Sunday, 24 June 2012

มุมไบ 101


นี่ไงอินเดีย!! ที่มุมไบ ประเทศอินเดีย

                สวัสดีครับ ขอแนะนำตัวเล็กน้อยก่อนเล่าเรื่องที่ประสบมาในการใช้ชีวิตที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ผมได้โอกาสมาเริ่มทำงานที่เมืองมุมไบ ตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย. ที่ผ่านมา (2555) ซึ่งก็คงจะอยู่ที่นี้นานพอสมควร แต่คงไม่นานมากจนเกินไป ฮาๆๆๆ
                มาเริ่มต้นกันเลยดีกว่า


บอมเบย์ มุมไบ
                เมืองนี้ชื่อเดิมคือ บอมเบย์ ซึ่งเป็นชื่อตั้งแต่สมัยอังกฤษยังปกครองอินเดียอยู่ พอได้รับเอกราช อินเดียก็เริ่มทยอยเปลี่ยนชื่อเมืองต่าง ๆ คล้ายกับเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นเอกราช “บอมเบย์” จึงกลายเป็น “มุมไบ”     อันนี้เพื่อนชาวศรีลังกาผู้มีประสบการณ์อธิบายให้ฟังมาไม่นานมานี้
                เมืองมุมไบ ถือเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและธุรกิจของอินเดีย (แต่ยังยากที่จะเป็นศูนย์กลางทางการเงินอย่างสิงคโปร์ตามที่ทางการอินเดียพยายามให้ข่าว เนื่องจากกฎระเบียบภายในประเทศที่ยังมีข้อจำกัดขัดขวางการทำธุรกรรมและการลงทุนในตลาดเงินของชาวต่างชาติ) เป็นเมืองท่าเรือสำคัญตั้งแต่อดีต อากาศสบาย ๆ เหมือนเมืองชายทะเลบ้านเรา แต่เหม็นกว่า เหมือนเป็นกลิ่นประจำเมืองไปแล้ว ยิ่งตอนฝนตกใหม่ ๆ นี้รัญจวนใจนัก
                ปัจจุบัน มุมไบมีตึกสูงหนาแน่นเหมือนแถบอโศก หรือสีลมบ้านเรา และยังเป็นที่อยู่ของครอบครัวนาย มูเกช อัมบานี ประธานบริษัท Reliance Industries จำกัด (ดำเนินธุรกิจพลังงาน และอสังหาริมทรัพย์) ที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 2 ของเอเชียและอันดับ 17 ของโลก บ้านของครอบครัวนี้ คือ ตึก Antilia ซึ่งมี 27 ชั้น แต่มีความสูงเทียบเท่าตึก 60 ชั้น  มีบริวารคอยดูแลบ้าน กว่า 600 ชีวิต
                สินค้าไฮโซที่นี่มีให้ได้เลือกสรรกำจัดเงินในประเป๋าอย่างเมามัน ตั้งแต่ รถยนต์ยี่ห้อหรูอย่างโรลส์รอยซ์ มอเตอร์ไซค์ตระกูลบิกไบค์อย่างดูคาติ สินค้าแฟชั่นอย่างแอเมส หลุยส์วิตตอง กุชชี่ มากันครบสูตรความหรูหราฟู่ฟ่า   คนรวยที่นี่รวยมาก รวยชนิดที่จินตนาการไม่ออก แต่ก็คงคล้าย ๆ คนไทยรวย ๆ น่ะแหละครับ กระเป๋าถือใบละล้านบาท (!?!?) ผู้ที่ชอบชีวิตที่หรูหรามีบ่าวไพร่รับใช้อย่างไม่ขาดก็ขอเชิญได้ครับ ค่าแรงที่นี้ถูก โดยเฉพาะแม่บ้าน คนขับรถ ส่วนคนยกของทั่ว ๆ ไป เช่น ในโรงแรม ให้ทิปกันทีก็ 10 - 30 รูปีก็แฮปปี้แล้ว (10 - 18 บาท ~ 1 รูปีอินเดียเท่ากับประมาณ 60 สตางค์) 
                สภาพสังคมที่นี่ ทุกท่านก็คงพอมีภาพของอินเดียอยู่ในใจกันบ้างแล้ว คงไม่พ้นเรื่องความแออัด สลัม กลิ่นและอะไรต่าง ๆ นานา ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก แต่เอาเข้าจริงแล้ว ... มันก็เป็นประมาณนั้นแหละครับ แต่แค่ไม่แย่อย่างที่คิดกัน เช่น เรื่องกลิ่น ในวันที่โชคเข้าข้างสักนิด คุณอาจจะไม่ต้องใช้ยาดมเลยก็ได้ (มีพี่คนไทยที่นี่แนะนำแบบ twin turbo เข้าครบสองรูนาสิก ไม่ทราบสมัยนี้ยังมีขายอยู่หรือไม่) ในขณะเดียวกันวันที่เทพีแห่งโชคชะตาเล่นตลก ยาดม twin turbo ก็ยังเอาไม่อยู่  
                คนยากจนยังมีจำนวนมหาศาลที่อพยพเข้าเมืองเพื่อหาโอกาสในการทำมาหากินแต่โอกาสไม่ได้มีมากนัก โดยเฉพาะในเมืองที่ค่าครองชีพสูงอย่างมุมไบ ทำให้ความเป็นอยู่ยิ่งแร้นแค้นมากขึ้นสำหรับคนจนเหล่านี้ มีขอทานจำนวนมาก ชุมชนแออัดอยู่คู่กับตึกสูงอย่างแยกออกไม่ได้ (เพราะคนในชุมชนแออัดจะประท้วงกันทันที ถ้ารัฐไปแตะต้องชุมชนแออัด การพัฒนาจึงทำได้ยากในประเทศที่คนรู้จักแต่ประชาธิปไตยที่เป็นไปเพื่อสิทธิและผลประโยชน์ของตนเอง แต่ขาดวินัยและความตระหนักถึงสิทธิของผู้อื่นและผลประโยชน์ส่วนรวม - คุ้น ๆ ไหมครับ สภาพแบบนี้??)
                ตกดึก ทางเท้าข้างถนนปรับกลายเป็นที่นอน (อันแสนสบาย?? - คงไม่มีทางเลือกมากกว่า น่าสงสารนะครับ) ของคนจำนวนหนึ่ง แม้จะฝนตก พื้นเฉอะแฉะ (เน่าสนิท - ถ้านึกภาพความสกปรกไม่ออก ก็เอาง่าย ๆ ครับ แบบถนนที่คนพลุกพล่านทิ้งขยะกันเกลื่อนในกรุงเทพฯ แต่ไม่มีพี่ ๆ กทม. คอยช่วยทำความสะอาด)
                ข้อดีของที่นี่ที่เห็นได้ชัด คือ คนที่นี้โดยพื้นฐานแล้วเป็นคนจิตใจดี สังเกตได้ง่าย ๆ จากสุนัขจรจัด หรือน้องหมาข้างถนนที่แปลงร่างเป็นหมูแล้วเป็นส่วนใหญ่ หรือจะเป็นน้องแมวเหมียวที่ปกปิดซี่โครงได้อย่างมิดชิดไม่มีที่ติ บางส่วนคงทำตามตำราหากินคุ้ยขยะ (จำนวนมหาศาล) ของที่นี้ แต่ภาพที่เห็นเป็นประจำคือ คนอินเดีย (ซึ่งดูไม่น่าจะเป็นผู้มีรายได้มากนัก เช่น พ่อค้าแม่ค้าขายข้าวข้างถนน หรือบริกรร้านอาหาร) เขาแบ่งอาหารให้น้อง ๆ เหล่านี้กินกันเป็นปกติ น้ำใจยังคงมีให้เห็นกันอยู่อย่างไม่ขาด ทั้ง ๆ ที่ก็อาจจะพูดได้ว่ามุมไบเป็นเมืองที่มีความเร่งรีบ ไม่ต่างจากกรุงเทพฯ สัก 10 - 15 ปีก่อน 
                นอกจากนี้ พี่ ๆ คนไทยหลายคนยังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเมืองนี้ปลอดภัย เดินเล่นตอนกลางคืนคนเดียวได้สบาย ๆ (แต่ก็ระวังตัวไว้ก่อนดีกว่าครับ อย่าไปหวังพึ่งตำรวจที่นี่ เพราะผิดหวังแน่นอน) ช่วงนี้เริ่มมีข่าวกระชากสร้อย วิธีการก็สงสัยไปเรียนรู้มาจากไทยครับ คือ มากันสองคนบนมอเตอร์ไซค์ ขี่ผ่านแล้วก็กระชาก ... จบข่าว
                ประเทศนี้มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องโรคภัย อันเนื่องมาจากสุขอนามัยที่ย่ำแย่ อาหารเป็นพิษ ท้องเสียเป็นเรื่องปกติแม้จะทานอาหารในร้านระดับดี ถ้าคุณไปทานอะไรที่เสี่ยง เช่น สลัด เพราะผักที่นี้ขึ้นชื่อว่าไม่สะอาด ยังไงก็ตาม กินที่ดูดีหน่อยก็มั่นใจได้มากกว่าทานข้างถนน ที่มีโอกาสป่วยสูงมาก โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนกับหน้าฝน ด้วยเหตุนี้ ทำให้ค่าครองชีพของคนไทยที่นี้สูงขึ้นอีก อาหารในฟู้ดคอร์ท ก็ไม่ได้ถูกเหมือนบ้านเรา โดยชุดหนึ่ง (ที่นี้คนทานข้าวกันเยอะมาก จานเดียวไม่มีพอ ต้องมาเป็นชุด) ราคาตกอยู่ประมาณ 180 บาท หรือหากเอาง่าย ๆ อย่างฟาสท์ฟู้ด เช่น แมคโดนัล หรือซับเวย์ ชุดหนึ่งก็มีสนนราคาต่ำกว่าเล็กน้อย คือ ต่ำกว่าประมาณ 40 - 50 รูปี หรือ 20 - 30 บาท

\_(~o~)_/

3 comments:

  1. This comment has been removed by the author.

    ReplyDelete
  2. comment ยากจังฮะ..

    ReplyDelete
  3. สวัสดีครับ ผมกำลังจะไปทำงานที่มุมไบเหมือนกัน ก็เลยอยากทำความรู้จักเอาไว้หน่อย จะไปทำกับบริษัท McCann Erikson ใน Parel ยังไงก็ฝากอีเมลไว้ให้ด้วยครับ เผื่อติดต่อกัน pradon@gmail.com

    ขอบคุณครับ
    เติ้ง

    ReplyDelete