วันต่อมาเราจับเครื่องแต่เช้ากลับกาฐมาณฑุ เมื่อถึงที่พัก (ที่เดิม) ก็ต้องโทรแจ้งทางบ้านกันเป็นพัลวันเพราะข่าวหิมะถล่มเมื่อวันก่อนหน้าเป็นเรื่องเป็นราวใหญ่โตทีเดียว
วันนั้นเราพักผ่อนและออกไปชมเมืองเล็กน้อย (Kathmandu Durbar Square) ก่อนไปปลอบประโลมกระเพาะด้วยอาหารเกาหลีในมื้อค่ำ ซึ่งอร่อยทีเดียวครับ (มุมไบ ณ ตอนนั้น ยังไม่มีร้านอาหารเกาหลีเลยครับ)
ความวุ่นวายที่หลบหนีมาเริ่มขึ้นอีกครั้งตั้งแต่การไปนั่งรอเครื่องไปยังมุมไบ คนจำนวนมากทั้งอินเดียและเนปาลต่างรอเดินทาง อยู่มาขนาดนี้ เราสามารถแยกออกได้พอสมควรว่า เนปาลหรืออินเดีย เพียงดูจากหน้าตาและอากัปกิริยา มันไม่ยากเท่าใดนัก
เราใช้บริการสายการบิน Jet เพราะไม่มีทางเลือกมากนัก ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ชื่อชั้นดีกว่าสายการบินแห่งชาติอินเดียหลายขุม แต่ Jet ก้มักจะสร้างความประหลาดใจให้ผู้โดยสารอยู่เสมอ ๆ ผมโดนมาพอสมควร เช่น โดนเร่งให้เชคอินบอกว่า เครื่องจะออกแล้ว ทั้ง ๆ ที่เราไปก่อนเวลาเครื่องออกเกิน 1 ชม. คนอื่นก็วิ่งหน้าตั้งตาลีตาเหลือก แต่สำหรับผม ไม่มีทาง ดูเวลา แล้วก็ตามนั้น สุดท้ายเครื่องออกก่อนเวลาประมาณ 15 นาที (เพื่อ???) หรืออย่างการตั้งด่านตรวจค้นร่างกายและสัมภาระเพิ่มเติมจากด่านของสนามบิน
ที่เนปาลครั้งนี้ก็เจอด่านพิเศษ ตั้งซุ้มตรวจกันหน้าประตูเครื่องเลยทีเดียว คือ จะบอกว่ามาตรฐานสายการบินดีกว่าสนามบินก็ฟังไม่ค่อยขึ้น แต่ก็มักจะมีการสุ่มเที่ยวบินตรวจพิเศษแบบนี้ให้เห็นเป้นประจำ ไม่เว้นแม้กระทั่งเที่ยวบินภายในประเทศ
พอถึงมุมไบ ยังไม่ทันลงจากเครื่องก็ได้อารมณ์เสียกับแขกที่จะต้องแย่งชิงรีบลงจากเครื่อง ไม่ทราบจะรีบอะไรขนาดนั้น พวกนี้จะชอบเดินเตะโดนส้นเท้าคนข้างหน้า ข้างหน้ายังไม่ขยับก็ยังจะดัน ๆ เดิน ๆ คือ ไม่เข้าใจและรำคาญมาก วันนั้นอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว แขกข้างหลังที่เตะเท้าผมไป 2-3 ครั้ง เลยชักศอกกระทุ้งตอบแทนไป 1 ดอก พร้อมหันกลับไปชี้หน้า ... เห่อ เบื่อจริง ๆ
จบแล้วครับ การผจญภัยรอบนี้ ได้รู้และได้รับอะไรหลายอย่าง ได้หน้าดำ ๆ หนังลอกเป็นแผ่น ๆ (ขนาดนิ้วมือยังลอก) ได้ทนกับความหนาว ได้ทดสอบสุขภาพ ได้เดินในอากาศชิว ๆ แต่ตะคริวกิน ได้ทานอาหารอย่างขนมปังทิเบตราดน้ำผึ้ง อาหารญี่ปุ่นและเกาหลี ได้พบคนเนปาลที่นารัก ได้เป็นได้นั่งในร้านรวงต่าง ๆ ที่เจริญหูเจริญตา ฯลฯ นับว่าเป็นทางเลือกในการหลบอินเดียไปพักผ่อนที่คุ้มค่าและใกล้กว่าเมืองไทย
จบ ... หนีเที่ยวเนปาล
วันนั้นเราพักผ่อนและออกไปชมเมืองเล็กน้อย (Kathmandu Durbar Square) ก่อนไปปลอบประโลมกระเพาะด้วยอาหารเกาหลีในมื้อค่ำ ซึ่งอร่อยทีเดียวครับ (มุมไบ ณ ตอนนั้น ยังไม่มีร้านอาหารเกาหลีเลยครับ)
![]() | ||
เบียร์ท้องถิ่นอีกหนึ่งชนิดที่ได้พบเจา จำได้ว่า Everest นุ่มกว่ามาก |
ความวุ่นวายที่หลบหนีมาเริ่มขึ้นอีกครั้งตั้งแต่การไปนั่งรอเครื่องไปยังมุมไบ คนจำนวนมากทั้งอินเดียและเนปาลต่างรอเดินทาง อยู่มาขนาดนี้ เราสามารถแยกออกได้พอสมควรว่า เนปาลหรืออินเดีย เพียงดูจากหน้าตาและอากัปกิริยา มันไม่ยากเท่าใดนัก
![]() |
เครื่องบินของ UN |
เราใช้บริการสายการบิน Jet เพราะไม่มีทางเลือกมากนัก ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า ชื่อชั้นดีกว่าสายการบินแห่งชาติอินเดียหลายขุม แต่ Jet ก้มักจะสร้างความประหลาดใจให้ผู้โดยสารอยู่เสมอ ๆ ผมโดนมาพอสมควร เช่น โดนเร่งให้เชคอินบอกว่า เครื่องจะออกแล้ว ทั้ง ๆ ที่เราไปก่อนเวลาเครื่องออกเกิน 1 ชม. คนอื่นก็วิ่งหน้าตั้งตาลีตาเหลือก แต่สำหรับผม ไม่มีทาง ดูเวลา แล้วก็ตามนั้น สุดท้ายเครื่องออกก่อนเวลาประมาณ 15 นาที (เพื่อ???) หรืออย่างการตั้งด่านตรวจค้นร่างกายและสัมภาระเพิ่มเติมจากด่านของสนามบิน
ที่เนปาลครั้งนี้ก็เจอด่านพิเศษ ตั้งซุ้มตรวจกันหน้าประตูเครื่องเลยทีเดียว คือ จะบอกว่ามาตรฐานสายการบินดีกว่าสนามบินก็ฟังไม่ค่อยขึ้น แต่ก็มักจะมีการสุ่มเที่ยวบินตรวจพิเศษแบบนี้ให้เห็นเป้นประจำ ไม่เว้นแม้กระทั่งเที่ยวบินภายในประเทศ
![]() | ||
mobile unit สุด ๆ แต่คือ แดดแรงมาก |
พอถึงมุมไบ ยังไม่ทันลงจากเครื่องก็ได้อารมณ์เสียกับแขกที่จะต้องแย่งชิงรีบลงจากเครื่อง ไม่ทราบจะรีบอะไรขนาดนั้น พวกนี้จะชอบเดินเตะโดนส้นเท้าคนข้างหน้า ข้างหน้ายังไม่ขยับก็ยังจะดัน ๆ เดิน ๆ คือ ไม่เข้าใจและรำคาญมาก วันนั้นอารมณ์ไม่ค่อยดีอยู่แล้ว แขกข้างหลังที่เตะเท้าผมไป 2-3 ครั้ง เลยชักศอกกระทุ้งตอบแทนไป 1 ดอก พร้อมหันกลับไปชี้หน้า ... เห่อ เบื่อจริง ๆ
จบแล้วครับ การผจญภัยรอบนี้ ได้รู้และได้รับอะไรหลายอย่าง ได้หน้าดำ ๆ หนังลอกเป็นแผ่น ๆ (ขนาดนิ้วมือยังลอก) ได้ทนกับความหนาว ได้ทดสอบสุขภาพ ได้เดินในอากาศชิว ๆ แต่ตะคริวกิน ได้ทานอาหารอย่างขนมปังทิเบตราดน้ำผึ้ง อาหารญี่ปุ่นและเกาหลี ได้พบคนเนปาลที่นารัก ได้เป็นได้นั่งในร้านรวงต่าง ๆ ที่เจริญหูเจริญตา ฯลฯ นับว่าเป็นทางเลือกในการหลบอินเดียไปพักผ่อนที่คุ้มค่าและใกล้กว่าเมืองไทย
จบ ... หนีเที่ยวเนปาล
Y(^ " ^)Y
No comments:
Post a Comment