Friday, 29 June 2012

แขกกับรถ

แขกขับรถ
                                มีคนเปรียบการขับรถของคนที่นี่ว่าลื่นไหลดุจสายน้ำ ลองนึกภาพน้ำไหลครับ ... (1) ไหลรวมเป็นหนึ่ง แทรกซึมเต็มพื้นที่ = ไม่มีเลนและช่องว่าง (2) น้ำไหลย่อมมีเสียง ยิ่งมวลน้ำมากเสียงยิ่งดัง แต่ไม่มีเสียงน้ำไหลแบบที่ได้ยินกันตามดนตรีที่เปิดในสปานะครับ = เสียงแตรที่จะขาดไม่ได้จากถนนที่นี่ เพราะเป็นเสมือนสัญญาณแจ้งคันหน้าว่าข้าพเจ้ามาแล้ว (คือ ที่นี้ไม่ค่อยมองกระจกมองข้างกับหลังครับ ยิ่งรถรุ่นเก่า ๆ นี่ ถอดกระจกมองข้างออกเลยจะได้ไม่เบียดกัน ไม่เกิดการเฉี่ยวชนโดยไม่จำเป็น แม้คนที่นี้จะไม่ได้เอาเป็นอารมณ์ก็ตาม เพราะเกิดเป็นประจำ รถคันไหนไม่มีรอยนี้เก่งมากครับ เพราะต้องระวังรถรอบข้างทุกทิศทาง)
                                ขยายความ “ไหลรวมเป็นหนึ่ง แทรกซึมเต็มพื้นที่” คือ คนที่นี้ขับรถด้วยความเร่งรีบครับ เห็น “ช่องว่าง” (ขอย้ำ ไม่ใช่ว่าเลนข้าง ๆ ว่างนะครับ) ไม่ได้ต้องแทรกไปให้ได้ แม้จะทำให้ขยับไปข้างหน้าได้อีกเพียงเมตร 2 เมตรก็เอาครับ ขอให้ได้เติมเต็มพื้นที่ ก็สบายใจเป็นอย่างยิ่ง และการเติมเต็มที่ว่านี้ไม่มีการแคร์นะครับว่าจะซ้ายสุด กลาง หรือขวาสุด ขอแค่มีที่ว่างครับ ส่วนรถจะไปทางไหนต่อนั้น (เช่น จะตรงแต่ซ้ายสุดมีช่องก็พุ่งไปก่อน) ค่อยไปเบียดเอาข้างหน้า โดยพร้อมจะขวางคันอื่นอย่างไม่แยแส  ไอ้การขับอย่างเร่งรีบเนี่ยครับ จะมีเฉพาะตอนที่ถนนแน่นมากไม่มีที่จะไป คือ ไม่ให้ทางใครทั้งสิ้น เร่ง-เบรก เร่ง-เบรกตลอด (และหาช่องว่าง) แต่พอถนนว่าง ๆ พี่แกขับกัน 40 - 60 กิโล/ชม. ครับ อยากจะไปขับแทนหลายทีแล้วครับ น่ารำคาญมาก
                                บางท่านอาจสงสัยว่า ช่องการจราจร (เลน) มันใหญ่มากขนาดรถแทรก ๆ ได้เลยเหรอ?? ตอบครับ ใหญ่พอดีรถบัสหนึ่งคันให้ได้เหยียบเส้นครับ แต่คนที่นี้นิยมใช้รถขนาดเล็ก ขนาดประมาณ Honda Brio เป็นส่วนใหญ่ครับ ไม่ว่าจะรถส่วนตัว หรือแทกซี่ เพราะฉะนั้น ถนน 3 เลนเนี่ย ช่วงรถติด ๆ พี่แกขับกัน 5 เลนครับ ใกล้กันเกินไปนิดก็ไขหน้าต่างลง เก็บกระจกมองข้างเอาครับ ส่วนช่วงรถว่าง ๆ มีที่ให้ได้วิ่งพี่แกก็จะขับคร่อมเลนครับ ประดุจเป็นนักว่ายน้ำ หรือพี่บางท่านบอกว่าพวกนี้เป็นนักบินโดยกำเนิดยึดเส้น centre line ตลอด แล้วก็ที่เป็นหลักฐานชัดเจนที่สุด คือ ถนนหลายสายไม่มีการตีเส้นแบ่งเลนครับ ... ไหลกันได้ตามอัธยาศัย
                                อีกอันที่ต้องเตือนทุกท่าน คือ คนขับรถที่นี้ ตาบอดสีครับ จะข้ามถนนให้มองรถเท่านั้นนะครับ สัญญาณไฟจราจรเนี่ย เอาไว้แค่ประกอบการตัดสินใจครับ เพราะคนขับรถที่นี้มีน้อยมากที่ทำตามสัญญาณไฟครับ จะมีก็แค่แยกใหญ่ ๆ ที่เห็นได้ชัดเจนว่าทำตามสัญญาณไฟกันเป็นส่วนใหญ่ และถ้าคันหน้าหยุดที่ไฟแดง แต่ถ้าทางว่างไปได้ คันหลังกดแตรไล่ครับ
                                ส่วนผม เวลาเดินก็ชิวครับ เพราะยังไงก็ต้องมีเสียงแตรอยู่แล้ว แต่ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เกือบโดนเฉี่ยวเอากระเป๋าสะพาย เพราะพี่แกกดแตรแล้วไม่มีชะลอครับ พุ่งมาเลย ระยะแค่ 3 4 เมตร หลบแถบไม่ทัน ฮาๆๆ  
                                หลักการขับรถของที่นี่คือ “ก็จะไปอ่ะ จะทำไม ก็จะหยุดอ่ะจะทำไม ก็จะทำแบบเนี่ย มีไรป่ะ” สรุปคือ อยากทำอะไรก็ทำครับ อิสระเสรี ตามระบอบประชาธิปไตยกันอย่างเต็มที่ เลนไม่ต้องมี กฎจราจรไม่ต้อง สัญญาณไฟเหมือนไฟประดับช่วงคริสต์มาส เขียว-แดง เขียว-แดงไปเรื่อย แต่ก็ยังมีข้อดีนะครับ ที่ “ยอมกัน” เช่น ในการขับเบียดกันซึ่งเกิดตลอดเวลา จะยึดเอาว่าหน้ารถใครนำ (ใครพุ่งไปได้ก่อน) คนนั้นชนะ ซึ่งถ้าเป็นบ้านเราไอ้คันที่เบียดเข้ามายังไงก็ต้องระวังและดูว่าอีกฝ่ายจะ ให้ทางหรือไม่ ที่นี่ไม่ครับ ถ้าหน้ารถที่เบียดอยู่หน้ากว่าก็ให้ไปแล้วครับ ไม่ค่อยมีการชนกันแบบนี้ แต่เฉี่ยวชนแบบเอาข้างสีกันเนี่ย ปกติครับ แขกเขายอมงอ ไม่ยอมหักครับ ซึ่งก็ดีนะครับ จะได้ไม่ต้องมาหาทางปรองดองแบบไร้อนาคตกันตอนหลัง 
                               
(-_-“)

No comments:

Post a Comment