แขกขับรถ
มีคนเปรียบการขับรถของคนที่นี่ว่าลื่นไหลดุจสายน้ำ
ลองนึกภาพน้ำไหลครับ ... (1) ไหลรวมเป็นหนึ่ง แทรกซึมเต็มพื้นที่
= ไม่มีเลนและช่องว่าง (2) น้ำไหลย่อมมีเสียง
ยิ่งมวลน้ำมากเสียงยิ่งดัง แต่ไม่มีเสียงน้ำไหลแบบที่ได้ยินกันตามดนตรีที่เปิดในสปานะครับ
= เสียงแตรที่จะขาดไม่ได้จากถนนที่นี่
เพราะเป็นเสมือนสัญญาณแจ้งคันหน้าว่าข้าพเจ้ามาแล้ว (คือ
ที่นี้ไม่ค่อยมองกระจกมองข้างกับหลังครับ ยิ่งรถรุ่นเก่า ๆ นี่ ถอดกระจกมองข้างออกเลยจะได้ไม่เบียดกัน
ไม่เกิดการเฉี่ยวชนโดยไม่จำเป็น แม้คนที่นี้จะไม่ได้เอาเป็นอารมณ์ก็ตาม
เพราะเกิดเป็นประจำ รถคันไหนไม่มีรอยนี้เก่งมากครับ เพราะต้องระวังรถรอบข้างทุกทิศทาง)
ขยายความ
“ไหลรวมเป็นหนึ่ง แทรกซึมเต็มพื้นที่” คือ คนที่นี้ขับรถด้วยความเร่งรีบครับ เห็น “ช่องว่าง”
(ขอย้ำ ไม่ใช่ว่าเลนข้าง ๆ ว่างนะครับ) ไม่ได้ต้องแทรกไปให้ได้
แม้จะทำให้ขยับไปข้างหน้าได้อีกเพียงเมตร 2 เมตรก็เอาครับ ขอให้ได้เติมเต็มพื้นที่
ก็สบายใจเป็นอย่างยิ่ง และการเติมเต็มที่ว่านี้ไม่มีการแคร์นะครับว่าจะซ้ายสุด กลาง
หรือขวาสุด ขอแค่มีที่ว่างครับ ส่วนรถจะไปทางไหนต่อนั้น (เช่น จะตรงแต่ซ้ายสุดมีช่องก็พุ่งไปก่อน)
ค่อยไปเบียดเอาข้างหน้า โดยพร้อมจะขวางคันอื่นอย่างไม่แยแส
ไอ้การขับอย่างเร่งรีบเนี่ยครับ จะมีเฉพาะตอนที่ถนนแน่นมากไม่มีที่จะไป คือ
ไม่ให้ทางใครทั้งสิ้น เร่ง-เบรก เร่ง-เบรกตลอด (และหาช่องว่าง) แต่พอถนนว่าง ๆ
พี่แกขับกัน 40 - 60 กิโล/ชม. ครับ
อยากจะไปขับแทนหลายทีแล้วครับ น่ารำคาญมาก
บางท่านอาจสงสัยว่า
ช่องการจราจร (เลน) มันใหญ่มากขนาดรถแทรก ๆ ได้เลยเหรอ?? ตอบครับ ใหญ่พอดีรถบัสหนึ่งคันให้ได้เหยียบเส้นครับ
แต่คนที่นี้นิยมใช้รถขนาดเล็ก ขนาดประมาณ Honda Brio เป็นส่วนใหญ่ครับ ไม่ว่าจะรถส่วนตัว
หรือแทกซี่ เพราะฉะนั้น ถนน 3 เลนเนี่ย ช่วงรถติด ๆ
พี่แกขับกัน 5 เลนครับ
ใกล้กันเกินไปนิดก็ไขหน้าต่างลง เก็บกระจกมองข้างเอาครับ
ส่วนช่วงรถว่าง ๆ มีที่ให้ได้วิ่งพี่แกก็จะขับคร่อมเลนครับ
ประดุจเป็นนักว่ายน้ำ
หรือพี่บางท่านบอกว่าพวกนี้เป็นนักบินโดยกำเนิดยึดเส้น
centre line ตลอด แล้วก็ที่เป็นหลักฐานชัดเจนที่สุด คือ ถนนหลายสายไม่มีการตีเส้นแบ่งเลนครับ ... ไหลกันได้ตามอัธยาศัย
อีกอันที่ต้องเตือนทุกท่าน
คือ คนขับรถที่นี้ ตาบอดสีครับ จะข้ามถนนให้มองรถเท่านั้นนะครับ สัญญาณไฟจราจรเนี่ย
เอาไว้แค่ประกอบการตัดสินใจครับ เพราะคนขับรถที่นี้มีน้อยมากที่ทำตามสัญญาณไฟครับ
จะมีก็แค่แยกใหญ่ ๆ ที่เห็นได้ชัดเจนว่าทำตามสัญญาณไฟกันเป็นส่วนใหญ่
และถ้าคันหน้าหยุดที่ไฟแดง แต่ถ้าทางว่างไปได้ คันหลังกดแตรไล่ครับ
ส่วนผม
เวลาเดินก็ชิวครับ เพราะยังไงก็ต้องมีเสียงแตรอยู่แล้ว แต่ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เกือบโดนเฉี่ยวเอากระเป๋าสะพาย
เพราะพี่แกกดแตรแล้วไม่มีชะลอครับ พุ่งมาเลย ระยะแค่ 3 4 เมตร หลบแถบไม่ทัน ฮาๆๆ
หลักการขับรถของที่นี่คือ
“ก็จะไปอ่ะ จะทำไม ก็จะหยุดอ่ะจะทำไม ก็จะทำแบบเนี่ย มีไรป่ะ” สรุปคือ
อยากทำอะไรก็ทำครับ
อิสระเสรี ตามระบอบประชาธิปไตยกันอย่างเต็มที่ เลนไม่ต้องมี กฎจราจรไม่ต้อง
สัญญาณไฟเหมือนไฟประดับช่วงคริสต์มาส
เขียว-แดง เขียว-แดงไปเรื่อย แต่ก็ยังมีข้อดีนะครับ ที่ “ยอมกัน” เช่น
ในการขับเบียดกันซึ่งเกิดตลอดเวลา
จะยึดเอาว่าหน้ารถใครนำ (ใครพุ่งไปได้ก่อน) คนนั้นชนะ
ซึ่งถ้าเป็นบ้านเราไอ้คันที่เบียดเข้ามายังไงก็ต้องระวังและดูว่าอีกฝ่ายจะ
ให้ทางหรือไม่
ที่นี่ไม่ครับ ถ้าหน้ารถที่เบียดอยู่หน้ากว่าก็ให้ไปแล้วครับ
ไม่ค่อยมีการชนกันแบบนี้ แต่เฉี่ยวชนแบบเอาข้างสีกันเนี่ย ปกติครับ
แขกเขายอมงอ ไม่ยอมหักครับ ซึ่งก็ดีนะครับ
จะได้ไม่ต้องมาหาทางปรองดองแบบไร้อนาคตกันตอนหลัง
(-_-“)
No comments:
Post a Comment