Friday, 29 June 2012

ถึงแล้วอินเดีย ...


ถึงแล้วอินเดีย ...

                                ในที่สุดเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2555 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของผมพอดี ผมก็สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่ามาถึงอินเดียแล้วแน่นอน ด้วยระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์กับอีก 4 วันเท่านั้น ... ท้องไส้ผมก็ส่งสัญญาณการถึงอินเดียอย่างแท้จริงออกมา ด้วยอาการท้องเสีย และอาการปวดเกร็งในช่องท้อง (อย่างรุนแรง ... ก็ผมว่ามันปวดมากนะ) ปวดแบบยืนตัวงอและไม่มีแรงเดินทีเดียว (ตะคริวขึ้น ปวดหลังสาหัส) แต่เช้าวันรุ่งขึ้นก็ยังฝืนสังขารไปทำงานด้วยความมึนและเพลียสุดฤทธิ์ แต่สุดท้ายตอนบ่ายก็ต้องขอลากลับมานอนบิดเพราะปวดท้องแบบสุดซึ้งอยู่ที่ห้องพัก แถมพี่ชายที่เป็นหมอยังบอกให้หยุดทานอาหารให้ทานแต่ยากับน้ำเกลือแร่อย่างน้อย 24 ชม.  ทรมานมากครับ หิวมาก ดูโทรทัศน์เห็นอาหารแล้วแบบ ... เอ่อ หายเมื่อไหร่นะ จะจัดให้หนัก
                                วันนี้ (29 มิ.ย.) ก็ไม่ได้ไปทำงานครับ เพราะท้องยังไม่เสถียร แต่ก็เหมือนจะไม่เสียแล้ว แต่ส่งเสียงประหลาดตลอดเวลาที่ผมส่งของเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นชา น้ำเปล่า ยาฆ่าเชื้ออย่างแรง (ตัวยา Ciprofloxacin) ยาผงถ่านที่เร่งปฏิกริยาดีนัก และยังมียาอินเดีย Bi-Quinol (ยาสมุนไพรที่ทำเป็นเม็ดประกอบด้วย ... ลอง google ชื่อเอาละกันนะครับ เข้าใจว่ายาออกฤทธิ์ให้หยุดถ่ายครับ เหมาะหากจำเป็นต้องเดินทาง และไม่อยากลุ้นเรื่องห้องน้ำที่นี่ จริง ๆ ไม่มีอะไรให้ลุ้นหรอกครับ) พี่ที่นี้ให้มาและกำชับว่า เอาอยู่แน่นอน เชื้ออินเดียต้องยาอินเดีย โดยผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นแค่สำหรับท้องเสียทั่ว ๆ ไป แต่นี่ปวดเกร็งในช่องท้องมาก เลยจัดยาฆ่าเชื้อซะเต็มที่ เห่อ ... หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพรุ่งนี้จะหายครับ
      
                                ได้ยินมานักต่อนักเกี่ยวกับอินเดีย เรื่องที่รู้สึกว่าทุกคนพูดกันอย่างหนาหู นอกเหนือจากเรื่องกลิ่นแล้ว ก็คงเป็นเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งอินเดียดูเหมือนจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคโบราณที่หายไปจากหลายประเทศแล้ว และเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคกลายพันธุ์ต่าง ๆ   ล่าสุดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีการพบผู้ป่วยด้วยเชื้อวัณโรคที่ดื้อยาที่ใช้รักษากันในปัจจุบันทั้งหมด โดยเชื่อว่า เชื้อเหล่านี้กลายพันธุ์เพราะความบกพร่องและบริการสาธารณสุขที่ไม่ทั่วถึงของอินเดีย เนื่องจากการขาดบุคลากร ทำให้ไม่สามารถติดตามดูแลผู้ป่วยให้ทานยาอย่างต่อเนื่องได้ อีกทั้ง ไม่สามารถเสียเวลากับคนไข้รายหนึ่งรายใดเป็นเวลานานได้ทำให้ไม่สามารถคัดแยกผู้ป่วยวัณโรคสายพันธุ์ที่เริ่มดื้อยาออกจากสายพันธุ์ปกติได้อย่างทันท่วงที ผลน่ะเหรอครับ ... ตายไปหลายแล้ว อีกอันที่น่ากลัวก็คงเป็นโรคที่มากับหนูและยุง ไม่ว่าจะมาลาเรีย เล็ปโตสไปโรซิส (ฉี่หนู) ไข้สมองอักเสบ ไข้เลือดออก ฯลฯ
                                อันดับต่อมาคงเป็นอาการท้องเสีย ซึ่งเอาจริง ๆ เราก็ไม่เคยนึกกลัว เพราะก่อนหน้าจะมาทำงานที่นี้ ผมก็เคยไปประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้มาหลายครั้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปากีสถาน เนปาล ศรีลังกา หรืออินเดียเอง ก็ไม่เคยประสบพบพานเชื้อเหล่านี้ให้ได้รำคาญใจแต่อย่างใด สรุปที่ผ่านมา ภายในเวลาปีครึ่งผมมาเยี่ยมเยียนภูมิภาคนี้ทั้งหมด 9 ครั้ง เป็นอินเดีย 2 ครั้ง ไม่เคยท้องเสียหรือแม้แต่จะปวดท้องเล็กน้อยมาก่อน ... มั่นใจครับ ธาตุแข็งแน่นอน
                                สุดท้าย ... ยกธงขาวครับ ของเขาแรงจริง ผมทานระวังมากนะครับ ยังไม่รอด ... ใครจะมาก็ระวังกันด้วยนะครับ ทานของร้อนไว้ดีที่สุดครับ ส่วนพวกสลัดหรือผักผลไม้สด (ที่ไม่ต้องปอกเปลือก) เลี่ยงดีกว่าครับ เว้นแต่จะล้างเองและมั่นใจว่าสะอาด (ใช้พวกยาล้างผัก หรือคลอรีนเม็ด) จริง ๆ จะว่าไป จังหวะจะโดนมันก็โดนแหละครับ ผมก็ทานสลัดกับผลไม้ที่โรงแรมที่พักทุกวัน ก็เพิ่งมาโดนครับ (คือ จริง ๆ ไม่รู้ว่าไปโดนอะไรมา แต่สงสัยผักผลไม้สดไว้ก่อน ซึ่งก็ทานของโรงแรมที่เดียว มื้ออื่นที่ผ่านมาของร้อนทั้งหมดครับ)
                                พี่คนไทย ๆ ที่นี้น่ารักครับ โทรศัพท์มาถามไถ่ แม่ของพี่ที่ทำงานทำข้าวต้มร้อน ๆ พร้อมกับข้าวฝากพี่ที่ทำงานมาส่งถึงโรงแรมเลยทีเดียว ซึ่งผมฝาดอย่างเมามันด้วยความหิวหลังจากอดอาหารมาเกือบ 36 ชม. ผมทราบซึ้งในความเมตตากรุณาเป็นอย่างยิ่ง ขอบคุณทุกคนอีกครั้งครับ (^/l\^) อ้อ คุณพ่อคุณแม่ผมก็โทรมาสอบถามไม่ขาดสายครับ โดยคุณพ่อบอกว่าดี จะได้ผอม ฮาๆๆ


\_(-_-")_/

No comments:

Post a Comment