Friday, 31 August 2012

อินเดียเป็นศูนย์กลางของโลก ไม่สิ ต้องจักรวาล ?!?!


หลายท่านคงเคยได้ยินว่าหลายประเทศเคยเชื่อว่า ประเทศของตนเป็นศูนย์กลางของโลก ไม่ว่าจะเป็นประเทศตะวันตก หรือตะวันออก โดยตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุดคงจะเป็นประเทศจีน ที่ตั้งชื่อประเทศในภาษาจีนมีความหมายว่า ดินแดนศูนย์กลาง (中国) ซึ่งเมื่อกาลเวลาผ่านไปประเทศเหล่านั้นก็ได้เรียนรู้ว่าไม่มีประเทศใดเป็นศูนย์กลางของโลกอย่างแท้จริง และล้วนแต่ต้องปรับตัวเพื่อก้าวไปให้ทันโลก ซึ่งในบางครั้งก็ได้มีโอกาสขึ้นมาเป็นผู้นำในเวทีโลก

แต่... สำหรับอินเดียนั้น พยานหลายปากยืนยันว่า กาลเวลาและโลกาภิวัฒน์ ไม่ได้ช่วยให้คนในประเทศแห่งนี้เข้าใจอะไรมากขึ้นเลย หากพูดแรง ๆ ก็คงหมายความว่า สื่อต่าง ๆ ในโลกความไวแสงนี้ ไม่ได้เปิดโลกทัศน์ให้กับคนที่นี้เท่าที่ควรจะเป็น คนอินเดีย (บางส่วน แต่จำนวนไม่น้อย) จึงยังเชื่อว่า ตนเองเป็นศูนย์กลางของโลก ไม่สิ คงเชื่อว่าตนเองเป็นศูนย์กลางของจักรวาลที่ยิ่งใหญ่ทีเดียว

สิ่งที่ทำให้หลายคนรู้สึกว่าอินเดียคิดว่าตัวเองเป็นศูนย์กลางของโลกนั้น ก็สืบเนื่องมาจากวิธีคิดที่แสดงออกมาของคนที่นี่ ที่บางครั้งก็น่าสนใจที่จะทำความเข้าใจเพื่อหาเหตุผลและวิธีคิดเบื้องหลังการกระทำ แต่บางครั้งก็สุดจะทน และอยากจะประเคนคำเชือดเฉือนเจ็บแสบให้สาสม แต่พอจะสรุปง่าย ๆ ว่า คือ "การไม่แคร์โลก" ซึ่งบางครั้งเข้าขั้นรุนแรง คือ อะไรที่ต่างจากอินเดีย คือ ผิด คือ ประหลาด !! ทุกอย่างต้องเป็น Indian way ไม่แคร์ใครทั้งนั้น ซึ่งจะมาพร้อมคำอธิบายแบบเอาสีข้างที่หนาเป็นพิเศษเข้าถู คำอธิบายที่พอได้ยินแล้วแบบว่า "เห้ย มันไม่ใช่แบบนั้นป่าววะ คิดได้ไงวะ"

อาการไม่แคร์โลกนี้สามารถส่งผลกระทบกับคุณ และทำให้ปวดประสาทได้อย่างไม่น่าเชื่อ มาตรฐาน มารยาท ระเบียบวินัยล้วนมลายหายสิ้น อย่าได้หวัง (ในปัจจุบัน) แต่อีกหน่อยคงจะค่อย ๆ สำเหนียกกันได้เองว่าแท้จริงแล้วอินเดียไม่ใช่ศูนย์กลางของโลก หรือจักรวาล และต้องยึดถือหลักปฏิบัติและมาตรฐานสากลในเรื่องที่เหมาะสม

ชาวอินเดียเห็นว่า ประเทศตนเ็ป็นมหาอำนาจทั้งทางการเมืองและเศรษฐกิจ และยังคงมีคำพูดติดปากที่เป็นความหวัง (ลม ๆ แล้ง ๆ) ว่าจะไล่ประเทศจีนทันใน 5-10 ปีข้างหน้า (อาจจะ้เป็นไปได้ในกรณีที่จีนเผชิญกับความถดถอยอย่างรุนแรง) แต่ดูจากวิธีคิดแบบ "ข้าคือศูนย์กลางของทุกสิ่งทุกอย่าง" แล้ว เชื่อว่าคงอีกนานครับ

ท่านที่เคยได้สัมผัสกับประเทศนี้ในแง่มุมต่าง ๆ คงเข้าใจว่าผมหมายถึงอะไร แต่ท่านที่ไม่เคยก็อยากจะขอยกตัวอย่างเล็ก ๆ น้อย ๆ และขอเชิญชวนให้มาสัมผัสด้วยตนเองครับ

ตัวอย่าง : คุณขับรถมา บรืน ๆ อ่ะ ไฟแดง จอด ๆ รถหยุดนิ่งสนิท สบาย ๆ ทันใดนั้นเอง โครม !! รถคันหลังหลงรักบั่นท้ายคุณแบบรักแรกพบเข้าแล้วและออกจะไวไฟซะด้วย คุณนั่งปลงอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะเรียกประกันและเดินลงไปคุยกับคู่กรณี ... อ่ะ ไม่ยอมคุยด้วยแฮะ ไม่คุยก็ไม่คุย ไม่เป็นไร อีกสักพัก มีบุคคลฝ่ายคู่กรณีมาเพิ่มเติม และเริ่มบทสนทนาโดยการบอกว่าเราผิด ?!?! เห้ยยยยยยยย ... HERE แล้วไง ว่าแต่คุณ (มึง) เป็นใครครับ (วะ) แล้วเอาหลักประเทศชาติไหนมาบอกว่าคนโดนชนท้ายเป็นฝ่ายผิด ?? คำอธิบายของอีกฝ่ายง่ายมากครับ คือ "คุณหยุดรถกระทันหันเกินไป เลยทำให้โดนชนท้าย และการชนยังทำให้คนฝ่ายเขาตกใจด้วย" แต่เห้ย นี่มันหยุดตามสัญญาณไฟนะครับพี่ . . . . . ปลง สรุปว่า เถียงยังไงก็ไม่ชนะ ประกันก็ไม่ได้ช่วยเหลืออะไร สุดท้ายต่างคนต่างซ่อม โดยประกันสองฝ่ายจ่ายเท่ากัน และคู่กรณียอมจ่ายส่วนต่างไม่ว่าค่าซ่อมของใครจะแพงกว่าก็ตาม (คงรู้อยู่ว่าตัวเองผิด แต่ด้วยพื้นฐานวิธีคิดข้างต้น ซึ่งบ้างครั้งก็เป็นลักษณะเอาแต่ได้ จึงได้บทสรุปเช่นนี้)

ปล. ตัวอย่างนี้ฟังมานะครับ แต่มีเรื่องลักษณะนี้อีกมากมายครับ ทั้งที่ฟังมาและประสบเอง ไว้จะกล่าวถึงต่อไปครับ

วิธีคิดของคนประเทศนี้น่าสนใจนะครับ และคงต้องมาสัมผัสถึงจะเข้าใจได้ ไม่เช่นนั้นเวลาต้องมีปฏิสัมพันธ์ด้วยอาจจะเกิดอาการปวดเศียรเวียนเกล้า ท้องอืดอาหารไม่ย่อย กลืนไม่เข้าคลายไม่ออก ท้องผูก ฯลฯ



. . . ป ล ง . . .






Sunday, 12 August 2012

หนีฝน ... ปะแท็กซี่

หนีฝน ... ปะแท็กซี่

วันนี้ 12 สิงหาคม 2555 สุขสันต์วันแม่ครับทุกคน ... รักแม่ ห่วงแม่ อย่าพึ่งพายาเสพติดนะครับ

วันนี้เป็นวันที่ผมตั้งใจอย่างแน่วแน่ว่าจะต้องขยับตัวออกจากที่พักให้ได้หลังจากดีกรีความขี้เกียจออกไปมาไหนพอกพูนมากกว่างานที่พอกหางผมอยู่ในปัจจุบัน และในที่สุดก็สำเร็จครับแม้จะอ้อยอิ่งอยู่นานสองนานทำเอาเวลาที่วางแผนจะออกจากที่พักล่าช้าเนิ่นนานออกไปถึง 1 ชม. ครึ่ง

ก่อนออกจากที่พักก็ได้ตั้งเป้าหมายว่าจะไปห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ซึ่ง Google Map บอกว่าห่างออกไป 13 ก.ม. ใช้เวลาประมาณ 20 นาทีเล็กน้อยก็จะถึง และได้โทรสอบถามพี่ ๆ ที่นี่เป็นอย่างดีว่านั่งแท็กซี่ราคาประมาณเท่าไหร่ เพื่อเอาไว้เป็นข้อมูลอ้างอิงให้เจ็บใจเล่นหากปรากฏว่าโดนแขกต้ม จริง ๆ แล้วการทราบราคาคร่าว ๆ ล่วงหน้าก็มีประโยชน์อีกอย่างครับ คือ เราจะพอกะ ๆ ได้ว่า ควรจะใกล้ถึงแล้วหรือไม่ หรือควรจะต้องเริ่มกังวลใจอย่างจริงจังและตรวจสอบว่า คนขับกับเราเข้าใจเป้าหมายของการเดินทางครั้งนี้ตรงกันหรือไม่)

แน่นอนครับ พอทราบราคาคร่าว ๆ แล้ว ขั้นตอนต่อไปคือ เลือกขึ้นรถแท็กซี่สีเหลือง-ดำ รุ่นใหม่ที่มีมิเตอร์แบบดิจิตอล จะได้เห็นราคาชัด ๆ ไม่ต้องมานั่งเทียบตาราง (ซึ่งผมก็ไม่มีอยู่กับตัว)

ผมเดินออกจากที่พัก ข้ามถนน และเดินเลาะไปตามทางเท้า หันหลังกลับมามองหาแท็กซี่เป็นระยะ เรียกไม่ทันก็ปล่อยผ่านไป แต่เดินไปได้เพียงไม่กี่เมตร ฝนก็เริ่มลงเม็ด ผมจึงหยุดยืนรอแท็กซี่ (อย่างจริงจัง) และก็ได้แท็กซี่ด้วยความรวดเร็ว จึงไม่โดนฝนจัง ๆ พอขึ้นรถได้ไม่เกิน 10 นาที ฝนก็ตกเป็นเรื่องเป็นราว คนขับที่น่ารักก็เอื้อมมาไขกระจกฝั่งคนนั่งข้างคนขับที่เปิดรับลมไว้ (เหลือง-ดำ ไม่มีแอร์ไงครับ) ให้เหลือครึ่งเดียวเพื่อไม่ให้ฝนสาดเข้ามา ผมทราบซึ้งมาก แม้จะยังมีละอองฝนพัดเข้าหน้าผมซึ่งนั่งอยู่เบาะหลังก็ตาม แต่ในพะวงความปลื้มปิติในบริการนั้น โสตประสาทก็เริ่มตื่นตัว โดยมีเหตุจากกลิ่นคละคลุ้งที่ส่งมาถึงประสาทรับกลิ่นหลังการขยับตัวของคนขับนั่นเอง แล้วก็จางหายไปเกือบหมด ผมโล่งใจขึ้นมาทันที

ขออธิบายกลิ่นครับ - เป็นประมาณกลิ่นอับ ๆ ในค่ายมวย หรือโรงยิมน่ะครับ แต่แค่มันมารวมอยู่ที่คน 1 คน ในพื้นที่เล็ก ๆ ของแทกซี่ หายใจลำบากทีเดียว

และแล้วฝนฟ้าก็เล่นตลก ตกหนักขึ้นอีก คุณคนขับที่น่ารักก็ขยับตัวอีกครั้ง พร้อมไขกระจกขึ้นอีก ... ในหัวเริ่มทำงาน "(เห้ย ... ยอมเปียก ๆ อย่าปิดหมด ขอร้อง ...)" แม้ตอนนั้น จะมีน้ำหยดจากขอบกระจกตรงที่ผมนั่งให้ได้เปียกแล้ว ผมก็ยังภาวนาให้คนขับรถเหลือตัวช่วยให้ผมบ้าง

ผมนั่งมองกระจกค่อย ๆ เลื่อนขึ้นอย่างช้า ๆ (ระบบไขนี่ครับ แถมเือื้อมมาไขจากอีกฝั่งอีกตะหาก) และแล้วกระจกก็หยุดครับ เหลือช่องว่าง 1 นิ้ว ... ส่วนฝั่งคนขับก็ 1 นิ้วเช่นกัน บรรยากาศวังเวงเริ่มครอบงำ ความอับชื้นเริ่มกระจายตัวสู่ทุกอณูอากาศในตัวรถ การหายใจทำได้อย่างยากเย็นมากขึ้นทุกที ... คือ มันแบบหายใจไม่ออกครับ ครั้นจะสูดหายใจลึก ๆ เป็นครั้งคราวก็ไม่ไหว กลืนไม่เข้าคายไม่ออก คว้านตัวช่วยในกระเป๋า (ยาดม) ดันเจอแต่ลิปมัน ไอ้ตอนคลำเจอก็ดีใจครับ นึกว่าใช่ เพราะมันทรงเดียวกัน พอหยิบออกมา ... คิดทันทีว่า "(เอามาดมแทนได้ไหมเนี่ย)" แต่สุดท้ายก็วางลงครับ ไม่อยากทำตัวน่าสมเพชเกินเหตุ แต่แล้วก็ใจชื้นขึ้นเมื่อเหลือบไปเห็นราคาค่าโดยสารที่มิเตอร์ ซึ่งตัวเลขนั้นแสดงว่า ใกล้ถึงที่หมายมาก ๆ แล้ว ซึ่งหลังจากจากนั้นไม่เกิน 5 นาที ผมก็ถึงที่หมายครับ พร้อมสูดหายใจเต็มปอดเมื่อลงจากรถ

สรุปแล้ว ถ้าฝนตก อยู่บ้านดีกว่าครับ เว้นแต่มีรถส่วนตัว

ฯ(-"-ฯ)



Saturday, 11 August 2012

ลิ้มรสมะม่วง Alphonso (อัลฟองโซ่) ราชาแห่งผลไม้ (ของอินเดีย)

ตามปกติแล้วเราจะเคยได้ยินว่า ทุเรียนคือ ราชาแห่งผลไม้ ในขณะที่มังคุดเป็นราชินี โดยผลไม้ทั้งสองประเภทเป็นสินค้าทางการเกษตรที่สำคัญของไทย และถึงแม้จะมีการปลูกในประเทศอื่น ๆ แต่ก็ไม่อร่อยเท่าของไทย เช่น ทุเรียนมาเลเซีย หรืออินโดนีเซีย แต่หลายคนคงไม่คุ้น หากถามว่า แล้วราชาแห่งผลไม้ในสายตาของชาวอินเดีย คือ อะไร ?? นึกออกไหมครับ ... คำตอบคือ มะม่วงครับ โดยมะม่วงหมายเลข 1 มีชื่อเรียกว่า มะม่วงอัลฟองโซ่ (Alphonso)

มะม่วงอัลฟองโซ่ หรือที่รู้จักกันในภาษาท้องถิ่นว่า Happus เป็นมะม่วงที่แม่ทัพเรือชาวโปรตุเกสนำเข้ามายังประเทศอินเดีย (รัฐกัว หรือ Goa) ตั้งแต่ยุคแสวงหาโลกใหม่ - ล่าอาณานิคม ซึ่งชาวพื้นเมืองได้นำไปปลูกกันอย่างแพร่หลาย

มะม่วงอัลฟองโซ่ได้รับการกล่าวขวัญให้เป็นราขาแห่งผลไม้ด้วยรสชาติหวานหอม เนื้อแน่น รับประทานตอนสุก โดยจะมีเนื้อสีเหลืองเข้ม-ส้มอ่อน แต่เปลือกจะไม่เหลืองทั้งลูกเหมือนมะม่วงสุกบ้านเราครับ

จริง ๆ แล้ว ตั้งแต่มาถึงมุมไบได้ 1 สัปดาห์ ก็ได้ยินพี่ ๆ คนไทยพูดถึงมะม่วงราชานี้อย่างหนาหู แต่ก็ได้ยินว่าหมดหน้าของมันไปแล้ว (ช่วงฤดูร้อนของอินเดีย ซึ่งคือ ประมาณ มี.ค. - พ.ค.) จึงไม่ได้คิดอะไรมาก แค่ตั้งใจว่าปีหน้าต้องได้ชิม แต่ก็หวั่น ๆ เล็กน้อย เพราะได้ยินว่าราคานั้น แสนจะน่ารังเกียจ พี่บางคนบอกว่า ตอนเข้าหน้ามะม่วงอัลฟองโซ่ใหม่ ๆ พี่เขาซื้อที่ราคาสูงถึง 1,500 รูปี (900 บาท) ต่อ 5-6 ลูก (ประมาณ 1 กิโลกรัมนิด ๆ) ใช่ครับ ขายเป็นลูก ราคาดุเดือดมาก อย่างไรก็ตาม เมื่อปลายหน้าร้อนที่ผ่านมาราคาเจ้ามะม่วงนี้ลดลงอย่างมาก เนื่องจากมะม่วงล้นตลาด oversupply) โดยราคาต่อลัง (1 ลัง มีมะม่วง 4 - 10 โหล) ตกลงถึง 2-5 เท่า จาก 5,000 - 10,000 รูปี เป็นประมาณ 1,000 - 4,000 รูปี ขึ้นกับจำนวนและเกรดของมะม่วง

เมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ได้มีโอกาสไปตลาด Crawford ซึ่งเป็นแหล่งซื้อข้าวของเครื่องใช้ภายในบ้าน เช่น ถังน้ำ ไม้กวาด ไม้ถูพื้น ทิชชู่ ผงซักฟอก ฯลฯ และเป็นแหล่งเครื่องปรุงอาหารจากไทย เช่น ซอสหอยนางรม ซีอิ้วขาว น้ำปลา ฯลฯ ตลอดจนผัก ผลไม้สด ซึ่งก็ได้เจอเจ้ามะม่วงราชานี้ตัวเป็น ๆ ด้วย จึงไม่ปล่อยให้หลุดมือ ลงทุนซื้อมาชิมที่ราคา กิโลฯ ละ 400 รูปี ใช่ครับขายเป็นกิโลฯ แล้ว ได้มาทั้งหมด 5 ลูก มีสติกเกอร์ "Best Quality" แปะไว้เรียบร้อย ส่วนขนาดเป็นดังภาพครับ ใหญ่กว่าอกร่องเราเล็กน้อย เปลือกหนา ผิวมัน เปลือกไม่เหลืองทั้งหมดแม้จะสุกแล้ว ไม่มีกลิ่นหอมมากนัก

เนื้อแน่นพอสมควร (แน่นกว่ามะม่วงทานสุกชื่อดังของไทยอย่างน้ำดอกไม้) แต่กลิ่นหมอของอัลฟองโซก็เทียบทั้งอกร่องและน้ำดอกไม้ไม่ได้ ในขณะที่รสหวานนั้น เข้มข้นกำลังดีถึงหวานมากในบางลูก แต่ก็ไม่สู้อกร่องอีกเช่นกัน เม็ดอัลฟองโซอ้วนทีเดียว หนาเกือบ 1 ใน 3 ของความหนารวมของมะม่วง

สรุปแล้ว คล้ายกับมะม่วงโชคอนันต์ / มะม่วงแก้ว (สุก) ของไทย ทั้งกลิ่น รสชาติ ความหวาน รสสัมผัส และความแน่นของเนื้อ แต่ไม่รู้ทำไมแพงนักแพงหนา

ผมเคยมีโอกาสได้ทาน honey mango ของปากีสถานตอนใต้ โดยรวมก็คล้าย ๆ โชคอนันต์ครับ แต่เปลือกบาง รสชาติหวานจัด สมชื่อมาก อร่อยครับ

อ้อ ลืมบอกไปว่า คนอินเดียทั่วไปทานมะม่วงโดยรอให้สุกจัด แล้วบีบ ๆ นวด ๆ จนเละ ก่อนกัดเปลือกที่ปลายทิ้ง และดูดน้ำมะม่วงสด ๆแต่ถ้าเป็นร้านดี ๆ หรือโรงแรม ก็จะเสิร์ฟหน้าตาเหมือนในรูปครับ ผมเลยเลียนแบบมา เพราะเคยลองปอกเปลือกแล้ว ไม่เหมาะครับ เพราะเราปอกแบบคนไทย บางที่สุดเท่าที่เป็นไปได้ แต่สุดท้ายทำให้ผิวด้านในของเปลือกยังอยู่ส่งรสขมจาง ๆ ออกมาก่อกวนรสโดยรวมของมะม่วงครับ

นอกจากนี้ แล้ว ที่อินเดียยังมีผลิตภัณฑ์แปรรูปจากมะม่วงหลายอย่าง เช่น น้ำมะม่วง เครื่องดื่มผสมมะม่วง ลูกอม ของหวาน และของทานเล่นที่ผสมเนื้อมะ่ม่วงแห้ง
 
\(^{}^)/

Friday, 10 August 2012

ว่าด้วยการอ่านมิเตอร์

ว่าด้วยการอ่านมิเตอร์

ตามที่เคยได้เล่าเรื่องการขึ้นแทกซี่ที่เมืองมุมไบไปแล้ว ยังจำได้ใช่ไหมครับ ว่ามิเตอร์แทกซี่เก่า และรถสามล้อเครื่องบางส่วนยังเป็นแบบ analog ซึ่งจะติดอยู่นอกตัวรถตำแหน่งที่ควรจะเป็นกระจกมองข้างฝั่งคนนั่งข้างคนขับ

 
เจ้ามิเตอร์แบบเก่านี้จะมีแค่ตัวเลขซึ่งจะหมุนไปเหมือนมิเตอร์น้ำประปา ซึ่งเราจะต้องแปลเป็นจำนวนเงินเอง เช่น ถ้าขึ้น 1.00 คือ 17 รูปี ไอ้ตอนแรกเราก็ไม่รู้ เห็นมิเตอร์มันวิ่ง ๆ ไป เราก็เอ๊ะ นั่งมาสักพักเพิ่งจะ 4.5 รูปีเองเหรอ (มิเตอร์ขึ้น 4.50) มันถูกขนาดนี้เหรอ เอ๊ะ หรือโชคจะไม่เข้าข้างซะแล้ว 4.5 USD O_o?!?! สุดท้ายเพิ่งมาถึงบางอ้อ ว่ามันต้องแปลงเลขมิเตอร์เป็นจำนวนเงินอีกครั้ง (สามารถดูรายละเอียดได้ที่ www.go4mumbai.com)

นอกจากนี้ พอตกดึก ราคามิเตอร์จะปรับสูงขึ้น (midnight fare) เช่น 1.00 จะเป็น 21 รูปี แต่ผมก็ไม่ทราบนะครับว่า ที่เรียกว่า ค่าบริการยามเที่ยงคืนของอินเดีย เริ่มตั้งแต่เวลาใดถึงเวลาใด แต่เคยเรียกตอนตีห้า ก็เป็นราคาปกติครับ


แทกซี่เหลือง-ดำ ทั้งสามแบบที่เห็นกันทั่วไป ซ้ายสุดคือรถเฟียตรุ่นเก่า (เหมือนรูปแรก) แล้วก็จะมีรถกึ่ง ๆ รถตู้ ขนาดประมาณรถกะป๊อ (ไม่ทราบจริง ๆ ว่าสะกดอย่างไร) บ้านเรา และอีกอันคือรุ่นใหม่สุด ซึ่งจะเป็นมิเตอร์ดิจิตอลมีราคาแสดงเรียบร้อย ไม่ต้องนั่งจ้องมิเตอร์แล้วคำนวณเองว่ามีค่าใช้จ่ายเท่าไหร่ คือ จริง ๆ คนขับก็บอกแหละครับ แต่ถ้ารู้ไว้หน่อยก็จะได้ไม่โดนแขกต้มครับ

มีอยู่ครั้งหนึ่ง จะหาแทกซี่จากที่พักเพื่อไปทำงาน (ตอนหลังมารู้ว่า มันใกล้กันทีเดียว คือ ประมาณ 2.5 ก.ม. เท่านั้น) ก็เดินออกมาเรียกห่างจากหน้าโรงแรมสัก 50 เมตร เพื่อหลีกเลี่ยงกลุ่มแทกซี่ที่รอดักลูกค้าที่เป็นแขกโรงแรม วันนั้นได้รถด้วยความไม่ยากเย็น (บางทียืนรอแล้วรอเล่า ไม่มีคันไหนยอมไป) ขึ้นรถเรียบร้อย บอกสถานที่กับคนขับ ได้รับการส่ายหน้าบอกกล่าวตามสไตล์แขกว่า "ok สบายมาก ถึงแน่" แผนที่ในกระเป๋าพร้อม วันนี้ไม่พลาดแน่นอน นั่งไปก็พยายามดูทางไป ว่าถูกทางแน่ (เริ่มพอจำทางได้เลา ๆ แล้วครับ) กวาดสายตาต่อลงมาที่มิเตอร์ ... ทันใดนั้น สมองแง่ร้ายก็เริ่มทำงาน เห้ย คุณคนขับไม่กดมิเตอร์ แล้วนั้นมันเขียนว่าอะไร "ERROR?!?!" เอ๊ะ หรือ "FOR HIRE" (ประมาณ "ว่าง" บ้านเรา) เอ่อ จะออกซ้ายหรือขวา เสียเกินราคามิเตอร์ปกติแน่นอน เห่อ ๆ ๆ พลาดจนได้

สรุปครับ ถึงที่หมาย ไม่มีหลง พอถามคนขับว่าเท่าไหร่ คุณเขาก็มองมิเตอร์แล้วเกาหัวแกรก ๆ ก่อนจะ "สบถ" ออกมาว่า 50 รูปี ... นั่นไง กะแล้ว ราคาเหมามาแล้ว (เคยนั่งไม่ถึง 30 รูปี) โดนจนได้ แต่ง่ายไปไหมครับพี่น้อง ผมตอบ "ok ok" พร้อมส่ายหัวตามแบบแขกส่งสัญญาณว่า "ไม่มีปัญหา" ก่อนจะส่งให้ 40 รูปี แล้วบอกคนขับว่า "ok I give you 40. Thank you" ก่อนจะเปิดประตูลงรถ และเดินจากไปอย่างไม่รีบร้อน คิดว่าคนขับยังงงกับลูกมึนของผมอยู่ (จริง ๆ ให้ 40 นี่ก็เยอะแล้วนะครับ tip ถึงกว่า 30% --> ตีว่าน่าจะจ่ายประมาณ 30 รูปี หากกดมิเตอร์)    แขกมึนอย่าตระหนกครับ ตั้งสติแล้วมึนกลับเนียน ๆ ครับ

2(-"-)\

Wednesday, 1 August 2012

มุมไบสีเขียวคล้ำ ๆ

มุมไบสีเขียวคล้ำ ๆ

อินเดียถือเป็นประเทศกำลังพัฒนา ซึ่งปกติแล้วประเทศในกลุ่มนี้จะมุ่งเน้นการพัฒนาเศรษฐกิจเป็นสำคัญเพื่อให้ทัดเทียมกับประเทศตะวันตก (ไทยก็เช่นกัน) โดยเทคโนโลยีที่ใช้ส่วนใหญ่ไม่มีประสิทธิภาพมากนัก จึงเป็นช่วงที่ก่อให้เกิดผลกระทบต่อทรัพยากรธรรมชาติและสิ่งแวดล้อมมากที่สุด คล้ายประเทศตะวันตกในสมัยปฏิวัติอุตสาหกรรม แต่ในปัจจุบัน กลุ่มประเทศพัฒนาแล้วได้ผลักดันเรื่องคุณค่าหรือบรรทัดฐานด้านการรักษาสิ่งแวดล้อมเพื่อชะลอ / แก้ปัญหาโลกร้อน (Global Warming) และการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศของโลก (Climate Change) ส่งผลให้ประเทศกำลัังพัฒนาต่าง ๆ ต้องให้ความสำคัญในเรื่องนี้ด้วย โดยจะมุ่งพัฒนาเศรษฐกิจอย่างเอาแต่ได้แบบชาติตะวันตก (ที่ตอนนี้เรียกตนเองว่าเป็นประเทศพัฒนาแล้ว) ในสมัยก่อนไม่ได้


ในเดือน ก.ค. 2555 ที่ผ่านมา อินเดียได้รับการจัดอันดับโดย National Geographic Society (องค์กรเอกชนที่ไม่แสวงหากำไร มีสำนักงานใหญ่อยู่ที่สหรัฐฯ คนไทยรู้จักกันดีทางช่องโทรทัศน์ National Geographic ที่นำเสนอสารคดีดี ๆ ต่าง ๆ มากมาย) ให้อยู่ 1 ใน 5 ของประเทศทั่วโลกที่ผู้บริโภคมีพฤติกรรมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมมากที่สุด ซึ่ง 5 ประเทศแรกล้วนเป็นประเทศกำลังพัฒนาทั้งสิ้น คือ  1) อินเดีย 2) จีน 3) บราซิล 4) ฮังการี และ 5) เกาหลีใต้ ในขณะที่ประเทศรั้งท้าย 5 ประเทศ ล้วนเป็นประเทศพัฒนาแล้ว คือ สหรัฐฯ แคนาดา ญี่ปุ่น ฝรั่งเศส และออสเตรเลียที่ล่างสุดของตาราง  ผลการสำรวจพบว่า ผู้บริโภคในจีน (42%) และอินเดีย (45%) ตระหนักถึงผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมจากพฤติกรรมการบริโภคของตน ซึ่งส่งผลต่อการบริโภคของตน ในขณะที่ 21% ของชาวสหรัฐฯ ไม่ใส่ใจ

หากยังจำได้ ไทยเราเคยรณรงค์เรื่องการใช้ถุงผ้าแทนถุงพลาสติก ซึ่งฮิตติดตลาดอยู่ได้พักหนึ่ง ก็เห็นจะจืดจางลงตามกาลเวลาและความทรงจำของคนไทยที่ได้ชื่อว่าลืมง่าย ตามสไตล์ไทยแห่นิยมเป็นพัก ๆ  ในช่วงนั้น ห้างสรรพสินค้า และซุปเปอร์มาร์เก็ตบางแห่งได้มีนโยบายส่งเสริมการใช้ถุงผ้าโดยการหักส่วนลดให้กับลูกค้าที่ไม่รับถุงหิ้วพลาสติกของทางห้างสรรพสินค้า แต่หากต้องการ ก็ยังมีถุงหิ้วพลาสติกไว้ให้บริการโดยไม่คิดค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมเพิ่ม (ยกเว้น Makro ซึ่งปกติไม่ได้ให้บริการถุงพลาสติกอยู่แล้ว เนื่องจากขายส่งครั้งละปริมาณมาก อย่างไรก็ตาม หากลูกค้าต้องการก็สามารถซื้อถุงหิ้วได้ที่แคชเชียร์ ซึ่งถ้าผมจำไม่ผิดจะเป็นถุงหิ้วช็อปปิ้งที่ใช้ซ้ำได้)

ในทางกลับกัน ที่เมืองมุมไบ ซุปเปอร์มาร์เก็ตส่วนใหญ่จะคิดค่าถุงหิ้วพลาสติกแยกต่างหาก แม้ราคาจะต่ำมาก คือ ประมาณ 4 รูปี (2.5 บาท) แต่ก็น่าจะทำให้คนฉุกคิดได้ทุกครั้ง 

มาหยุดคิดตรงนี้สักนิดครับ 

ที่ไทยหากทำสิ่งที่ควรทำ (ลดใช้ถุงพลาสติก) คือ ได้รางวัล (ส่วนลด) ในขณะที่ หากไม่ทำ ก็เสมอตัว
ที่อินเดียหากทำสิ่งที่ควรทำ (ลดใช้ถุงพลาสติก) คือ เสมอตัว ในขณะที่ หากไม่ทำ คือ โดนลงโทษ (เสียเงินเพิ่ม แม้จะไม่มากก็ตาม) ซึ่งประเทศจีนก็เป็นเช่นนี้

สะท้อนวิธีคิดที่แตกต่างกันมั้ยครับ ?

นอกจากนี้ สำนักงานบริหารเมืองมุมไบ (ฺBMC) ยังมีแผนจะลดหย่อนภาษีให้กับชุมชนที่มีพฤติกรรมเป็นมิตรกับสิ่งแวดล้อมและช่วยรักษาความสะอาดของพื้นที่ในชุมชน อย่างไรก็ตาม คงต้องรอความชัดเจนมากกว่านี้ ทั้งนี้ ประชาชนบางส่วนเห็นว่า BMC ควรจะทำหน้าที่ให้ดีกว่านี้ แทนที่จะผลักภาระทั้งเรื่องสิ่งแวดล้อมและความสะอาดให้กับประชาชน เช่น ประชาชนแยกขยะก่อนที่แต่ BMC กลับเอาไปเทรวมกัน เป็นต้น ในขณะที่บางส่วนก็เห็นว่าจะต้องเริ่มต้นที่ตัวเองก่อน


สภาพเมืองมุมไบปัจจุบัน ก็แบบที่เคยเล่าครับ สกปรกสุด ๆ กลิ่นไม่พึงประสงค์เตะจมูกเป็นระยะ บางแห่งก็เหม็นได้ตลอดเวลา กลิ่นคล้าย ๆ น้ำ้เน่า ผสมขยะเน่า และที่เมืองนี้หาถังขยะสาธารณะยากแสนยาก แต่หากมองดี ๆ คุณก็จะรู้ตัวว่าคุณยืนอยู่ในถังขยะอยู่แล้วนั่นเอง จึงหาไม่เจอ คนอินเดียตามที่ได้สัมผัสเห็นว่าการทิ้งขยะลงพื้นเป็นเรื่องปกติ บางทีเราจะหาที่ทิ้ง ก็จะมีคนบอกว่า ทิ้งลงพื้นสาธารณะไปเลยไม่เป็นไร (O_o) !! พอเราบอกไม่เอา ก็มาจัดการแย่งไปโยนทิ้งให้เรียบร้อย แต่เชื่อว่าอีกหน่อยคงจะดีขึ้น เพราะไทยเองก็เคยผ่านช่วงนี้มาแล้ว และในปัจจุบันก็ยังมีบางคนที่คิดแบบนี้อยู่ คือ อยากอยู่ในถังขยะต่อไป 



/(-.-"\)