ (แต่บอกใครไปก็ตกใจกันทั้งนั้น คงไม่คิดว่าในครัวอพาร์ทเมนบนชั้น 10 แห่งนี้ จะมีได้มากขนาดนั้น) แต่ก็นับว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงามเพราะเหล่านายพลระดับบิ๊ก ๆ (ขนาด) ที่เห็นกันประจำทั้งแบบลายพร้อยและสีพื้นแบบไทย ล้วนลาโลกในสนามรบ เหล่าทหารราบชั้นเลวมากมายก็มอดม้วยไปตามกัน ... หรือจะหมดแล้วจริง ๆ ???
เก็บกวาดซากเรียบร้อย เตรียมล้างคราบเลือดและพี่น้องเชื้อโรคทั้งหลาย แต่ปรากฏไม่มีเดทตอล เลยจัดคลอรีนเหลวผสมน้ำที่หาได้ในบ้าน เล่นเอาบ้านกลิ่นเหมือนสระว่ายน้ำเลยทีเดียว แต่ก็ชื่นใจครับ รู้สึกสะอาดปลอดภัย (คลอรีนระเหยเป็นอันตรายนะครับ ไม่ควรสูดดม เหมือนลูกเหม็นเช่นกัน มันสะสมในร่างกายนะครับ - แต่ตามสระว่ายน้ำ เขาใช้ในปริมาณที่ปลอดภัยครับ แต่บางทีก็ใส่เยอะเกิน)
เช้าวันถัดมา ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ เดินเข้าครัวด้วยความสบายอารมณ์ พื้นครัวสะอาดเอี่ยมอ่อง ไม่เหลือหลักฐานการสู้รบและการหลั่งเลือดที่เพิ่งเกิดขึ้นหนึ่งวันก่อนหน้า ... แต่แล้ว หลังจากสอดส่ายสายตาตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ... เห้ยยยยยยย แมร่งเอ้ยยย มีการขี้เย้ยไว้บนเตาแก็ส เหมือนประกาศกร้าวว่า "สงครามยังไม่รู้ผลแพ้ชนะไอ้น้อง"
หึ ๆ ๆ ๆ ย่อมได้ ขอมา เราก็จัดให้ บ่ ยั่นอยู่แล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป หึ หึ หึ
ก่อนหน้านี้ ผมได้หาข้อมูลวิธีการจัดการกะเจ้าฟอสซิลสุดอึดนี้อยู่เป็นเวลาพอสมควร ได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงและวิธีการตลอดจนจุดอ่อนของมันพอสมควร ด้วยตอนแรกอยากทำสงครามแบบรักษาสิ่งแวดล้อม ก็มีวิธีต่าง ๆ เช่น
(1) ใช้เศษอาหารและน้ำ่ตาลดักให้ลงไปรุมกินในอ่างลื่น ๆ ทาน้ำมัน ซึ่งมันจะปีนหนีไม่ได้คือ ลงไปแล้วจะไม่ได้ออกไปอีกยกเว้นบิน หนี (น่ากลัวมาก) แล้วเราค่อยจัดการเจ้าตัวยั้วเยี้ยในอ่างนั้น แต่ประเมินแล้วความเข้มแข็งของจิตใจคงไม่แก่กล้าพอ (เพิ่งทราบก็คราวนี้แหละครับว่าแมลงสาบไม่ได้ปีนเดินไต่คลานได้ทุกที่ขนาด นั้น - ซึ่งขอยืนยันว่าเป็นความจริงครับ บางตัวมาติดแหงกอยู่ในอ่างล้างจานปีนออกไปไม่ได้ ท่อก็ลงไม่ได้เพราะผมใช้ที่กรองเศษอาหารแบบละเอียด เหมือนมุ้งลวดบ้านเรานี่แหละครับ)
(2) บางแหล่งบอกว่า แมลงสาบแพ้สารทำความสะอาดที่ล้างคราบไขมันได้ เช่น น้ำยาล้างจานที่จะไปล้างไขมันที่เคลือบตัวมันอยู่ โดยเฉพาะส่วนใต้ท้อง และเมื่อโดนล้างไขมันออกแล้วมันจะจมน้ำตาย หรือสำลักน้ำตายได้ อารมณแบบน้ำท่วมปอดตายใน 2-3 ชม. เท่านั้น !! - แน่นอนครับ ผมได้ทดลองกับเจ้าตัวเล็กที่ติดอยู่ในอ่างล่างจาน โดยผสมน้ำยาล้างจานกับน้ำเล็กน้อย เอาแบบลื่น ๆ เลย แล้วราดซะ อย่างบรรจง แบบว่า ถ้าจับมาอาบน้ำให้ได้คงทำไปแล้วครับ ต่อมาก็จัดการเปิดน้ำสร้างอุทกภัยฉับพลันแบบบิ๊กแบกเอาไม่อยู่เหมือนเมื่อปลายปี 54 ซะ กะว่าตายแน่ ... ปรากฏยังเดินเล่นต่อไปได้อีก 3 วัน ก่อนจะจากโลกไป ซึ่งอยู่ดี ๆ ก็ตายครับ ไม่ได้ชันสูตร จึงไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่สันนิษฐานว่า อาจจะเพราะกินฟองน้ำ้ยาล้างจานวันนั้นเยอะไปหน่อย สำลักตายซะงั้น ไม่ก็อาจจะเป็นเพราะน้ำเต็มปอดวันนั้นพอดีครับ
(3) วิธีผสมปูนกับอาหาร เช่น น้ำหวานให้แมลงสาบกิน พร้อมเสิร์ฟน้ำต่างหาก แล้วให้ปูนไปทำปฏิกิริยากับน้ำและไปแข็งในระบบทางเดินอาหารของเจ้าหกขา ซึ่งแน่นอนครับ ตายแน่นอน แถมกลับไปตายที่รังไม่ออกมาเรี่ยราด ไม่มีอาการเมายา เมาแล้วขับ ขับถ่ายเรี่ยราดเหมือนเวลาเจอสารเคมี (เหมือนคนเมาไร้สติเลย ฮาๆๆ) นั่นแหละครับ แต่ก็จนปัญญาจะไปหาปูน เลยขอผ่านวิธีนี้ครับ
จากข้อมูลที่รวมรวบมา และหลักฐานทางกายภาพทำให้เชื่อได้ว่า เจ้าตัวอึดทั้งหลายอาศัยอยู่ตามซอกตู้ build-in หรือด้านใต้ตู้ หรือแทรกอยู่ตามรอยแตกรอยผุต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งที่ได้เปรียบทางยุทธศาสตร์อยู่มาก กำลังทางบกคงเข้าถึงได้ยาก (ยาฉีดแบบมีหัวฉีดทะลุทะลวง) ผมจึงตัดสินใจเปิดฉากการโจมตีด้วย "ระเบิดควัน" (อาทควันสำหรับพื้นที่ 36 ตารางเมตร แต่ผมจัดในพื้นที่ไม่เกิน 6 ตารางเมตร) เพื่อทำลายกำลังหลักของข้าศึกก่อนเป็นอันดับแรก โดยกำหนดเริ่มโจมตีในตอนสายของวันถัดมา (จากค่ำวันที่เจอพี่แกเดินทอดน่องสำรวจโลก) โดยให้เป็นการโจมตีแบบไม่ให้รู้ตัวล่วงหน้า (แบบที่ญี่ปุ่นทำกับสหรัฐฯ จนกองทัพสหรัฐฯ ที่ Pearl Harbor ก่อนจะมีการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการและกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางมหาสมุทรแปซิฟิกต่อมา)
อ้อ ลืมบอกไปครับ ตอนเข้าพื้นที่ไปเปิดการโจมตีทางอากาศ คุณพี่ลายพร้อยยังคงชิวอยู่บนเคานเตอร์ตอนนั้นก็ 11 โมง สายโ่ด่ง แดดส่องบั่นท้ายแล้ว ช่างกล้า !!!
3 ชม. ผ่านไปหลังเริ่มปฏิบัติการ "Smoke Their Arses" ผมก็ได้เริ่มสำรวจและประเมินความสูญเสียของข้าศึก สมรภูมิิคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นระเบิดควัน ข้าศึกแน่นิ่งสิ้นชีพให้เห็นกลาดเกลื่อน ประเมินจากสายตาแล้วร่วมครึ่งร้อยได้ ใช่ครับครึ่งร้อย ไม่มากมายอย่างที่คาดไว้ (แต่บอกใครไปก็ตกใจกันทั้งนั้น คงไม่คิดว่าในครัวอพาร์ทเมนบนชั้น 10 แห่งนี้ จะมีได้มากขนาดนั้น) แต่ก็นับว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงามเพราะเหล่านายพลระดับบิ๊ก ๆ (ขนาด) ที่เห็นกันประจำทั้งแบบลายพร้อยและสีพื้นแบบไทย ล้วนลาโลกในสนามรบ เหล่าทหารราบชั้นเลวมากมายก็มอดม้วยไปตามกัน ... หรือจะหมดแล้วจริง ๆ ???
เก็บกวาดซากเรียบร้อย เตรียมล้างคราบเลือดและพี่น้องเชื้อโรคทั้งหลาย แต่ปรากฏไม่มีเดทตอล เลยจัดคลอรีนเหลวผสมน้ำที่หาได้ในบ้าน เล่นเอาบ้านกลิ่นเหมือนสระว่ายน้ำเลยทีเดียว แต่ก็ชื่นใจครับ รู้สึกสะอาดปลอดภัย (คลอรีนระเหยเป็นอันตรายนะครับ ไม่ควรสูดดม เหมือนลูกเหม็นเช่นกัน มันสะสมในร่างกายนะครับ - แต่ตามสระว่ายน้ำ เขาใช้ในปริมาณที่ปลอดภัยครับ แต่บางทีก็ใส่เยอะเกิน)
เช้าวันถัดมา ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ เดินเข้าครัวด้วยความสบายอารมณ์ พื้นครัวสะอาดเอี่ยมอ่อง ไม่เหลือหลักฐานการสู้รบและการหลั่งเลือดที่เพิ่งเกิดขึ้นหนึ่งวันก่อนหน้า ... แต่แล้ว หลังจากสอดส่ายสายตาตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ... เห้ยยยยยยย แมร่งเอ้ยยย มีการขี้เย้ยไว้บนเตาแก็ส เหมือนประกาศกร้าวว่า "สงครามยังไม่รู้ผลแพ้ชนะไอ้น้อง"
หึ ๆ ๆ ๆ ย่อมได้ ขอมา เราก็จัดให้ บ่ ยั่นอยู่แล้ว
โปรดติดตามตอนต่อไป หึ หึ หึ
สยองอ่าพี่อาร์ต -__-
ReplyDeleteครึ่งร้อยเลยเหรอ