หลายท่านคงเคยได้ยินว่าหลายประเทศเคยเชื่อว่า ประเทศของตนเป็นศูนย์กลางของโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศตะวันตก หรือตะวันออก โดยตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคงจะเป็นประเทศจีน ที่ตั้งชื่อประเทศในภาษาจีนมีความหมายว่า ดินแดนศูนย์กลาง (中国) ซึ่งเมื่อกาลเวลาผ่านไปประเทศเหล่านั้นก็ได้เรียนรู้ว่าไม่มีประเทศใดเป็นศูนย์กลางของโลกอย่างแท้จริง และล้วนแต่ต้องปรับตัวเพื่อก้าวไปให้ทันโลก ซึ่งในบางครั้งก็ได้มีโอกาสขึ้นมาเป็นผู้นำในเวทีโลก
แต่... สำหรับอินเดียนั้น พยานหลายปากยืนยันว่า กาลเวลาและโลกาภิวัฒน์ ไม่ได้ช่วยให้คนในประเทศแห่งนี้เข้าใจอะไรมากขึ้นเลย หากพูดแรง ๆ ก็คงหมายความว่า สื่อต่าง ๆ ในโลกความไวแสงนี้ ไม่ได้เปิดโลกทัศน์ให้กับคนที่นี้เท่าที่ควรจะเป็น คนอินเดีย (บางส่วน แต่จำนวนไม่น้อย) จึงยังเชื่อว่า ตนเองเป็นศูนย์กลางของโลก ไม่สิ คงเชื่อว่าตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลที่ยิ่งใหญ่ทีเดียว
สิ่งที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่าอินเดียคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกนั้น ก็สืบเนื่องมาจากวิธีคิดที่แสดงออกมาของคนที่นี่ ที่บางครั้งก็น่าสนใจที่จะทำความเข้าใจเพื่อหาเหตุผลและวิธีคิดเบื้องหลังการกระทำ แต่บางครั้งก็สุดจะทน และอยากจะประเคนคำเชือดเฉือนเจ็บแสบให้สาสม แต่พอจะสรุปง่าย ๆ ว่า คือ "การไม่แคร์โลก" ซึ่งบางครั้งเข้าขั้นรุนแรง คือ อะไรที่ต่างจากอินเดีย คือ ผิด คือ ประหลาด !! ทุกอย่างต้องเป็น Indian way ไม่แคร์ใครทั้งนั้น ซึ่งจะมาพร้อมคำอธิบายแบบเอาสีข้างที่หนาเป็นพิเศษเข้าถู คำอธิบายที่พอได้ยินแล้วแบบว่า "เห้ย มันไม่ใช่แบบนั้นป่าววะ คิดได้ไงวะ"
อาการไม่แคร์โลกนี้สามารถส่งผลกระทบกับคุณ และทำให้ปวดประสาทได้อย่างไม่น่าเชื่อ มาตรฐาน มารยาท ระเบียบวินัยล้วนมลายหายสิ้น อย่าได้หวัง (ในปัจจุบัน) แต่อีกหน่อยคงจะค่อย ๆ สำเหนียกกันได้เองว่าแท้จริงแล้วอินเดียไม่ใช่ศูนย์กลางของโลก หรือจักรวาล และต้องยึดถือหลักปฏิบัติและมาตรฐานสากลในเรื่องที่เหมาะสม
ชาวอินเดียเห็นว่า ประเทศตนเ็ป็นมหาอำนาจทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ และยังคงมีคำพูดติดปากที่เป็นความหวัง (ลม ๆ แล้ง ๆ) ว่าจะไล่ประเทศจีนทันใน 5-10 ปีข้างหน้า (อาจจะ้เป็นไปได้ในกรณีที่จีนเผชิญกับความถดถอยอย่างรุนแรง) แต่ดูจากวิธีคิดแบบ "ข้าคือศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่าง" แล้ว เชื่อว่าคงอีกนานครับ
ท่านที่เคยได้สัมผัสกับประเทศนี้ในแง่มุมต่าง ๆ คงเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร แต่ท่านที่ไม่เคยก็อยากจะขอยกตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ และขอเชิญชวนให้มาสัมผัสด้วยตนเองครับ
ตัวอย่าง : คุณขับรถมา บรืน ๆ อ่ะ ไฟแดง จอด ๆ รถหยุดนิ่งสนิท สบาย ๆ ทันใดนั้นเอง โครม !! รถคันหลังหลงรักบั่นท้ายคุณแบบรักแรกพบเข้าแล้วและออกจะไวไฟซะด้วย คุณนั่งปลงอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะเรียกประกันและเดินลงไปคุยกับคู่กรณี ... อ่ะ ไม่ยอมคุยด้วยแฮะ ไม่คุยก็ไม่คุย ไม่เป็นไร อีกสักพัก มีบุคคลฝ่ายคู่กรณีมาเพิ่มเติม และเริ่มบทสนทนาโดยการบอกว่าเราผิด ?!?! เห้ยยยยยยยย ... HERE แล้วไง ว่าแต่คุณ (มึง) เป็นใครครับ (วะ) แล้วเอาหลักประเทศชาติไหนมาบอกว่าคนโดนชนท้ายเป็นฝ่ายผิด ?? คำอธิบายของอีกฝ่ายง่ายมากครับ คือ "คุณหยุดรถกระทันหันเกินไป เลยทำให้โดนชนท้าย และการชนยังทำให้คนฝ่ายเขาตกใจด้วย" แต่เห้ย นี่มันหยุดตามสัญญาณไฟนะครับพี่ . . . . . ปลง สรุปว่า เถียงยังไงก็ไม่ชนะ ประกันก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไร สุดท้ายต่างคนต่างซ่อม โดยประกันสองฝ่ายจ่ายเท่ากัน และคู่กรณียอมจ่ายส่วนต่างไม่ว่าค่าซ่อมของใครจะแพงกว่าก็ตาม (คงรู้อยู่ว่าตัวเองผิด แต่ด้วยพื้นฐานวิธีคิดข้างต้น ซึ่งบ้างครั้งก็เป็นลักษณะเอาแต่ได้ จึงได้บทสรุปเช่นนี้)
ปล. ตัวอย่างนี้ฟังมานะครับ แต่มีเรื่องลักษณะนี้อีกมากมายครับ ทั้งที่ฟังมาและประสบเอง ไว้จะกล่าวถึงต่อไปครับ
วิธีคิดของคนประเทศนี้น่าสนใจนะครับ และคงต้องมาสัมผัสถึงจะเข้าใจได้ ไม่เช่นนั้นเวลาต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วยอาจจะเกิดอาการปวดเศียรเวียนเกล้า ท้องอืดอาหารไม่ย่อย กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ท้องผูก ฯลฯ
. . . ป ล ง . . .
tum jai kaa
ReplyDelete