Tuesday, 18 September 2012

โนบิตะ กับ อินเดีย

เวลาอยู่บ้านส่วนใหญ่ผมจะเปิดโทรทัศน์ทิ้งไว้ ดูบ้างไม่ดูบ้าง โดยช่องที่เปิดเกือบจะตลอดคือ Disney Channel ซึ่งฉายโดเรมอนที่คุ้นเคยเป็นอย่างดีเกือบทั้งวัน จะมีเพียงว่า คราวนี้โดเรมอนและผองเพื่อนพูดภาษาฮินดีกัน ตอนแรกก็รู้สึกขัด ๆ เพราะมีความคาดหวังว่า ช่องนี้น่าจะเป็นภาษาต้นตำรับแล้วมี sub-title เป็นภาษาท้องถิ่นเพื่อให้เด็ก ๆ เข้าใจได้ แต่พอคิดไปคิดมา ที่พากย์เป็นภาษาท้องถิ่นก็น่าจะถูกต้องแล้ว เพราะเด็ก ๆ คงอ่านไม่ทัน และถ้าทันก็คงจะเป็นการดูการ์ตูนที่น่าเบื่อพิลึก

ผมเป็นแฟนโดเรมอนคนหนึ่ง และชอบอ่านและดูมาตั้งแต่เด็ก โดยเฉพาะตอนยาวที่เป็นการผจญภัยในดินแดนต่าง ๆ ผมรู้สึกว่า การดูโดเรมอนช่วยพัฒนาสมองด้านขวา ซึ่งเป็นด้านแห่งจิตนาการของมนุษย์ เพราะของวิเศษต่าง ๆ ของโดเรมอนส่วนใหญ่เต็มไปด้วยความคิดสร้างสรรค์ เต็มไปด้วยความปรารถนาที่จะทำให้ชีวิตของมนุษย์สะดวกสบายยิ่งขึ้นด้วยเครื่องมือต่าง ๆ 

ตอนนี้ มีอายุแล้ว กลับมานั่งดู ก็ย่อมต้องมีบ้างที่รู้สึกว่า หลาย ๆ อย่าง มันไม่น่าจะใช่ แต่ก็คงเป็นเพราะรู้เยอะมากกว่าตอนเป็นเด็ก กำแพงแห่งความเป็นจริงจึงก่อตัวขึ้นปิดล้อมพื้นที่แห่งจินตนาการ

วันหนึ่งได้ดูโดเรมอนตอน "แว่นขยายวิเศษ" ซึ่งแว่นขยายนี้หากนำไปใช้ส่องสิ่งใด สิ่งนั้นจะขยายใหญ่ขึ้น (ก็คงแบบไฟฉายขยายส่วน และอุปกรณ์อีกมากมายที่ให้ผลลัพธ์เหมือนกัน) ซึ่งโนบิตะก็สามารถนำไปเล่นสนุกได้เช่นเคย โดยหนึ่งในนั้น คือ การช่วยเหลือแม่ ที่กำลังคลำหาแว่นตาบนพื้นห้อง เพื่อจะได้อ่าน นสพ. ต่อ ... โนบิตะเห็นดังนั้น จึงนำแว่นขยายไปส่อง นสพ. ให้ขยายใหญ่ขึ้นเท่ากับขนาดของพื้นห้องเพื่อให้แม่สามารถอ่านได้โดยไม่ต้องใช้แว่น

ประเด็นคือ ... มันใช่เหรอ แก้ปัญหาวิธีนี้เหรอ ไม่น่านะ เป็นเรา เราคงจะช่วยแม่หาแว่นใช่ไหมครับ แล้ว เอ่อ..ไอ้วิธีการแก้ปัญหาแบบนี้มันมาได้ไง คิดได้ไงเนี่ย 

ชั่วพริบตา ความคิดก็ผุดขึ้น นี่มัน นี่มัน ... ใครเลียนแบบใครฟระเนี่ย โนบิตะเลียนแบบแขก หรือแขกเรียนวิธีคิดแบบนี้จากโนบิตะ จะทางไหน มันก็หายนะชัด ๆ นี้เป็นตัวอย่างที่ชัดเจนมากที่สะท้อนวิธีคิดของคนที่นี่ ที่ผมเห็นว่ามันไม่น่าจะใช่และภาวนาไม่ให้ต้องประสบพบเจอ เพราะมันคือความปวดกะโหลกอย่างสุดจะทน กลืนไม่เข้าคายไม่ออก นั่งกุมขมับอย่างเดียว

มีพี่ท่านหนึ่งเล่าให้ฟังว่า สมัยมาอยู่ที่นี้ใหม่ ๆ (ประมาณ 3 ปีที่แล้ว) ได้บ้านพักที่ไม่ดี ฝนตกแล้วน้ำรั่วซึมเข้ามาตามวงกบหน้าต่ืาง เล่นเอาน้ำเจิงนองไปเต็มห้อง จึงเรียกช่างมาซ่อม ... ไอ้เราก็คิดว่า "อ้อ ก็คงมาหารูรั่วและอุดซะ ไม่งั้นก็ยิงซิลิโคลนยาตามแนววงกบมันซะเลย น้ำก็ไม่เข้าแล้ว" แต่ไม่ใช่ครับ ผิดถนัด ที่นี่มีวิธีที่เหนือเมฆแบบสุด ๆ ทายให้ตายก็ไม่ถูกครับ สิ่งที่คุณช่างทำคือ สกัดพื้นหินอ่อนในห้อง หินอ่อนนะครับ สกัดเป็นร่องให้น้ำไหลซะ พร้อมเจาะกำแพงเป็นรูให้น้ำไหลออกไปข้างนอก ... (เข้าใจว่า พี่ท่านนั้นคงห้ามไม่ทัน หรือมาพบเอาสภาพสุึดท้ายหลัง "ซ่อม" เสร็จแล้ว) สมควรนั่งกุมกะโหลกและหัวเราะอย่างบ้าคลั่งให้กับโชคชะตาไหมครับ ??? ไม่รู้เอาอวัยวะส่วนไหนกลั่นกรองความคิดแบบนี้ออกมา เห่อ ...

การจัดเลี้ยงแบบบุฟเฟ่ต์ที่อินเดีย มีวิธีการนับจำนวนผู้เข้าร่วมงานที่น่าอัศจรรย์ (จริง ๆ แล้วน่าฉงนมากกว่า) ซึ่งหากนับได้เกินจากจำนวนขั้นต่ำที่ตกลงไว้เท่าใด ก็จะคิดเงินเพิ่มมากขึ้นตามจำนวนนั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องปกติครับ โรงแรมบางแห่งในไทยก็ทำเช่นนี้ แม้บางโรงแรม (ส่วนใหญ่ที่ผมเจอ) จะนับเพื่อแจ้งลูกค้าเจ้าของงานเท่านั้นว่า อาหารอาจจะไม่พอ จะให้เตรียมอาหารเพิ่มเติมจากที่ตกลงหรือไม่ ซึ่งเหตุการณ์อาหารขาดจะเกิดได้ก็จะต้องมีจำนวนแขกเกินพอสมควรเลยนะครับ เพราะปกติโรงแรมจะเผื่ออาหารไว้ประมาณ 10% อยู่แล้ว 

สิ่งที่พิเศษสำหรับประเทศแห่งนี้ คือ การใช้วิธีการนับจำนวนจานครับ (คิดได้??) เช่น สมมติจำนวนต่ำสุดตกลงกันไว้ทีื่่ 200 คน ทางโรงแรมก็จะนับจำนวนจานมาวางไว้ที่ไลน์บุฟเฟ่ต์จำนวน 200 จานเป๊ะ ไม่ขาดไม่เกิน นับแล้วนับอีก เดินผ่านไปมาเดี๋ยว ๆ ก็นับ จนกว่าจะถึงเวลาเริ่มงาน แต่ถ้าจานหมดขอเพิ่มได้ครับ แต่นั่นคือค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นตามจำนวนที่ขอเพิ่ม ... แปลว่า สมมติฐานคือ คนในงานแต่ละคนจะต้องใช้จาน ๆ เดียวเท่านั้น จะตักกี่ล้านรอบ อาหารผสมกันในจานจนเละขนาดต้องเลียให้จานสะอาดเพื่อใส่อาหารใหม่ ก็ต้องใช้มันจานเดียวเท่านั้น (แต่จริง ๆ แล้ว เรื่องอาหารผสมกันเละเทะ รู้สึกจะไม่เป็นประเด็นสำหรับคนที่นี้ส่วนใหญ่นะครับ) เพื่อให้จำนวนจานสะท้อนจำนวนผู้เข้าร่วมงานจริง ๆ ถ้าทำแบบที่เราคุ้นเคย คือ ตักมันหลายรอบ ตักไปเรื่อย ลุก ๆ นั่ง ๆ และที่สำคัญคือ เปลี่ยนจานกันตลอด เจ้าภาพมีเจ๊งครับ

ผลที่ตามมาจากการนับจานก็คือ ผมเชื่อว่าทางโรงแรมจะต้องเตรียมอาหารแบบเหลือเฟือแบบไม่คะเนตามจำนวนที่ตกลงกัน ผนวกกับพื้นฐานความเขี้ยวลากดินคือ ไม่ยอมให้ 10% ที่ต้องทำเผื่อเสียไปฟรี ๆ แบบไม่มีรายได้เพิ่ม เพราะไม่เช่นนั้นก็ควรจะให้จานเราเพิ่ม 10% ถูกไหมครับ แฟร์ ๆ 

ต่อมา ผลจากการไม่คะเนจำนวนอาหารที่เหมาะสมตามจำนวนขั้นต่ำที่ตกลงก็คือ การจัดเลี้ยงที่นี่ คุณไม่สามารถห่ออาหารที่เหลือกลับบ้านได้ แม้คุณจะเป็นเจ้าของงาน ซึ่งผมเชื่อว่า เป็นเพราะหากสามารถนำอาหารกลับได้โรงแรมอาจจะขาดทุน เพราะมันคงทำเกินออกมามั่ว ๆ ซั่ว ๆ ตามสไตล์ โดยโรงแรมให้เหตุผลว่าที่ต้องทำแบบนี้เพราะไม่ต้องการให้อาหารขาด (ตลกละมรึง คิดได้ไง) คาดว่า จริง ๆ เวลาลูกค้าที่เป็นแขกด้วยกันมาจัดงานอาจจะเจอปัญหากินไม่หยุด หรือแอบเอากลับบ้าน แล้วมากล่าวหาว่าโรงแรมเตรียมอาหารน้อย ไม่เป็นไปตามที่ตกลง และอาจจะพยายามลดจำนวนเงินที่ต้องจ่ายโรงแรมลง ซึ่งก็อีกแหละครับ ผมว่ามันสะท้อนความไม่ไว้ใจซึ่งกันและกันและความพร้อมจะเอารัดเอาเปรียบผู้อื่นของคนพวกนี้ (ผมคิดว่า การที่ตู้เย็นที่นี่มาพร้อม feature เสริมคือ กุญแจล็อคตู้ในตัว ก็น่าจะสะท้อนความเป็นจริงของสังคมที่คนต้องปากกัดตีนถีบและพร้อมจะเอาเปรียบผู้อื่นเพื่อประโยชน์ของตนเสมอ)

สรุป วิธีคิดแบบนี้ มันไม่ใช่ เป็นวิธีแก้ปัญหาแบบแกน ๆ ซึ่งคงใช้ได้กับคนประเภทเดียวกันเท่านั้น แถมเวลาไปต่อรองให้ไม่นับจำนวนจาน ขอแค่ให้เตรียมอาหารมาตามที่ตกลงพร้อมขั้นต่ำ +10% อีเซลมันยังมีหน้ามาบอกว่า "โอ้ ไม่เคยเจอแบบนี้มาก่อน เป็นครั้งแรกเลย เรานับจานกันมาตลอด ทุกที่ในประเทศอารยธรรมเก่าแก่ (แต่หยุดเจริญไปแล้วหลายสิบปี) แห่งนี้ก็ทำเช่นนี้" ซึ่งถ้าโรงแรมมันนับ เราก็ต้องไปนับด้วยอีก เพราะ เหมือนที่คำโบราณว่าไว้ "ให้ตีแขกก่อนงู" ใครจะไว้ใจครับ

สรุป สวดส่งให้ไปที่ชอบ ๆ ... พร้อมแหกปากไล่หลังไปว่า "เห้ย เปิดตาดูโลกบ้าง มรึงไม่ใช่ศูนย์กลางจักรวาลโว้ย เอาแค่ทวีปเอเชียมรึงยังเป็นศูนย์กลางไม่ได้เลย สวัสดี"



t.(-_-")



มินิกาพย์ : สงครามยึดพื้นที่ (ครัว++) - สงครามตลอดกาล

ความเดิมตอนที่แล้ว ... หลังจากปฏิบัติการ "Smoke Their Arses" ประสบความสำเร็จอย่างงดงาม จนเกือบจะเชื่อว่าหมด หมดแน่ ๆ ชนะอย่างเด็ดขาดแน่นอนแล้ว โดยไม่ต้องเิปิดแนวรบทางบก แต่แล้ว ข้าศึกก็ส่งหน่วยม้าเร็ว มาส่งสัญญาณ (ขี้เย้ย) ว่า สงครามยังไม่รู้ผลแพ้ชนะ หึ หึ หึ จัดไปครับพี่น้อง

เปิดแนวรบทางบก - สงครามอาวุธเคมี

Note : อาวุธเคมีเป็นหนึ่งในกลุ่มอาวุธร้ายแรง หรือ weapon of mass destruction (WMD) โดยอีกสองชนิดคือ นิวเคลียร์ และอาวุธชีวภาพ จำได้ไหมครับ ตอนปี 2003 สหรัฐฯ ส่งกองกำลังบุกเข้าอิรัก เปิดสงครามอ่าวเปอร์เซียครั้งที่ 2 ภายใต้การนำของประธานาธิบดี จอร์จ บุช (คนลูก) เพื่อจัดการประธานาธิบดีซัดดัม ฮุสเซน เนื่องจากเชื่อว่า อิรักครอบครอง WMD ซึ่งนับเป็นภัยคุกคามต่อสหรัฐฯ แต่สุดท้ายก็หาไม่เจอครับ หน้าแหกไปตามระเบียบ - ให้ข้อมูลเฉย ๆ นะครับ และในการปฏิบัติการของผมนี้ไม่ได้ใช้อาวุธเคมีจริง ๆ แต่อย่างใด แต่แน่นอนครับ มีแมลงสาบตายในการปฏิบัติการนี้จริง

หลังจากโดนเย้ย ผมได้หารือกับทีม เสธ. (เสนาธิการ) และหน่วยข่าวกรองเพื่อประมวลข้อมูลก่อนวางแผนการรบขั้นต่อไป ข้อมูลทำให้เราทราบว่า ระเบิดควันจะไม่ทำอันตรายต่อไข่ข้าศึก และข้าศึกบางส่วนอาจจะสามารถทนกับระเบิดควันได้ เพราะมีความอึดเป็นเกราะ ก็ขนาดมีบรรพบุรุษเป็นเพื่อนกับไดโนเสาร์มาแล้ว ไม่ธรรมดาครับ ไม่ธรรมดา

ไข่ข้าศึกมีระยะเวลาฟักเป็นตัวประมาณ 30-46 วัน แปลว่าถ้ามีไข่ที่มีอายุถึงตามนี้ ย่อมสามารถฟักได้ทุกเมื่อ !! เมื่อฟักแล้วจะโตเต็มวัยในระยะเวลา 7 วัน และจะเริ่มผสมพันธุ์ตั้งแต่เห็นโลกได้ 4-7 วัน ... ช่างเป็นวัฏจักรที่น่าสะพรึงกลัวยิ่งนัก ช้าไม่ได้เลย

เราจึงตัดสินใจ เปิดแนวรบทางบกในทันที ... แต่ดันไม่มียุทโธปกรณ์ซะนี่

ตอนแรกวางแผนว่าจะวางกับระเบิด (บ้านแมลงสาบ) ซึ่งรอผู้ที่เป็นห่วงสวัสดิภาพของผมจัดหาและส่งมาใ้ห้จากประเทศไทย แต่ก็เห็นว่าเป็นยุทธวิธีที่เน้นการตั้งรับมากกว่า แต่จังหวะนี้ต้องรุกคืบอย่างเดียวเพื่อทำลายฐานที่มั่นข้าศึกให้ราบคาบครับ ต้องกวาดล้างให้หมดโดยเร็วที่สุด .ข้าศึกอ่อนแอ ต้องรีบซ้ำ"  ไม่งั้นอาจจะกลายเป็นสงครามติดพัน ยืดเยื้อ แล้วเราจะเสียเปรียบแน่นอนครับ เพราะข้าศึกสามารถสร้างกองกำลังจำนวนมากขึ้นใหม่ได้อย่างรวดเร็วอย่างน่าตระหนก อีกทั้ง ทรัพยากรเราก็ร่อยหลอไปเรื่อย ๆ ครับ ระเบิดควันก็หมดไปแล้ว ทำให้ไม่สามารถเปิดการโจมตีทางอากาศได้ซ้ำอีกในเวลาอันใกล้นี้

2 วันถัดมาผมจึงได้จัดหาอาวุธเคมีหลัก คือ ยาฉีดแบบมีหัวเล็กทะลุทะลวง โดยได้รับข้อมูลสารเคมีจากทีม เสธ. ว่า ให้เลือกใช้สารเคมีกลุ่ม Pyrethroid เช่น Cypermethrin, Permethrin หรือ Deltamethrin กว่าจะหาได้ ไม่ง่ายเลยครับ สุดท้ายได้ Deltamethrin มาพร้อมหัวรบทะลุทะลวง

เช้าตรู่วันถัด ได้เปิดแนวรบอย่างเป็นทางการ และเริ่มการรุกคืบ บุกโจมตีฐานที่มั่นทางบก เน้นเฉพาะที่ ๆ น่าจะเป็นที่มั่นของศัตรู แต่ไม่เห็นตัวนะครับ ซอกอะไรทั้งหลาย ซอกต่าง ๆ ยิ่งเป็น build-in จะมีพวกช่องต่าง ๆ ที่เราไม่รู้ว่ามีอยู่ เช่น ช่องว่างระหว่างพื้นครัวกับพื้นตู้ หรือลิ้นชัก ก็ต้องซอกแซกเข้าไปให้ได้มากที่สุดครับ เราส่งขีปนาวุธโจมตีแบบจัดเต็ม ไม่มียั้ง

ผ่านไป 1 สัปดาห์หลังการโจมตีทางบก ไม่พบหลักฐานความสูญเสียของฝ่ายตรงข้าม แต่ก็ไม่พบหลักฐานของการคงอยู่เช่นกัน

เราจึงถล่มซ้ำอีก 1 รอบ พร้อมขยายแนวป้องกันโดยการฉีดเบา ๆ ตามมุมในห้องอื่น ๆ เพื่อป้องกันการขยายแนวรบของฝั่งตรงข้าม ซึ่งได้ผลเป็นอย่างดีครับ จนกระทั่ง ... จนกระทั่ง วันที่ทหารราบมือสังหารฝ่ายข้าศึกเกือบเข้าถึงตัวผมในห้องนั่งเล่น ... มันเปิดแนวรบใหม่จนได้

วันนั้นประมาณ 4 ทุ่ม ผมกำลังนอนดูทีวีอยู่ที่โซฟา กำลังเคลิ้ม ๆ จะคล้อยหลับ แต่แล้ว ก็เห็นทางหางตาว่าเหมือนมีอะไรเคลื่อนไหว ๆ ใกล้เข้ามาแล้วก็หยุด ตอนนั้น ด้วยอารมสลึมสลือ จึงคิดว่า ตาพร่าไป แต่ในบัดนั้นเอง ชั่วเสี่ยววินาที จิตใต้สำนึกก็ปลุกสติขึ้นมาว่า "เห้ย แม่งมีอะไรแน่ ๆ" เท่านั้น แหละครับ ลุกพรวดขึ้นมา มองสำรวจและจ้องเขม็ง ... เห้ย ไอ้ตัวเล็กมีลาย ซึ่งตอนนี้ยืนหยุดอยู่ห่างจากตำแหน่งหัวของผมที่นอนอยู่เมื่อชั่วอึดใจที่แล้วเพียงไม่กี่นิ้ว โอ้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ หยาบคายมาก

ผมจึงได้เข้าประจัญบานแบบ close combat หรือการต่อสู้ในระยะประชิด อีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าเรารู้ตัวแล้ว จึงรีบเร่งฝีเท้าหนี แต่ไหนเลยจะทัน เรียบร้อบครับ โดนอัดกระแทกกับเบาะน็อกไปตรงนั้น (ผมไม่ได้โดนมันหรอกครับ พอดีมันดันไปหลบในร่องเบาะ ซึ่งแข็งพอสมควร จึงอัดซะ ...) ใจหนึ่งก็แบบ "เห้ย ถ้าตีเละแถวนี้ ก็สกปรกเกินรับได้" อีกใจก็แบบ "เห้ย หนีแล้ว ๆ ต้องทำอะไรสักอย่าง" ... ทันใดนั้นหลอดไฟแห่งความคิดก็ส่องประกายสว่างสุกใสขึ้นมา ประดุจหนึ่งซดซุปไก่สกัดตราแ_รนด์เข้าไป

หลังจากน็อกเจ้ามือสังหารไป และระบุตำแหน่งนอนหงายท้องของมันได้แล้ว ผมก็รุดไปขอความช่วยเหลือจากหน่วยทหารม้า (แต่ก่อนก็คือ ทหารขี้ม้าขี้ช้างออกรบ แต่เดี๋ยวนี้ก็คือ รถถัง และรถประเภทต่าง ๆ ที่ใช้ในการสงคราม) ทายสิครับ อะไร ... 3 2 1 0 ... ใช้แล้วครับ เครื่องดูดฝุ่นนั่นเอง กว่าจะรื้อออกมาและประกอบร่างเสร็จสมบูรณ์ก็กินเวลาหลายอึดใจทีเดียว ตอนนั้นรีบมากครับเพราะกลัวเจ้ามือสังหารตื่นจากนิทรา (ผมเชื่อว่ามันยังไม่ตายครับ) แล้วจะหากันไม่เจออีก แต่แล้วก็ยังไม่ฟื้นครับ ยังคงนอนแผ่หราอยู่อย่างนั้น จึงโดนซัดโฮกเข้าไปเรียบร้อย

ด้วยเหตุนี้ ตั้งแต่เหตุการณ์พยายามลอบสังหาร ก็ได้มีการลาดตระเวนร่วมผสมระหว่างเหล่าราบกับม้า ตลอดแนวรบห้องนั่งเล่นทุกซอกทุกมุมทุกวัน จนชุมชนแมงมุมพลอยเดือดร้อนไปด้วย (แมงมุมนี่ก็เยอะครับ และขยันเป็นบ้า ยิงใยกันอย่างเมามัน เผลอแปบ ๆ ที่ที่เพิ่งเดินผ่านได้ 10 นาที มีใยแมงมุมซะงั้น โดนเราเดินฝ่าไป ใยขาดไป พี่ ๆ แกก็ยิงกันใหม่แบบสไปเดอร์แมน ไม่มีย่อท้อ) และที่สมรภูมิเดิม (ครัว) เราก็ยังโจมตีด้วยอาวุธเคมีหลักแบบไม่หวังผลเป็ยระยะ ๆ ซึ่งล่าสุด ก็มีหลักฐานความสูญเสียเล็กน้อยของข้าศึกปรากฏให้เห็น   

ณ จุดนี้ คงยังบอกไม่ได้ว่า สงครามจะสิ้นสุดลงเมื่อใด เนื่องจากเราไม่สามารถตอกฝาโลงของมัน และยืนยันชัยชนะได้อย่างเต็มปาก อย่างไรก็ตาม มาตรการต่าง ๆ จะคงดำเนินต่อไปอย่างเข้มงวดรัดกุมเพื่อรักษาพื้นที่ยึดครองของเราเอาไว้ให้ได้ไปตลอช่วงที่ผมอาศัยอยู่

ถึงตรงนี้ หากเป็นภาพยนตร์ ก็คงเป็นแนวให้ไปคิดต่อกันเอาเอง โดยมีฉากจบประมาณ "ผมกำลังขี่เครื่องดูดฝุ่นมือถือยาฆ่าแมลงออกลาดตระเวนตามตะเข็บชายแดน และเคลื่อนห่างออกไปทุกที โดยมุ่งหน้าสู่ดวงตะวันที่กำลังจะลับขอบฟ้าไป ..." และก็ตัดกลับมาที่มุมมืดแห่งหนึ่ง zoom เข้าไปพบ "ไข่ข้าศึกหลายร้อยฟอง แต่ละฟองล้วนมีการเคลื่อนไหวจากภายใน" พรึ่บ จอมืด ...


~ The E N D ~
 



Monday, 17 September 2012

มินิกาพย์ : สงครามยึดพื้นที่ (ครัว) - เปิดฉากสงคราม

เปิดฉากการโจมตีทางอากาศ 


ก่อนหน้านี้ ผมได้หาข้อมูลวิธีการจัดการกะเจ้าฟอสซิลสุดอึดนี้อยู่เป็นเวลาพอสมควร ได้เรียนรู้ข้อเท็จจริงและวิธีการตลอดจนจุดอ่อนของมันพอสมควร ด้วยตอนแรกอยากทำสงครามแบบรักษาสิ่งแวดล้อม ก็มีวิธีต่าง ๆ เช่น

(1) ใช้เศษอาหารและน้ำ่ตาลดักให้ลงไปรุมกินในอ่างลื่น ๆ ทาน้ำมัน ซึ่งมันจะปีนหนีไม่ได้คือ ลงไปแล้วจะไม่ได้ออกไปอีกยกเว้นบิน หนี (น่ากลัวมาก) แล้วเราค่อยจัดการเจ้าตัวยั้วเยี้ยในอ่างนั้น แต่ประเมินแล้วความเข้มแข็งของจิตใจคงไม่แก่กล้าพอ (เพิ่งทราบก็คราวนี้แหละครับว่าแมลงสาบไม่ได้ปีนเดินไต่คลานได้ทุกที่ขนาด นั้น - ซึ่งขอยืนยันว่าเป็นความจริงครับ บางตัวมาติดแหงกอยู่ในอ่างล้างจานปีนออกไปไม่ได้ ท่อก็ลงไม่ได้เพราะผมใช้ที่กรองเศษอาหารแบบละเอียด เหมือนมุ้งลวดบ้านเรานี่แหละครับ)


(2) บางแหล่งบอกว่า แมลงสาบแพ้สารทำความสะอาดที่ล้างคราบไขมันได้ เช่น น้ำยาล้างจานที่จะไปล้างไขมันที่เคลือบตัวมันอยู่ โดยเฉพาะส่วนใต้ท้อง และเมื่อโดนล้างไขมันออกแล้วมันจะจมน้ำตาย หรือสำลักน้ำตายได้ อารมณแบบน้ำท่วมปอดตายใน 2-3 ชม. เท่านั้น !! - แน่นอนครับ ผมได้ทดลองกับเจ้าตัวเล็กที่ติดอยู่ในอ่างล่างจาน โดยผสมน้ำยาล้างจานกับน้ำเล็กน้อย เอาแบบลื่น ๆ เลย แล้วราดซะ อย่างบรรจง แบบว่า ถ้าจับมาอาบน้ำให้ได้คงทำไปแล้วครับ ต่อมาก็จัดการเปิดน้ำสร้างอุทกภัยฉับพลันแบบบิ๊กแบกเอาไม่อยู่เหมือนเมื่อปลายปี 54 ซะ กะว่าตายแน่ ... ปรากฏยังเดินเล่นต่อไปได้อีก 3 วัน ก่อนจะจากโลกไป ซึ่งอยู่ดี ๆ ก็ตายครับ ไม่ได้ชันสูตร จึงไม่ทราบว่าเพราะอะไร แต่สันนิษฐานว่า อาจจะเพราะกินฟองน้ำ้ยาล้างจานวันนั้นเยอะไปหน่อย สำลักตายซะงั้น ไม่ก็อาจจะเป็นเพราะน้ำเต็มปอดวันนั้นพอดีครับ

(3) วิธีผสมปูนกับอาหาร เช่น น้ำหวานให้แมลงสาบกิน พร้อมเสิร์ฟน้ำต่างหาก แล้วให้ปูนไปทำปฏิกิริยากับน้ำและไปแข็งในระบบทางเดินอาหารของเจ้าหกขา ซึ่งแน่นอนครับ ตายแน่นอน แถมกลับไปตายที่รังไม่ออกมาเรี่ยราด ไม่มีอาการเมายา เมาแล้วขับ ขับถ่ายเรี่ยราดเหมือนเวลาเจอสารเคมี (เหมือนคนเมาไร้สติเลย ฮาๆๆ) นั่นแหละครับ แต่ก็จนปัญญาจะไปหาปูน เลยขอผ่านวิธีนี้ครับ

จากข้อมูลที่รวมรวบมา และหลักฐานทางกายภาพทำให้เชื่อได้ว่า เจ้าตัวอึดทั้งหลายอาศัยอยู่ตามซอกตู้ build-in หรือด้านใต้ตู้ หรือแทรกอยู่ตามรอยแตกรอยผุต่าง ๆ ซึ่งเป็นที่ตั้งที่ได้เปรียบทางยุทธศาสตร์อยู่มาก กำลังทางบกคงเข้าถึงได้ยาก (ยาฉีดแบบมีหัวฉีดทะลุทะลวง) ผมจึงตัดสินใจเปิดฉากการโจมตีด้วย "ระเบิดควัน" (อาทควันสำหรับพื้นที่ 36 ตารางเมตร แต่ผมจัดในพื้นที่ไม่เกิน 6 ตารางเมตร) เพื่อทำลายกำลังหลักของข้าศึกก่อนเป็นอันดับแรก โดยกำหนดเริ่มโจมตีในตอนสายของวันถัดมา (จากค่ำวันที่เจอพี่แกเดินทอดน่องสำรวจโลก) โดยให้เป็นการโจมตีแบบไม่ให้รู้ตัวล่วงหน้า (แบบที่ญี่ปุ่นทำกับสหรัฐฯ จนกองทัพสหรัฐฯ ที่ Pearl Harbor ก่อนจะมีการประกาศสงครามอย่างเป็นทางการและกลายเป็นสงครามโลกครั้งที่ 2 ทางมหาสมุทรแปซิฟิกต่อมา)

อ้อ ลืมบอกไปครับ ตอนเข้าพื้นที่ไปเปิดการโจมตีทางอากาศ คุณพี่ลายพร้อยยังคงชิวอยู่บนเคานเตอร์ตอนนั้นก็ 11 โมง สายโ่ด่ง แดดส่องบั่นท้ายแล้ว ช่างกล้า !!!

3 ชม. ผ่านไปหลังเริ่มปฏิบัติการ "Smoke Their Arses" ผมก็ได้เริ่มสำรวจและประเมินความสูญเสียของข้าศึก สมรภูมิิคละคลุ้งไปด้วยกลิ่นระเบิดควัน ข้าศึกแน่นิ่งสิ้นชีพให้เห็นกลาดเกลื่อน ประเมินจากสายตาแล้วร่วมครึ่งร้อยได้ ใช่ครับครึ่งร้อย ไม่มากมายอย่างที่คาดไว้ (แต่บอกใครไปก็ตกใจกันทั้งนั้น คงไม่คิดว่าในครัวอพาร์ทเมนบนชั้น 10 แห่งนี้ จะมีได้มากขนาดนั้น) แต่ก็นับว่าประสบความสำเร็จอย่างงดงามเพราะเหล่านายพลระดับบิ๊ก ๆ (ขนาด) ที่เห็นกันประจำทั้งแบบลายพร้อยและสีพื้นแบบไทย ล้วนลาโลกในสนามรบ เหล่าทหารราบชั้นเลวมากมายก็มอดม้วยไปตามกัน ... หรือจะหมดแล้วจริง ๆ ???

เก็บกวาดซากเรียบร้อย เตรียมล้างคราบเลือดและพี่น้องเชื้อโรคทั้งหลาย แต่ปรากฏไม่มีเดทตอล เลยจัดคลอรีนเหลวผสมน้ำที่หาได้ในบ้าน เล่นเอาบ้านกลิ่นเหมือนสระว่ายน้ำเลยทีเดียว แต่ก็ชื่นใจครับ รู้สึกสะอาดปลอดภัย (คลอรีนระเหยเป็นอันตรายนะครับ ไม่ควรสูดดม เหมือนลูกเหม็นเช่นกัน มันสะสมในร่างกายนะครับ - แต่ตามสระว่ายน้ำ เขาใช้ในปริมาณที่ปลอดภัยครับ แต่บางทีก็ใส่เยอะเกิน)

เช้าวันถัดมา ซึ่งเป็นวันอาทิตย์ เดินเข้าครัวด้วยความสบายอารมณ์ พื้นครัวสะอาดเอี่ยมอ่อง ไม่เหลือหลักฐานการสู้รบและการหลั่งเลือดที่เพิ่งเกิดขึ้นหนึ่งวันก่อนหน้า ... แต่แล้ว หลังจากสอดส่ายสายตาตรวจสอบอย่างละเอียดถี่ถ้วน ... เห้ยยยยยยย แมร่งเอ้ยยย มีการขี้เย้ยไว้บนเตาแก็ส เหมือนประกาศกร้าวว่า "สงครามยังไม่รู้ผลแพ้ชนะไอ้น้อง"

หึ ๆ ๆ ๆ ย่อมได้ ขอมา เราก็จัดให้ บ่ ยั่นอยู่แล้ว


โปรดติดตามตอนต่อไป                                        หึ หึ หึ

มินิกาพย์ : สงครามยึดพื้นที่ (ครัว) - ปฐมบท

ปฐมบท 

เมื่อเดินทางถึงมุมไบ นอกจากสิ่งมีชีวิตแบบเรา ๆ แต่แตกต่างแล้ว (แขก) สิ่งมีชีวิตอันดับถัดมาที่ได้ปะหน้ากันก็ คือ แมลงสาบ เจ้าฟอสซิลมีชีวิตวิวัฒนาการผ่านพ้นวิกฤตต่าง ๆ นานามาได้อย่างน่าอัศจรรย์ หากมี institutional memory ป่านนี้ เจ้าแมลงสาบคงเป็นสิ่งมีชีวิตที่ครอบครองความรู้และความลับทั้งปวงของโลกนี้ไว้ กลับเข้าเรื่องต่อครับ วันนั้น ได้เจอะแมลงสาบหน้าตาคุ้นเคยสายพันธุ์ใดไม่ทราบได้ แต่หน้าตาเหมือนที่พบเห็นในไทย แต่คงถือสัญชาติอินเดีย เดินไต่อยู่บนด้านข้างของรถตู้ (ที่มารับผม) อย่างสบายใจ เหมือนเดินเล่นในสวนหลังบ้าน ... สุดท้ายเจอบาทาพิฆาตของพี่ที่มาัรับ เขี่ยตกจากตัวรถไป ก่อนที่พี่คนนั้นจะหันมาบอกว่า เดี๋ยวก็ชิน ต้องอยู่ร่วมกันไปอีกนาน  {-_-"} เห้ยยยย...เอาจริงดิพี่

และแล้ววันที่ต้องเผชิญความจริงก็มาถึง เมื่อย้ายออกจากโรงแรมที่พักเข้าสู่อพาร์ทเมนที่จะเป็นบ้านไปอีกไม่ต่ำกว่า 1 ปี 11 เดือน ... ห้องอยู่ชั้น 10 ครับ (ซึ่งชั้น 10 ตามระบบอังกฤษ ก็จะเป็นชั้นที่ 11 แบบบ้านเราครับ คืือ ที่นี่จะเริ่มชั้นแรกที่ 0 หรือ G ก่อนจะเป็น 1 2 3 4 5 ...) ซึ่งก็สูงพอสมควร กะว่าคงไม่ต้องเจอหน้าเจ้าฟอสซิลเดินได้มากนัก เข้าไปวันแรกไม่ทันได้ดูอะไร ก็ต้องรีบออกเดินทางไปต่างจังหวัด จึงยังไม่ได้ฤกษ์พบปะผู้ร่วมอาศัยทั้งหลาย (ตอนนั้น ก็กะว่ามันคงมีแน่แหละครับ แค่ขอไม่ให้เยอะเป็นพอ)

3 วันผ่านไป เข้าบ้านจริง ๆ เป็นครั้งแรก ... ตอนนั้นเป็นเวลา 21.30 น. มืดกำลังดี วางสัมภาระเรียบร้อยก่อนมุ่งหน้าเข้าครัวเพื่อหาน้ำดื่ม ... เปิดประตูด้วยความระมัดระวัง แบบไม่ให้มีสิ่งชีวิตใดเล็ดรอดออกไปได้ ยื่นมือเข้าไป...ตั้งสติ เปิดไฟ ... พรึบ ......  นั่นไง แมร่งเอ้ยยย 3 ตัวรอทักทายอยู่เลย (พวกนี้ตัวเล็ก ๆ เห็นเรียกกันว่า กะจ๊ว) แต่พวกนี้ ดีครับ พอคบได้ ไล่ก็ไป ไม่หน้าด้าน ไม่มีหึกเหิมวิ่งเข้าใส่ กระทืบเท้าหน่อยก็วิ่งหลบจ้าละหวั่นและหายตัวไปในบัดดล จึงไม่ได้ใส่ใจอะไรครับรับสภาพ ต่างคนต่างอยู่ละกัน

สองสัปดาห์ต่อมา ด้วยความเชื่อว่าแมลงสาบ (และแมลงรำคาญอื่น ๆ)เกลียดกลิ่นลูกเหม็น และมันต้องขึ้นมาจากท่อน้ำทิ้งที่พื้นครัวแน่นอน จึงไปจัดแจงหาลูกเหม็น และกระถางพลาสติกแบบไม่มีรูที่ก้น แล้วจัดการเอาลูกเหม็นเป็นกำมือวางบนตะแกรงท่อก่อนครอบด้วยกระถางกะว่า ไม่มีทางขึ้นมาได้แน่นอน ฮา ๆ ๆ ๆ  นอกจากนี้ ตะแกรงดักเศษอาหารที่อ่างล้างจาน ผมยังเอาลูกเหม็นโยนไว้อีก 2 ภูมิใจในชัยชนะเพียงเพื่อจะได้รู้จักความล้มเหลวและพ่ายแพ้ในคืนถัดมาเท่านั้น ... พี่ท่านยังไม่เห็นหายหน้าหายตาไปเลย !

กลับถึงบ้านทุกวัน วันไหนเปิดเข้าไปในครัวหลังฟ้ามืด ก็จะได้พบปะเพื่อนฝูงทั้งสามเป็นนิจ ตัวนึงติดอยู่ในอ่างล้างจานเดินเล่นไปมาขึ้นไม่ได้ แต่ก็มีอาหารอิ่มหนำสำราญไปทุกวัน จนกระทั่งผ่านไป 1 สัปดาห์ ... เจ้าตัวในอ่างจึงได้ลาจากโลกนี้ไป ส่วนที่เหลือ ยังคงวนเวียนและเติบโตขึ้นเป็นลำดับ และยังปะหน้ากันเป็นประจำ แต่ก็ว่าง่ายเหมือนเดิมครับ แต่ปัญหาก็คือ มันไม่ได้มีแค่เจ้าสองตัวเดิมอีกต่อไป แต่มากันเหมือนมีปาร์ตี้ย่อม ๆ ทุกคืนไป !!! หึ ๆ ๆ

และแล้ววันที่เส้นความอดทนและความปรารถนาจะอยู่ร่วมกันอย่างสันติ นกพิราบขาวโบยบิน ก็ขาดผึ่งลง นกปีกหักตกลงพื้นดังแอ้กใหญ่ ... มันจะหยามกันเกินไปแล้วเว้ยพี่น้อง !!! พี่ลายพร้อย ขนาดประมาณหัวแม่โป้ง เล่นออกมาเดินทอดน่อง (ขอย้ำว่า ทอดน่อง) ขนฟรึมทั้ง 6 ของพี่แก บนเคาน์เตอร์ครัวอย่างไม่แยแสและไม่เกรงใจหน้าอินทร์หน้าพรหมที่ไหน เปิดไฟ เดินเข้าไปยืนจ้อง ส่งเสียงขับไล่ พี่แกก็ยังทำหูหนวกตาบอด ประดุจโลกนี้มีแต่ฉันเพียงผู้เดียว ยังคงเดินชิว สบายอารมณ์ ไม่มีปฏิกิริยาตอบรับถึงสิ่งที่เปลี่ยนไปแต่อย่างใด แถมยังชิวเดินส่ายหนวดสำรวจไปมาอย่างใจเย็น พี่แกไม่สนใจสิ่งรอบข้าง ถึงขนาดเชื่อว่าประสาทสัมผัสตายด้านเพราะ ผมสามารถเอากระป๋องพลาสติกใสไปครอบพี่แกไว้ได้โดยละม่อม คือ จะเอามือจับเลยยังได้ครับ แต่ยังไม่กล้าพอ 

แม้จะโดนครอบแล้วพี่ลายก็ยังนิ่งมาก นิ่งสนิท ไม่มีอาการตาลีตาเหลือกให้เห็นเหมือนเวลาแมลงสาบตกใจแตกฮือวิ่งกระเจิงแบบไร้ทิศทางเหมือนที่เคยเห็น มีการปีนสำรวจเพียงเล็ก ๆ น้อย ๆ ก่อนจะลงมายืนนิ่ง ๆ ต่อตามสไตล์ นี่ถ้าฮัมเพลงกับคาบไปป์ได้ คงทำไปแล้ว หึ ๆ ๆ ๆ เจ้าตัวอื่นยังไล่ไป แต่วันนั้นก็มีตัวหนึ่งเป็นน้องลายขนาดประมาณ 1 ข้อปลายของนิ้วก้อย ประเมินแล้วคงเป็นเพียงทหารราบชั้นเลว หรือเบี้ยตามภาษาหมากรุก แต่หึกเฮิมเด็ดเดี่ยวมาก ถ้าเป็นหนังจีนคงต้องถามว่าไปกินดีหมีหัวใจเสือมาจากไหนจึงกล้าวิ่งเข้าใส่ผม ... เรียบร้อยครับ สะบัดไม้กวาดส่งไปอัดขอบตู้เป็นการสั่งสอน ก่อนจะซัดอีกรอบเพราะยังไม่ได้สติ วิ่งเข้าใส่ผมอีก โดนครั้งที่ 2 เลยหายหน้าไปไม่เห็นอีก จากนั้น ผมจึงปล่อยพี่ลายพร้อย ซึ่งก็ยังชิวได้ใจ ค่อย ๆ เดินสำรวจพื้นที่ต่อตามเดิมเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

คงถึงเวลาต้องทำสงครามชี้ชะตาและยึดพื้นที่ (คืน) กันสักที !!!


โปรดติดตามตอนต่อไป                             ***ะา.(-_-")

Saturday, 8 September 2012

เข้า-ออกมุมไบทางอากาศ (ขาสุดท้าย - bye bye มุมไบ / อินเดีย)

ขาสุดท้ายก็คือขาออกจากมุมไบกลับประเทศไทย หรือสวรรค์นั่นเอง หลยคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า ใครได้มาอินเดีย จะรู้สึกรักประเทศไทยขึ้นอีกมาก ทุกอย่างจะเยี่ยมไปหมด ซึ่งรู้สึกได้ตั้งแต่ก้าวแรกออกจากเครื่องบิน ท่าอาศยานสุวรรณภูิมิแสนสวย ร้านสินค้าปลอดภาษี ความเป็นระเบียบ ที่รับกระเป๋าสัมภาระที่ไม่แออัด มีแสงสว่างของหลอดไฟเพียงพอที่จะทำให้รู้สึกสดใส ฯลฯ แต่ก่อนจะไปถึงสุวรรณภูมิได้ ก็จะต้องผ่านพิธีกรรมต่าง ๆ ซึ่งก็จะคล้าย ๆ กับการเดินทางออกจากมุมไบไปยังเมืองอื่น ๆ ในอินเดีย ซึ่งได้แบ่งปันประสบการณ์ไปใน "ขาที่ 2" แล้ว ครั้งนี้จึงขอบรรยายโดยสังเขป

1) อย่าลืมบัตรโดยสาร หรือสำเนาบัตรโดยสาร ถ้าเป็น e-ticket ก็พิมพ์ออกมาให้เรียบร้อยครับ เพื่อใช้เข้าอาคารขาออกเหมือนเดิม

2) หนังสือเดินทาง หรือ CI (กรณีหนังสือเดินทางสูญหายและไม่สามารถทำใหม่ได้ทัน) อันนี้ก็ใช้ตั้งแต่เข้าอาคารขาออกครับ

3) ขาออกระหว่างประเทศ สามารถเชคอินที่เคานเตอร์ได้เลย ไม่ต้องลากกระเป๋าไปแสกนแต่อย่างใด และหากใครต้องการห่อสัมภาระด้วยฟิล์มพลาสติก (plastic wrap) ก็ีมีให้บริการครับ (ขาภายในประเทศก็มีครับ)

4) เชคอินแล้ว อย่าลืมขอบัตร ตม. ขาออก จากเคาน์เตอร์มากรอกให้เรียบร้อย และอย่าลืมบัตรห้อยกระเป๋าเหมือนเดิมครับ ห้อยให้ครบทุกชิ้น

5) ขั้นต่อไปคือ ตม. ครับ ก็ไปต่อคิวตามระเบียบ ไม่มีอะไรพิสดารครับ ปกติจะมีเจ้าหน้าที่นั่งคอยชี้ว่าให้เราไปต่อแถวไหน โดยดูจากจำนวนคนแต่ละแถวและประเภทหนังสือเดินทางที่ถือครับ แต่เราสามารถตัดสินใจต่อแถวใดก็ได้นะครับ (แถวสำหรับชาวต่างชาตินะครับ แต่บางทีมันก็มั่ว ๆ นะครับ ต่อแถวไหนก็ได้) เพราะบางทีคุณเจ้าหน้าที่ก็จิ้มมั่วครับ

6) ผ่าน security check อันนี้แถวจะยาวมากถึงยาวที่สุด แบ่งชายหญิงเช่นกัน ก็ทนหน่อยนะครับ ผ่านไปได้ก็จะได้ประทับตราที่บัตรห้อยกระเป๋า และ boarding pass เหมือนเดิม แน่นอนครับ ถูกลูบคลำกันถ้วนหน้า แต่ไม่ต้องถอดเข็มขัด / รองเท้าเช่นกัน

7) ผ่าน security check ไปได้ ก็จะได้ลงบันไดเลื่อนมาสู่ร้านสินค้าปลอดภาษี ซึ่งเดิน 10 นาทีก็ทั่วแล้วครับ แถมสินค้าก็ไม่มีอะไรมาก ราคาบางอย่างเท่าที่ดู ก็ไม่ถูกกว่าที่ไทยครับ และบางร้านราคาก็เท่าข้างนอกหรือแพงกว่านะครับ คือไม่ได้เป็นร้านปลอดภาษีนั้นเอง เช่น Pavers England (รองเท้าหนัง) หรือ Samsonite (กระเป๋าสัมภาระและเครื่องหนัง - Samsonite ที่นี่จะมีผลิตภัณฑ์เครื่องหนังด้วยครับ เช่น รองเท้า เข็มขัด กระเป๋าเอกสารขนาดต่าง ๆ ฯลฯ made in India) นอกจากนี้ ก็จะมีร้านเครื่องประดับขนาดใหญ่ ซึ่งผมก็ได้แต่ดูอยู่ข้างนอกครับ

8) เดินวนไปวนมาหลายรอบแล้วก็ไม่มีหนทางละลายทรัพย์ได้ (ซึ่งก็ดีแล้ว) ก็ได้เวลาหาที่นั่งครับ และแล้วก็เพิ่งสำเหนียกว่าทำไมมันหายากแบบนี้ แขกนั่งเต็มไปหมด หายากหาเย็น จนสุดท้ายต้องไปเดินวนดูของอีกหลายรอบ พร้อมกับสอดส่ายสายตาหาที่นั่งไปด้วย สุดท้ายก็ได้ครับ หลังเหลือเวลาแค่ครึ่งชั่วโมงจะต้องขึ้นเครื่อง (คือ ผมอาจจะเรื่องมาก ไม่อยากนั่งติด ๆ กับแขกน่ะครับ เลยเดินทางที่ว่าง ๆ โล่ง ๆ นานหน่อย)

9) ขึ้นเครื่องกลับบ้าน ... ก็ตรวจ boarding pass (จริง ๆ ไม่ได้ตรวจหรอกครับ ฉีกโลด) แล้วก็มีเจ้าหน้าที่มาตรวจตราประทับ security check เหมือนเดิม ก่อนจะให้เราเดินขึ้นเครื่องไปได้

10) เมื่อขึ้นเครื่องไปแล้วก็จะเหมือนขาออกมามุมไบครับ ความโกลาหลจะเริ่มขึ้น คุณแอร์ก็รับบทหนักเหมือนเดิม ส่วนเรา นอนดีกว่าครับ เช้าวันรุ่งขึ้นจะได้ถึงประเทศไทยอย่างสดชื่นแจ่มใสครับ

ปล. แขกจะนิยมถือสัมภาระขึ้นเครื่องเยอะมาก เพราะฉะนั้นเรารีบขึ้นเครื่องหน่อยก็ดีครับ เว้นแต่ไม่มีของอะไรที่จะต้องแย่งที่วางกับแขกครับ เพราะหากคุณต้องวางของห่างออกไปแล้ว ขาลงคุณอาจจะต้องรอแขกลงกันหมด หรือมีคนขวางทางให้ถึงจะได้้มีโอกาสไปหยิบนะครับ (ถ้าใจเย็นได้ก็สบาย ๆ ครับ) เพราะแขกเป็นชนชาติที่เหมือนกับแข่งกันลงเครื่องบินครับ รอไม่เป็น หยุดให้ทางไม่เป็น ต้องแทรกออกมาเท่านั้น แล้วต้องแทรกแบบ "ก็ตรูจะไปอ่ะ มรึงจะทำไม" ไม่งั้นก็รอไปครับ สำหรับผม รอจังหวะเอาครับ ไม่รีบ ไม่อยากเบียดกะแขกโดยไม่จำเป็น

ท้ายสุดจริง ๆ อย่าลืมเช็คกลิ่นตัวเองนะครับ เพราะคนไทยที่มารับอาจผงะ เซถอยหลังได้ทีเดียว

รักเมืองไทยเพิ่มมากขึ้นไหมครับ ???


- คิ . ด . ถึ . ง . ป . ร . ะ . เ . ท . ศ . ไ . ท . ย -


Thursday, 6 September 2012

เข้า-ออกมุมไบทางอากาศ (ขาที่ 2 - ขาในประเทศ)

ขาที่ 2 - ขาในประเทศ

การบินไป-มาภายในประเทศย่อมยุ่งวุ่นวายน้อยกว่าระหว่างประเทศแน่นอนอยู่แล้ว และที่อินเดียก็เช่นเดียวกันครับ โดยสิ่งที่จะขาดไม่ได้เลย นอกเหนือจากหนังสือแสดงตน เช่น บัตรที่ทางการอินเดียออกให้ หรือหนังสือเดินทาง หรือ CI ที่ทางการไทยออกให้แล้ว ก็จะต้องติดบัตรโดยสาร หรือสำเนาบัตรโดยสารไปด้วยทุกครั้ง เพราะมันคือตั๋วเข้าสู่อาคารผู้โดยสารขาออกของคุณ ไม่มีตั๋ว ไม่ให้เข้านะครับ เจ้าหน้าที่อินเดียจะยืนรออยู่ทุกประตูทางเข้าอาคารขาออกเพื่อตรวจตั๋วและหนังสือแสดงตน เพื่อให้แน่ใจว่าคุณจะเดินทางวันนั้นจริง ๆ ญาติสนิท มิตรสหายที่ไปส่งก็จะส่งได้แค่นั้นครับ เข้าอาคารไม่ได้

อีกอย่างคือ กะเวลาให้พอดี ๆ นะครับ ไปก่อนนาน ๆ ก็ไม่ให้เข้านะครับพี่น้อง เวลาที่ควรไปถึง คือ ประมาณ 1 - 1 ชม. ครึ่ง สำหรับภายในประเทศ (และ 2 ชม. ครึ่ง สำหรับระหว่างประเทศ) บางครั้งอาจจะต้องไปนั่งรอที่ Gate นานหน่อย (ไม่ค่อยมีอะไรน่าสนใจให้เดินดู หรือละลายทรัพย์ครับ) แต่เอาชัวร์ไว้ดีกว่าครับ

ผ่านด่านชั้นแรกเข้าไปได้ ด้วยความที่เป็นสนามบินภายในประเทศ บางครั้ง คุณก็จะต้องลากกระเป๋าสัมภาระที่จะโหลดขึ้นเครื่องไปผ่านเครื่องแสกน เพื่อให้เจ้าหน้าที่ตรวจสอบ (ดูผ่านเครื่องแสกน) และติดสติกเกอร์ให้ คล้าย ๆ บ้านเราสมัยก่อน โดยเครื่องแสกนอาจจะมีอยู่เพียงเครื่องเดียวครับ เช่น ที่สนามบินเมืองวาดอดรา (Vadodara) ซึ่งมีขนาดเล็ก ๆ น่ารัก ตึกสีสันสวยงามครับ)

Vadodara Airport

จากนั้น จึงไปเชคอินที่เคาน์เตอร์ตามปกติครับ ก็จะเจอสภาพมึนงง แขกเกะกะ บ้าบอคอแตกตามประสาความไม่มีระเบียบไปตามเรื่องตามราวครับ โชคดีก็อาจจะไม่ต้องเจอเรื่องน่ารำคาญให้ขุ่นข้องหมองใจ หลังจากเชคอินเรียบร้อย ให้ขอ tag ห้อยกระเป๋ามาตามจำนวนของที่เราจะถือขึ้นเครื่องครับ เช่น กระเป๋า 1 ใบ ถุงหิ้ว 1 ใบ กล้องคล้องคอ 1 ตัว ก็เอามา 3 แผ่นครับ (ขอที่เคาน์เตอร์เชคอิน)

อันนี้ เพื่อให้นึกภาพออกครับ ปกติที่เคานเตอร์เชคอินจะมีวางไว้ให้หยิบอยู่แล้ว หากลืมจริง ๆ สนามบินบางแห่งจะมีวางไว้ตรงแถว ๆ ที่เราต่อแถวเพื่อผ่าน security check ครับ ก็หยิบมาห้อยกระเป๋าให้เรียบร้อยก่อนผ่าน security check ครับ

จากนั้นจึงไปผ่าน security check ซึ่งที่นี่จะแบ่งชาย หญิงชัดเจนครับ แยกคิวกันเลย ทางหญิงก็จะมีเจ้าหน้าที่หญิงเป็นผู้ปฏิบัตหน้าที่ครับ เจ้าเครื่องตรวจจับโลหะที่นี่ตั้งค่าไว้ไวมาก (sensitive มาก) โลหะติ่งเดียวก็ร้องครับ ก็คงเหมือนที่ไทย ทุกคนจึงต้องมาผ่านมือเจ้าหน้าที่แขกอีกครั้งทุกคราไป ก็ลูบ ๆ คลำ ๆ กันไปตามเรื่อง ส่วนใหญ่ก็ไม่เจออะไรหรอกครับ ในส่วนของ ญ ก็จะเชิญไปถูกลูบคลำในห้องเล็ก ๆ คล้ายกับห้องลองเสื้อผ้าแบบรูดผ้าปิด ซึ่งก็จะมีประจำอยู่ตรงนั้นครับ (คนลูบก็เป็นหญิงครับ แต่ลูบไม่มีเกรงใจนะครับ สตรีไทยบางท่านบ่นอุบว่าล่อซะหมด ไฟหน้ายังไม่เว้น) แต่อย่างน้อยก็ไม่ต้องขนาดถอดเข็มขัด / รองเท้าให้วุ่นวายเหมือนที่สุวรรณภูมิ สำหรับสิงอมควันทั้งหลาย ไฟแช็กใส่กระเป๋าถือนี่ไม่รอดนะครับ ได้ทิ้งหมดแน่นอน แต่ไม้ขีดไฟอาจผ่านได้  อ้อ ลืมบอกไป ให้ถือหนังสือแสดงตน กับ boarding pass ไว้กับตัวนะครับ


พอผ่าน security check เรียบร้อย เจ้าหน้าที่จะประทับตรา (ดูตัวอย่าง ตามรูป) บน tag ที่ห้อยไว้ และจะประทับตราที่ boarding pass ของเราหลังลูบคลำแล้วไม่พบอะไร พอผ่านฉลุยมาแล้วก็ระวังอย่าให้ tag ขาดหลุดหล่นหายนะครับ เพราะจะมีการตรวจอีกครั้งก่อนขึ้นเครื่อง ทั้งหมดนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของทุกท่านเองนะครับ (อินเดียระวังเรื่องการก่อการร้ายมาย)

ขั้นต่อไปคือ หาที่นั่งเพื่อรอขึ้นเครื่องครับ จะเดินเล่นละลายทรัพย์ไปพลางก็พอมีทางเลือกให้ได้ดูชมเล็ก ๆ น้อย ๆ ราคาแพงกว่าข้างนอก (ก็แน่อยู่แล้วครับ) จากนั้น ก็นั่งรอ พร้อมตื่นตัว อาจมีการเปลี่ยนประตูทางออก หรือ เกท แบบไม่ทันตั้งตัว ดูให้ดีครับ ดูเป็นระยะ ๆ แต่จริง ๆ ก็ไม่น่ากลัวมากครับ เพราะสนามบินเล็ก อะไร ๆ ก็อยู่ใกล้ ๆ กันไปหมด เว้นแต่คุณจะสมาธิหลุด สติขาดจริง ๆ ถึงจะพลาดได้หากมีการเปลี่ยนเกท ผมว่า การหาที่นั่งเพื่อรอขึ้นเครื่องยังยากกว่าอีกครับ

Boarding Time !! ก็เดินผ่านเคานเตอร์ แสดง boarding pass ให้เจ้าหน้าที่สายการบินชม ถัดมาจะเป็นเจ้าหน้าที่ security อีกครั้ง คุณก็ต้องแสดง boarding pass ที่มีตราประทับ พร้อมตราประทับบน tag ที่คล้องกับกระเป๋า ฯลฯ ของคุณ จากนั้นจึงจะเดินออกจากเกทไปขึ้นรถบัส เพื่อไปขึ้นเครื่อง ดูป้ายดี ๆ นะครับ เพราะออกจากอาคารไปแล้วคนจะออ บัสจะมางง ๆ แต่จะมีเจ้าหน้าที่คอยเอาป้ายมาตั้งว่า รถบัสที่กำลังจอดนี้สำหรับผู้โดยสารที่จะบินไปที่ไหน หน้าบันไดขึ้นเครื่องจะมีคนรอฉีก boarding pass ของคุณ เป็นอันจบพิธีกรรม ได้ขึ้นเครื่องโดยสวัสดิภาพ  (บินภายในประเทศไม่ค่อยได้เห็นงวงครับ จะเป็นรถบัสซะส่วนใหญ่ ถ้าโชคดีได้ใช้งวง ก็วุ่นวายตามปกติ แต่ไม่ขนาดขึ้นบัสครับ)

ที่นั่งบนเครื่องก็จะขนาดพอนั่งได้สำหรับคนไทยขนาดมาตรฐาน แต่ถ้านั่งติดแขกแล้วล่ะก็ ก็จะมีการล่วงล้ำเขตแดนกันให้เป็นที่น่าหงุดหงิดใจ แต่ก็ขอให้คิดว่า "แปบเดียว ๆ ๆ ๆ" ท่องไว้ครับ (แต่บางเส้นทางก็ไม่แปบเดียวนะครับ เช่น จากมุมไบไปกรุงนิวเดลี ก็ 2 ชม. ครับ ก็ทำได้อย่างเดียว คือ ทำใจ) ส่วนอาหารที่เิสิร์ฟบนเครื่องก็ขึ้นกับระยะทางบินและสายการบินนะครับ จึงจะไม่ขอกล่าวถึง

ที่สำคัญคือ เก็บรักษา boarding pass ไว้ให้ดีครับ สนามบินปลายทางบางแห่งจะมีคนคอยตรวจครับ (งง เหมือนกันครับ ไม่เข้าใจจริง ๆ ว่าตรวจทำไม แต่หลังจากพยายามหาคำอธิบาย ก็ได้ข้อสันนิษฐานมึน ๆว่า อาจจะเป็นเพราะ สนามบินมีขนาดเล็ก ผู้โดยสารลงเครื่องแล้วสามารถเดินจากรันเวย์เข้าอาคารผู้โดยสารได้เลย จึงต้องมีเจ้าหน้าที่มาตรวจก่อนเข้าอาคารว่าเป็นผู้โดยสารจริงหรือไม่ - แต่ก็ไม่รู้ว่า ถ้าไม่ใช่ผู้โดยสาร จะเป็นใครไปได้ - อ้อออ... กัปตันกับคุณแอร์ นั่นเอง - แล้วจะตรวจทำไมนะ ?!?!) และก็ไม่รู้ว่าถ้าทำหายไปแล้ว ไม่มีให้ตรวจจะเป็นยังไง ... ใครรู้บอกด้วยครับ

หลังจากนั้นก็รอกระเป๋า และออกเดินทางไปยังจุดหมายของทุกท่านครับ

เช่นกัน หากมีรถมารอรับก็เป็นลาภอันประเสริฐ ถ้าไม่มีก็สู้ต่อไปครับ  แต่พึงระวังนะครับ อยู่เมืองใหญ่คุณอาจจะใช้ภาษาอังกฤษได้ แต่ออกไปต่างจังหวัดเนี่ย หายากนะครับ ที่หาง่ายและเจอแน่ ๆ คือทำเหมือนเข้าใจแล้วพาเราไปโผล่โลกไหนก็ไม่ทราบได้ ดังนั้น จัดการไว้ล่วงหน้าจะดีกว่าครับ


^ ^ ^\(-.-)/^ ^ ^

เข้า-ออกมุมไบทางอากาศ (ขาที่ 1 - ขาเข้าจากไทย)

ขาที่ 1 : ขาเข้าจากไทย

ขาที่ 1 นับได้ว่าเป็นขาที่มึนน้อยที่่สุดสำหรับเรา ๆ แต่สำหรับคุณแอร์ก็คงจะมึนน่าดูชมพอ ๆ กับขาออกจากเมืองมุมไบ เพราะ พี่น้องชาวอินเดียชอบเล่นเก้าอี้ดนตรีกันมาก โดยเริ่มตั้งแต่เครื่องยังไม่ขึ้น จนกระทั่งก่อนเสิร์ฟอาหาร แล้วทำไมการเล่นเก้าอี้ดนตรีจึงทำให้คุณแอร์มึนถึงขนาดหน้าบูด บ่นงุบงิบ ๆ น่ะเหรอครับ  ก็เพราะ พี่น้องชาวอินเดียมักจะสั่งอาหารพิเศษล่วงหน้าครับ โดยคุณแอร์จะมีข้อมูลว่า ผู้โดยสารชื่อนี้ นั่งที่เก้าอี้หมายเลขนี้ สั่งอาหารพิเศษ ก็ที่เราเห็นคุณแอร์ถือกระดาษพร้อมปากกาเดินตรวจสอบกับผู้โดยสารบางคนก่อนเครื่องขึ้นนั่นแหละครับ แต่คราวนี้พี่น้องเล่นไม่นั่งที่ตามที่ตัวเอง
คุณแอร์ก็มึนซิครับ แล้วหาตัวกันง่าย ๆ ที่ไหนครับ

บางครั้งการเล่นเก้าอี้ดนตรีอาจกระทบชิ่งมาถึงเราหากเรามีที่นั่งว่างอยู่ข้าง ๆ หากรู้ว่าอาจตกเป็นเป้าก็พึงระวัง โดยเริ่มนำสิ่งของเครื่องใช้มากองไว้ที่ที่นั่งข้างเราที่ว่างให้เสมือนมีคนนั่งแต่ไม่รู้อยู่ไหน (หากจำเป็นก็มั่วไปเลยว่าจะมีเพื่อนมานั่ง) การนั่งข้างแขกนั้นมีความเสี่ยงหลายประการที่ล้วนไม่พึงประสงค์ หลัก ๆ คงเป็นเรื่องมารยาท ความเกรงใจ ขนาดตัว และกลิ่น แต่บางคนก็มารยาทดีมากนะครับ เคยเจอเหมือนกัน แต่ถ้าเป็นผม ผมพยายามไม่เสี่ยงครับ

เรื่องเหล้ากะแขก แขกกะเหล้า ก็ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจร่วมกันนะครับ

เริ่มมึนเบา ๆ ตั้งแต่บนเครื่อง หลังจากไ้ด้รับใบเข้าเมืองของอินเดียจากคุณแอร์สุดสวย คนส่วนใหญ่ก็จะพุ่งไปที่แบบฟอร์มที่ต้องกรอก และลงมือกรอกอย่างเมามันและชินมือ เตรียมพร้อมสำหรับผ่านด่าน ตม. ผ่านไปได้ไม่กี่บรรทัด เครื่องหมายคำถาม ? พร้อม "อะไรแมร่งนิ %#$^$#@" ผุดขึ้นมาเต็มไปหมด เพราะต้องเผชิญกับตัวย่อที่ไม่คุ้นหน้าคุ้นตา เช่น NRI (Non-resident Indians) PIO (Persons of Indian Origin) และ OCI (Overseas Citizens of India) ให้เราเลือกว่า เราเป็นหนึ่งในคนประเภทเหล่านี้หรือไม่ ไม่ใช่ก็เลือก NONE ครับ  ตรงนี้ไม่มีอะไรมากครับ แค่ขอแนะนำว่าให้อ่านหน้าแรกก่อน แล้วจึงมากรอกในหน้า 2 ครับ ตรงส่วนล่างของฟอร์ม จะเป็นส่วนแยกสำหรับศุลกากร จะเห็นรอยประให้ฉีกออกจากกันได้ แต่ก็ไม่ต้องฉีกครับ เดี๋ยวพี่ ตม. จัดการให้เองครับ แต่เก็บส่วน slip เล็ก ๆ นั้นไว้ให้ดีนะครับ เพราะจะต้องใช้ก่อนออกจากสนามบินครับ

เดินทางถึงท่าอากาศยานนานาชาติ Chhatrapati Shivaji โดยสวัสดิภาพ โอกาสเครื่องลงจอดช้ากว่ากำหนดการมีน้อยมาก เพราะบินตามลม กัปตันสามารถทำเวลาได้อย่างน่าอัศจรรย์ แต่ ... จะมาเสียเวลา taxi จนจอดสนิท พร้อมให้ผู้โดยสารลงจากเครื่องอีกกว่า 20 นาที  หลังจากนั้น มุ่งหน้าด่าน ตม. และรับกระเป๋าสัมภาระ

ต้องบอกว่า เดินไกลทีเดียวไม่แพ้สุวรรณภูมิ แม้ี่ที่นี่จะมีขนาดเล็กกว่ามาก เมื่อถึงด่าน ตม. มักไม่มีปัญหาอะไร แต่บางครั้งอาจจะต้องรอคิวนาน แต่ทางการอินเดียก็พยายามแก้ไขให้สามารถให้บริการได้เร็วขึ้น พอผ่าน ตม. แล้ว ก็จะมาเจอเจ้าหน้าที่ ตม. อีกครั้ง คือ พอเราเดินผ่านเคานเตอร์มา (บินการบินไทยหรือบางกอกแอร์เวย์สให้เลี้ยวซ้าย บินเจ็ทหรือแอร์อินเดียให้เลี้ยวขวานะครับเพราะสายพานรับกระเป๋าอยู่คนละฝั่งกัน) ที่จุดออกไปยังสายพานก็จะมี ตม. มาดักขอดูหนังสือเดินทางอีกครั้งว่าได้ประทับตราเข้าประเทศแน่แล้วหรือไม่ เราก็เปิดหน้านั้นไว้ให้ดูเท่านั้นครับ และบางครั้งก็จะถามว่า เรามาสายการบินใด เพื่อให้แน่ใจว่าเราออกถูกทางครับ แต่ไม่ต้องเครียดนะครับ ถ้าออกผิดทางแน่แล้ว (ไม่มีเที่ยวบินปรากฏบนจอที่สายพาน) ก็แค่เดินย้อนกลับไปครับ ถาม ตม. ที่จุดออกคนเดิมว่า สายการบินนี้สายพานไหน เดี๋ยวเขาบอกเองครับ

อ้อ สินค้าปลอดภาษีที่นี่ เท่าที่ผมเห็นผมว่าราคาที่ไทยถูกกว่าเล็กน้อยครับ ใครลืมหิ้วของมึนเมามาจากไทยก็แนะนำให้ซื้อครับ (ถ้าคิดว่าดื่มแน่ ๆ) เพราะไปซื้อแบบมีภาษีเนี่ย ผมว่าไม่ดื่มดีกว่าครับ อ้อ แล้วก็ ชาวต่างชาติไม่สามารถใช้เงินรูปีอินเดียซื้อสินค้าได้นะครับ

รอคิวที่ ตม. นานหน่อย อย่าไปกังวลครับ เพราะสิ่งที่ช้าที่สุดคือ กระเป๋า ช้ามาก ช้าได้อีก ช้าไปเรื่อย ช้าอะไรไม่ทราบ แต่ช้าจริง ๆ เดี๋ยวนี้สุวรรณภูมิเราเร็วมาก มาเจอที่นี่เซ็งสนิทครับ แถมสายพานเล็ก คนยืนกันตรึม หาตำแหน่งแทรกยากมาก แต่ต้องลุยครับ จับจองพื้นที่ให้มั่น แขกจะให้วิชาแทรกและดันเข้ายึดพื้นที่ โดยไม่สนใจใคร เพราะฉะนั้นต้องยืนหยัดครับ หรือมีอีกวิธีที่เพิ่งเรียนรู้มา คือ ชิวครับ ไม่ต้องไปเบียดกะแขกอยู่แถวหน้าติดสายพาน อยู่แถวสองนั่นแหละครับ พอกระเป๋ามาให้บอก (แหกปาก) พวกแถวหน้าให้ช่วยครับ ท่านจะได้กระเป๋าของท่านโดยไม่ต้องออกแรง

                                        ชาวไทยผู้บอบบาง "sorry sorry that is my bag. Please help. Please help."
 สุภาพบุรุษเลือดอินเดีย "Datis yo'r bag?"
ชาวไทยผู้บอบบาง "Yes yes, the black one. Yes that one. Thank you very much sir thank you."

หรือไม่คุณก็สามารถเลือกใช้บริการพนักงานยกกระเป๋าที่จะแห่มาหาคุณพร้อมรถเข็น เสร็จแล้วก็ให้ไปสัก 50 รูปี 100 รูปี แล้วแต่ความสะดวกและปริมาณกระเป๋าครับ (ส่วนผม ผมว่า 50 รูปีก็เยอะละ แต่ไม่รู้คนรับจะว่าไงนะครับ ผมเองก็ไม่เคยใช้บริการเหมือนกัน) แต่ว่าก็อย่าให้เกิน 100 รูปีเลยครับ เสียนิสัยหมด (ไม่ได้ขัดคนที่จะให้มากกว่านี้นะครับ)  

เรียบร้อยได้กระเป๋ามาละ ต่อไปก็เข็นรถ หรือลากผ่านศุลกากรครับ คือ แม้จะมีช่องเขียว คือ ไม่มีอะไรต้องสำแดง แต่เท่าที่เห็นทุกคนจะต้องนำกระเป๋าส่งสู่สายพานเครื่องแสกน (ที่ไทยเราใช้วิธีการสุ่มตรวจ แต่ที่นี่ไม่สุ่มครับ) ตรงนี้ก็จะเป็นอีกทีที่แถวยาวมาก เพราะมีเครื่องแสกนกระเป๋าเครื่องเดียวครับ 

จบแล้วครับ ผ่านออกมาได้ จะมีศุลกากรคอยเก็บ slip เล็ก ๆ นั้น (จำได้มั้ยครับ ที่ ตม. ฉีกให้) เป็นอันจบพิธี ใครมีคนมารอรับก็เป็นลาภอันประเสริฐ ใครต้องหาแทกซี่ ก็สู้หน่อยนะครับ เอาให้แน่ว่าไปถึงที่หมายได้แน่นอน โดยสามารถใช้บริการ Prepaid Taxi Counter ได้ โดยให้ที่อยู่ไป แล้วจ่ายตังตามระยะทาง จากนั้นก็นำคูปองไปรอเรียกขึ้นรถ taxi ครับ ซึ่งมีทั้งแบบที่มีแอร์และไม่มีแอร์ให้เลือก (คนละราคา) ส่วนกระเป๋า โดยปกติแล้วก็จะมัดไว้บนหลังคาครับ

คนไทยส่วนใหญ่จะมาพักกันในเขต South Mumbai ก็จะใช้เวลาจากสนามบินประเมาณ 1 ชม. ครับ (เที่ยวบินจากไทยส่วนใหญ่มาถึงค่อนข้างดึก รถจึงไม่ติดครับ เว้น ฝนตกน้ำท่วม อันนี้มี 2 ชม. หรืออาจจะมากกว่านั้น ครับ)


Y (^.^) Y

Wednesday, 5 September 2012

ของเหลวใส ๆ ที่เรียกว่า "น้ำ"


เมื่อเอ่ยถึงน้ำในประเทศอินเดีย ภาพแม่น้ำคงคา ซึ่งก็เหมือนแม่น้ำเจ้าพระยาคือ เป็นเส้นเลือดล่อเลี้ยงประเทศอินเดียทั้งในการอุปโภคบริโภคและทางศาสนาและวัฒนธรรม ภาพการซักผ้า ชำระล้างร่างกาย และการประกอบพิธีศพตามประเพณีชาวฮินดูอาจจะไม่ได้ให้ภาพที่ดีนักเกี่ยวกับ "น้ำ" ในอินเดีย แม้จะมีที่มาจากเทือกเขาหิมาลัย น้ำใสเย็นยะเยือกเป็นแม่น้ำสายต่าง ๆ หล่อเลี้ยงอินเดีย


0 น้ำดื่ม - คนไทยมักจะกลัวว่า น้ำดื่มที่นี่สกปรกและมีเชื้อโรค จึงมักซื้อน้ำดื่มบรรจุขวดหรือน้ำแร่เป็นส่วนใหญ่ แต่ที่ผ่านมาผมก็มีวัดดวงกะน้ำก็อกมาบ้าง แต่ก็ไม่บ่อย จะเป็นเฉพาะเวลาทานข้าวตามร้านอาหารบางแห่งเท่านั้น ที่ลืมตัวไม่ได้สั่งน้ำขวด แต่ก็ยังไม่เคยเจ็บไข้ได้ป่วยจากการดื่มน้ำก็อก หรือแค่อาจจะยังดวงดีอยู่เท่านั้นเองก็เป็นได้ เพราะในความเป็นจริงแล้ว น้ำที่ไม่สะอาดส่งคุณเข้าโรงพยาบาลได้ง่ายมากนะครับ 

1 ดื่มน้ำที่บ้าน - ซื้อน้ำขวดดื่มจะดีที่สุด (มีมาตรฐาน ดื่มได้ปลอดภัยครับ) แต่ถ้าที่พักมีเครื่องกรองก็พอได้ครับ แต่คงต้องดูเครื่องกรองให้ไฮโซนิดหนึ่ง คือเอาที่เราฟังสรรพคุณแล้วรู้สึกว่า น้ำที่ผ่านออกมาเนี่ยดิ่มได้ (เอาตามความรู้มากกว่าความรู้สึกนะครับ) พี่ ๆ บางท่านก็นำน้ำกรองนี้มาต้มอีกรอบก่อนเก็บไว้สำหรับดื่มครับ แต่ส่วนใหญ่ซื้อน้ำดื่มขวดใหญ่เอาครับ

2 ดื่มน้ำนอกบ้าน - เวลาไปทานอาหารนอกบ้านก็ให้สั่งไปเลยว่า "bottled water" หรือไม่ก็ "mineral water" ไปเลยครับ หากสั่งแบบขอน้ำเย็น (chilled water) ก็จะได้น้ำเย็นเทจากเหยือก ซึ่งก็จะคือน้ำก็อกแช่เย็นนั่นเองครับ แต่เชื่อว่าร้านอาหาร และโรงแรมที่พอไหวส่วนใหญ่จะใช้น้ำกรองครับ คือ ไม่ขนาด น้ำก็อกบริสุทธิ์ 100% แต่ถ้าไปร้านซึม ๆ ก็น้ำก็อกแน่นอนครับ

3 น้ำใช้ - บางคนแพ้น้ำที่นี่ ก็จะเป็นพด ๆ เม็ดเล็ก ๆ ตามผิวหนัง ผมเองก็เป็นตามหน้าครับ แต่ก็ไม่ได้แย่มาก แต่ถ้าผิวใครแพ้ง่ายก็อาจจะเป็นขนาดสิวเขรอะได้ครับ ก็เตรียมยากันให้ดี หาซื้อที่นี้ได้ครับยาแต้มสิวทั้งหลาย แถมยังมีทางเลือกมากมายด้วยผลิตภัณฑ์ของอินเดีย พี่บางท่านบอกว่า น้ำที่นี่อาบแล้วไม่สดชื่นเหมือนน้ำที่ไทย ก็อาจจะเป็นได้ว่าน้ำที่นี่อาจจะกระด้างแล้วก็สกปรกกว่าครับ

4 ปัญหาน้ำ ๆ - ปกติเราจะเจอปัญหาแดดเลียสีผ้า และทำผ้าขาวหม่น แต่อยู่ที่นี้ไม่ค่อยมีแดด ต้องอาศัยพัดลมในการตากผ้า แต่ผ้าขาวก็ยังหม่นอย่างรวดเร็ว จึงมีคนสันนิษฐานว่า อาจจะเป็นเพราะน้ำ แต่ก็ยังไม่มีการพิสูจน์นะครับ
5 ไหลไม่ไหล - การใช้น้ำในเรื่องอื่นไม่มีปัญหาอะไร จะมีเพียงน้ำประปาไม่ไหล ซึ่งถือเป็นเรื่องปกติ คนที่นี้ก็ต้องมีถังไว้สำรองน้ำให้พอใช้สัก 2-3 วัน แต่ส่วนใหญ่ก่อนจะตัดน้ำ จะมีการแจ้งล่วงหน้า
6 น้ำแข็ง - ที่นี่หาน้ำแข็งยากเหมือนที่เคยบอกในตอน "ดื่มสุราฯ" น้ำที่มีบริการในร้านอาหาร เต็มที่ก็คือแช่เย็นมาครับ แต่คนที่นี่ส่วนใหญ่ดื่มน้ำที่อุณหภูมิห้องครับ

ช่วงนี้ฝนเริ่มตกมากขึ้นแล้ว จริงๆ ตั้งแต่เดือน มิ.ย. - ก.ย. คือ ช่วงฤดูมรสุม ซึ่งปกติพี่ ๆ ที่นี่บอกว่าฝนจะตกแบบ non-stop เป็นสิบวัน ส่งผลให้เราเผชิญปัญหาจากความชื้นสูงและเชื้อราตามมา ซึ่งเชื้อรานี้ขึ้นทุกที่ ไม่ว่าจะตามฝาผนัง กระเป๋าที่วางนิ่ง ๆ เนคไท เสื้อผ้า ผมเจอมาแล้ว เก็บกระเป๋าไว้จะหยิบออกมาใช้ เห็นราแล้ว อึ้งไปสามกระบวนท่า ก่อนกลั้นหายใจเช็ดทิ้ง ส่วนเนคไทก็ส่งสั่งแห้งโลด ตอนนี้เลยขนกระเป๋าผ้าที่ไม่ค่อยได้ใช้กลับไทยไปหมดแล้ว นี่ขนาดว่าปีนี้ฝนตกน้อยแล้วนะครับเนี่ย
. . . /(>.<'\) . . .