Friday, 29 June 2012

ถึงแล้วอินเดีย ...


ถึงแล้วอินเดีย ...

                                ในที่สุดเมื่อวันที่ 27 มิ.ย. 2555 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของผมพอดี ผมก็สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่ามาถึงอินเดียแล้วแน่นอน ด้วยระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์กับอีก 4 วันเท่านั้น ... ท้องไส้ผมก็ส่งสัญญาณการถึงอินเดียอย่างแท้จริงออกมา ด้วยอาการท้องเสีย และอาการปวดเกร็งในช่องท้อง (อย่างรุนแรง ... ก็ผมว่ามันปวดมากนะ) ปวดแบบยืนตัวงอและไม่มีแรงเดินทีเดียว (ตะคริวขึ้น ปวดหลังสาหัส) แต่เช้าวันรุ่งขึ้นก็ยังฝืนสังขารไปทำงานด้วยความมึนและเพลียสุดฤทธิ์ แต่สุดท้ายตอนบ่ายก็ต้องขอลากลับมานอนบิดเพราะปวดท้องแบบสุดซึ้งอยู่ที่ห้องพัก แถมพี่ชายที่เป็นหมอยังบอกให้หยุดทานอาหารให้ทานแต่ยากับน้ำเกลือแร่อย่างน้อย 24 ชม.  ทรมานมากครับ หิวมาก ดูโทรทัศน์เห็นอาหารแล้วแบบ ... เอ่อ หายเมื่อไหร่นะ จะจัดให้หนัก
                                วันนี้ (29 มิ.ย.) ก็ไม่ได้ไปทำงานครับ เพราะท้องยังไม่เสถียร แต่ก็เหมือนจะไม่เสียแล้ว แต่ส่งเสียงประหลาดตลอดเวลาที่ผมส่งของเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นชา น้ำเปล่า ยาฆ่าเชื้ออย่างแรง (ตัวยา Ciprofloxacin) ยาผงถ่านที่เร่งปฏิกริยาดีนัก และยังมียาอินเดีย Bi-Quinol (ยาสมุนไพรที่ทำเป็นเม็ดประกอบด้วย ... ลอง google ชื่อเอาละกันนะครับ เข้าใจว่ายาออกฤทธิ์ให้หยุดถ่ายครับ เหมาะหากจำเป็นต้องเดินทาง และไม่อยากลุ้นเรื่องห้องน้ำที่นี่ จริง ๆ ไม่มีอะไรให้ลุ้นหรอกครับ) พี่ที่นี้ให้มาและกำชับว่า เอาอยู่แน่นอน เชื้ออินเดียต้องยาอินเดีย โดยผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นแค่สำหรับท้องเสียทั่ว ๆ ไป แต่นี่ปวดเกร็งในช่องท้องมาก เลยจัดยาฆ่าเชื้อซะเต็มที่ เห่อ ... หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพรุ่งนี้จะหายครับ
      
                                ได้ยินมานักต่อนักเกี่ยวกับอินเดีย เรื่องที่รู้สึกว่าทุกคนพูดกันอย่างหนาหู นอกเหนือจากเรื่องกลิ่นแล้ว ก็คงเป็นเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ ซึ่งอินเดียดูเหมือนจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคโบราณที่หายไปจากหลายประเทศแล้ว และเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคกลายพันธุ์ต่าง ๆ   ล่าสุดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีการพบผู้ป่วยด้วยเชื้อวัณโรคที่ดื้อยาที่ใช้รักษากันในปัจจุบันทั้งหมด โดยเชื่อว่า เชื้อเหล่านี้กลายพันธุ์เพราะความบกพร่องและบริการสาธารณสุขที่ไม่ทั่วถึงของอินเดีย เนื่องจากการขาดบุคลากร ทำให้ไม่สามารถติดตามดูแลผู้ป่วยให้ทานยาอย่างต่อเนื่องได้ อีกทั้ง ไม่สามารถเสียเวลากับคนไข้รายหนึ่งรายใดเป็นเวลานานได้ทำให้ไม่สามารถคัดแยกผู้ป่วยวัณโรคสายพันธุ์ที่เริ่มดื้อยาออกจากสายพันธุ์ปกติได้อย่างทันท่วงที ผลน่ะเหรอครับ ... ตายไปหลายแล้ว อีกอันที่น่ากลัวก็คงเป็นโรคที่มากับหนูและยุง ไม่ว่าจะมาลาเรีย เล็ปโตสไปโรซิส (ฉี่หนู) ไข้สมองอักเสบ ไข้เลือดออก ฯลฯ
                                อันดับต่อมาคงเป็นอาการท้องเสีย ซึ่งเอาจริง ๆ เราก็ไม่เคยนึกกลัว เพราะก่อนหน้าจะมาทำงานที่นี้ ผมก็เคยไปประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้มาหลายครั้งอยู่ ไม่ว่าจะเป็นปากีสถาน เนปาล ศรีลังกา หรืออินเดียเอง ก็ไม่เคยประสบพบพานเชื้อเหล่านี้ให้ได้รำคาญใจแต่อย่างใด สรุปที่ผ่านมา ภายในเวลาปีครึ่งผมมาเยี่ยมเยียนภูมิภาคนี้ทั้งหมด 9 ครั้ง เป็นอินเดีย 2 ครั้ง ไม่เคยท้องเสียหรือแม้แต่จะปวดท้องเล็กน้อยมาก่อน ... มั่นใจครับ ธาตุแข็งแน่นอน
                                สุดท้าย ... ยกธงขาวครับ ของเขาแรงจริง ผมทานระวังมากนะครับ ยังไม่รอด ... ใครจะมาก็ระวังกันด้วยนะครับ ทานของร้อนไว้ดีที่สุดครับ ส่วนพวกสลัดหรือผักผลไม้สด (ที่ไม่ต้องปอกเปลือก) เลี่ยงดีกว่าครับ เว้นแต่จะล้างเองและมั่นใจว่าสะอาด (ใช้พวกยาล้างผัก หรือคลอรีนเม็ด) จริง ๆ จะว่าไป จังหวะจะโดนมันก็โดนแหละครับ ผมก็ทานสลัดกับผลไม้ที่โรงแรมที่พักทุกวัน ก็เพิ่งมาโดนครับ (คือ จริง ๆ ไม่รู้ว่าไปโดนอะไรมา แต่สงสัยผักผลไม้สดไว้ก่อน ซึ่งก็ทานของโรงแรมที่เดียว มื้ออื่นที่ผ่านมาของร้อนทั้งหมดครับ)
                                พี่คนไทย ๆ ที่นี้น่ารักครับ โทรศัพท์มาถามไถ่ แม่ของพี่ที่ทำงานทำข้าวต้มร้อน ๆ พร้อมกับข้าวฝากพี่ที่ทำงานมาส่งถึงโรงแรมเลยทีเดียว ซึ่งผมฝาดอย่างเมามันด้วยความหิวหลังจากอดอาหารมาเกือบ 36 ชม. ผมทราบซึ้งในความเมตตากรุณาเป็นอย่างยิ่ง ขอบคุณทุกคนอีกครั้งครับ (^/l\^) อ้อ คุณพ่อคุณแม่ผมก็โทรมาสอบถามไม่ขาดสายครับ โดยคุณพ่อบอกว่าดี จะได้ผอม ฮาๆๆ


\_(-_-")_/

แขกกับรถ

แขกขับรถ
                                มีคนเปรียบการขับรถของคนที่นี่ว่าลื่นไหลดุจสายน้ำ ลองนึกภาพน้ำไหลครับ ... (1) ไหลรวมเป็นหนึ่ง แทรกซึมเต็มพื้นที่ = ไม่มีเลนและช่องว่าง (2) น้ำไหลย่อมมีเสียง ยิ่งมวลน้ำมากเสียงยิ่งดัง แต่ไม่มีเสียงน้ำไหลแบบที่ได้ยินกันตามดนตรีที่เปิดในสปานะครับ = เสียงแตรที่จะขาดไม่ได้จากถนนที่นี่ เพราะเป็นเสมือนสัญญาณแจ้งคันหน้าว่าข้าพเจ้ามาแล้ว (คือ ที่นี้ไม่ค่อยมองกระจกมองข้างกับหลังครับ ยิ่งรถรุ่นเก่า ๆ นี่ ถอดกระจกมองข้างออกเลยจะได้ไม่เบียดกัน ไม่เกิดการเฉี่ยวชนโดยไม่จำเป็น แม้คนที่นี้จะไม่ได้เอาเป็นอารมณ์ก็ตาม เพราะเกิดเป็นประจำ รถคันไหนไม่มีรอยนี้เก่งมากครับ เพราะต้องระวังรถรอบข้างทุกทิศทาง)
                                ขยายความ “ไหลรวมเป็นหนึ่ง แทรกซึมเต็มพื้นที่” คือ คนที่นี้ขับรถด้วยความเร่งรีบครับ เห็น “ช่องว่าง” (ขอย้ำ ไม่ใช่ว่าเลนข้าง ๆ ว่างนะครับ) ไม่ได้ต้องแทรกไปให้ได้ แม้จะทำให้ขยับไปข้างหน้าได้อีกเพียงเมตร 2 เมตรก็เอาครับ ขอให้ได้เติมเต็มพื้นที่ ก็สบายใจเป็นอย่างยิ่ง และการเติมเต็มที่ว่านี้ไม่มีการแคร์นะครับว่าจะซ้ายสุด กลาง หรือขวาสุด ขอแค่มีที่ว่างครับ ส่วนรถจะไปทางไหนต่อนั้น (เช่น จะตรงแต่ซ้ายสุดมีช่องก็พุ่งไปก่อน) ค่อยไปเบียดเอาข้างหน้า โดยพร้อมจะขวางคันอื่นอย่างไม่แยแส  ไอ้การขับอย่างเร่งรีบเนี่ยครับ จะมีเฉพาะตอนที่ถนนแน่นมากไม่มีที่จะไป คือ ไม่ให้ทางใครทั้งสิ้น เร่ง-เบรก เร่ง-เบรกตลอด (และหาช่องว่าง) แต่พอถนนว่าง ๆ พี่แกขับกัน 40 - 60 กิโล/ชม. ครับ อยากจะไปขับแทนหลายทีแล้วครับ น่ารำคาญมาก
                                บางท่านอาจสงสัยว่า ช่องการจราจร (เลน) มันใหญ่มากขนาดรถแทรก ๆ ได้เลยเหรอ?? ตอบครับ ใหญ่พอดีรถบัสหนึ่งคันให้ได้เหยียบเส้นครับ แต่คนที่นี้นิยมใช้รถขนาดเล็ก ขนาดประมาณ Honda Brio เป็นส่วนใหญ่ครับ ไม่ว่าจะรถส่วนตัว หรือแทกซี่ เพราะฉะนั้น ถนน 3 เลนเนี่ย ช่วงรถติด ๆ พี่แกขับกัน 5 เลนครับ ใกล้กันเกินไปนิดก็ไขหน้าต่างลง เก็บกระจกมองข้างเอาครับ ส่วนช่วงรถว่าง ๆ มีที่ให้ได้วิ่งพี่แกก็จะขับคร่อมเลนครับ ประดุจเป็นนักว่ายน้ำ หรือพี่บางท่านบอกว่าพวกนี้เป็นนักบินโดยกำเนิดยึดเส้น centre line ตลอด แล้วก็ที่เป็นหลักฐานชัดเจนที่สุด คือ ถนนหลายสายไม่มีการตีเส้นแบ่งเลนครับ ... ไหลกันได้ตามอัธยาศัย
                                อีกอันที่ต้องเตือนทุกท่าน คือ คนขับรถที่นี้ ตาบอดสีครับ จะข้ามถนนให้มองรถเท่านั้นนะครับ สัญญาณไฟจราจรเนี่ย เอาไว้แค่ประกอบการตัดสินใจครับ เพราะคนขับรถที่นี้มีน้อยมากที่ทำตามสัญญาณไฟครับ จะมีก็แค่แยกใหญ่ ๆ ที่เห็นได้ชัดเจนว่าทำตามสัญญาณไฟกันเป็นส่วนใหญ่ และถ้าคันหน้าหยุดที่ไฟแดง แต่ถ้าทางว่างไปได้ คันหลังกดแตรไล่ครับ
                                ส่วนผม เวลาเดินก็ชิวครับ เพราะยังไงก็ต้องมีเสียงแตรอยู่แล้ว แต่ก็มีอยู่ครั้งหนึ่งที่เกือบโดนเฉี่ยวเอากระเป๋าสะพาย เพราะพี่แกกดแตรแล้วไม่มีชะลอครับ พุ่งมาเลย ระยะแค่ 3 4 เมตร หลบแถบไม่ทัน ฮาๆๆ  
                                หลักการขับรถของที่นี่คือ “ก็จะไปอ่ะ จะทำไม ก็จะหยุดอ่ะจะทำไม ก็จะทำแบบเนี่ย มีไรป่ะ” สรุปคือ อยากทำอะไรก็ทำครับ อิสระเสรี ตามระบอบประชาธิปไตยกันอย่างเต็มที่ เลนไม่ต้องมี กฎจราจรไม่ต้อง สัญญาณไฟเหมือนไฟประดับช่วงคริสต์มาส เขียว-แดง เขียว-แดงไปเรื่อย แต่ก็ยังมีข้อดีนะครับ ที่ “ยอมกัน” เช่น ในการขับเบียดกันซึ่งเกิดตลอดเวลา จะยึดเอาว่าหน้ารถใครนำ (ใครพุ่งไปได้ก่อน) คนนั้นชนะ ซึ่งถ้าเป็นบ้านเราไอ้คันที่เบียดเข้ามายังไงก็ต้องระวังและดูว่าอีกฝ่ายจะ ให้ทางหรือไม่ ที่นี่ไม่ครับ ถ้าหน้ารถที่เบียดอยู่หน้ากว่าก็ให้ไปแล้วครับ ไม่ค่อยมีการชนกันแบบนี้ แต่เฉี่ยวชนแบบเอาข้างสีกันเนี่ย ปกติครับ แขกเขายอมงอ ไม่ยอมหักครับ ซึ่งก็ดีนะครับ จะได้ไม่ต้องมาหาทางปรองดองแบบไร้อนาคตกันตอนหลัง 
                               
(-_-“)

Wednesday, 27 June 2012

รูป ๆ และ รูป

ภาพประกอบ มุมไบ 101 ครับ

Gateway of India ช่วงวันหยุดจะคนแน่นมาก เหมือนมีของแจกฟรี

เห็นคนมั้ยครับ... ใช่ครับ ที่เห็นเป็นสีสันสดใสกะหัวดำ ๆ นั่นแหละครับ
อันนี้ ยังไม่นับว่าแน่นมาก เพราะถ้าแน่นมากคือไม่เห็นพื้นครับ

อันนี้ เป็น shop window ของแบรนด์ดังครับ


ท่าอากาศยานนานาชาติ Chhatrapati Shivaji เมืองมุมไบ


\(^.^\)

ขอทานเด็กหน้าใสตาดำ ๆ (แต่ทักษะเหลือร้าย)


ขอทานเด็กหน้าใสตาดำ ๆ (แต่ทักษะเหลือร้าย)

                วันเดียวกันกับที่ออกไปหาหนังสือ ขากลับเจอขอทานเด็กน้อยตาดำ ๆ เดินตามขอเงินซื้อข้าว เราก็ใช้หลักนิ่งไม่สนใจและไม่มีนโยบายให้เงินขอทานในที่ที่อาจจะมีพวกของคุณขอทานอื่น ๆ อยู่ เพราะจะกรูกันมาโดยมิได้นัดหมายและจะเรียกร้องสิทธิความเสมอภาคเท่าเทียม โดยยึดหลักว่า “มีคนได้แล้ว ตรูก็ต้องได้ด้วย” และถ้าได้น้อยกว่าก็ไม่ยอม ให้ไปแบ่งกันเองก็ไม่ได้เพราะ ไอ้คนที่รับไปไม่มีทางแบ่งครับ  และในที่สุดคนที่ลำบากคือเราเอง เพราะฉะนั้นการไม่ให้ดีที่สุด หรือถ้าทนจิตเมตตากรุณาในตัวไม่ไหวจริง ๆ ก็ให้ออกไปที่ลับตาสักหน่อย หรือที่ ๆ เรารู้ว่า หากเกิดการ “กรู” จะหลบเข้าไปที่ไหนได้อย่างปลอดภัย
                ต่อครับ ... คุณน้องแกก็เดินตามตื้อไปเรื่อย สุดท้ายเลยคิดว่าจะให้เงินไปซื้อข้าวทานซะ คุณน้องแกก็พยายามชวนเชื่อมาก บอกให้เราไปดูราคาข้าวเองเลย เราก็ เออเอา จะสักเท่าไหร่กัน อาหารข้างถนนที่นี้ มื้อหนึ่งผู้ใหญ่ทานอิ่มไม่น่าเกิน
50 รูปี (30 บาท) ก็เดินไปเรื่อย (แต่ผมไม่ออกนอกเส้นทางของผมนะ) ตอนแรกน้องเธอจะให้เลี้ยวไปอีกทาง เราก็ไม่ไป เธอเลยบอก “ok ok ทางนี้ก็มีร้าน (ทางที่เราจะไปอยู่แล้ว)”
                ไปถึง งง ครับ เอ่อ งง...สนิท คือ คุณน้องแกจะให้ซื้อข้าวสาร 5 กิโลฯ ให้แกเลยครับ ฮาๆๆ ราคา 550 รูปี มันเยอะไปไหมเนี่ยคุณน้อง เล่นทีเอาอิ่มทั้งครอบครัวไปหลายวันทีเดียว ผมก็แบบ “เอ่อ มีขนาดเล็กกว่านี้มั้ย” คุณคนขายก็แบบ “yes yes” แล้วหยิบนมผง 1 กระป๋องเล็ก ราคา 300 รูปี ส่งให้ ไอ้เราก็มึนอีก ไอ้นี่มันข้าวสารเหรอฟระ พูดกันรู้เรื่องไหมเนี่ย (เรื่องการสื่อสารมีปัญหาตลอดครับ ทำใจได้เลย อย่าคิดว่าเขาเข้าใจคุณจนกว่าจะเห็นหลักฐานกับตาครับ) คุณน้องขอทานก็ผสมโรงทันทีว่าเอานมผงก็ได้ต้องใช้ที่บ้าน เห่อ ๆๆ ไม่พอแค่นั้น คุณผู้หญิงไม่รู้มาจากไหนเดินมาผสมโรงแสดงความเอื้ออาทรต่อเพื่อนมนุษย์ชาวอินเดียทันที (เห็นมั้ยคนเขามีน้ำใจครับ ช่วยกันทำมาหากินมาก ๆ แม้จะอยู่คนละวงการ) โดยบอกประมาณว่า “ซื้อเลย น้องเขาต้องกิน ช่วยคนยากจน” แต่ผมก็ไม่เอาหรอกครับ มันเกินไปหน่อย แต่ที่ขำคือ พอคุณผู้หญิงแกพูดส่งเสริมจบ แกก็ถามต่อทันทีเลยว่า “เอาผ้าพันคอพาร์ชมีนาไหม?” ฮาๆๆๆ เลยรู้ว่าแกทำมาหากินอะไร
                สรุป ผมเดินหนีครับ อ่ะ ๆ ยังไม่จบเพราะคุณน้องขอทานยังเดินตามมาและเริ่มแสดงความเหลืออด โดยการบอกว่า “ok give me money” (ประมาณว่า ไม่ซื้อให้ก็เอาเงินมาซิฟระ เดินตามมาไกลแล้วนะ) ผมก็เลยแหย่ไปว่าจะเอาเท่าไหร่  รู้ไหมครับแกเรียกเท่าไหร่ “100” เอ่อ ตกลงขอ หรือไถฟระเนี่ย ก็เลยไม่ให้ คุณน้องสู้ราคาทันที “20” แล้วก็ “10” เลยควักให้ไป  

\_(~o~)_/

Monday, 25 June 2012

ขายของแบบอินเดีย ๆ (ที่เราไม่อยากซื้อ)


ขายของแบบอินเดีย ๆ (ที่เราไม่อยากซื้อ)
          
               อย่างที่ทราบ ๆ กันว่าแขกตื้อเก่งแค่ไหน โดยเฉพาะกลุ่มที่เดินเร่ขายของ สามารถเดินตามเราได้เป็นหลายร้อยเมตรอย่างไม่ย่อท้อ คนเหล่านี้จะมีคำที่ฟังยังไงก็ไม่เข้าใจคือ คำปฏิเสธทั้งหลาย (No.  No, I don’t want it.) พอเราพูดปุ๊บ คนขายจะปรับโหมดปิดเครื่องรับฟังไปทันที หูหนวกฉับพลัน สมองควบคุมการรับฟังหยุดทำงาน แต่จะเหลือเพียงระบบพูดที่ทำงานต่อเนื่องได้อย่างน่าอัศจรรย์
                วันก่อนไปเดินเล่นที่ Gateway of India (ดูรูป - สร้างขึ้นเพื่อเฉลิมฉลองในพระราชวโรกาสที่พระราชินีแมรี่ และพระเจ้าจอร์จที่ 5 แห่งจักรวรรดิอังกฤษเสด็จขึ้นเทียบท่าในปี 1911 สร้างเสร็จในปี 1924) ก็มีคนเดินเข้ามาขายโปสการ์ดแบบเป็นเล่มมีโปสการ์ดอยู่ราวโหลหนึ่งเห็นจะได้ เดินมาถึงเปิดเล่มแล้วก็เริ่มอธิบาย ๆๆๆ เราก็แบบ “เอ่อไม่เอา” อ่ะแต่ถ้าอยากพูด ก็เชิญพูดไป เราก็ฟัง ดีซะอีกได้ข้อมูลเพิ่มเติมว่ามีสถานที่ที่น่าสนใจที่ไหนบ้าง สักพักเลยถามราคา พอฟังคำตอบแล้วยิ้มเลยครับ 240 รูปี (ราว 150 บาท) เอ่อ... แพงไปมั้ย
                                “ไม่เอา ไม่เอา แพง”
เท่านั้นแหละ เริ่มอธิบายใหม่อีกครั้ง เราก็เริ่มเดินหนีและย้ำอีกว่า “ไม่เอา ๆ ไม่ได้อยากได้”
                                “sir, tell me what you pay. I make it cheap for you. I make things cheap in the morning”
(ตอนนั้นประมาณบ่ายโมง ไอ้เราก็ดูนาฬิกา แล้วคิดในใจว่า ... แขกตีมึนและปิดเครื่องรับแน่แล้ว ต้องสลัดให้หลุดเท่านั้น) แล้วประโยคคำพูดเดิม ๆ ก็เล่นซ้ำหลายครั้ง จนต้องข้ามถนนหนี ซึ่งคุณพี่ก็ไม่มีท่าทีจะถอดใจ เดินตามมาจนถึงเกาะกลางกว่าจะถอดใจเดินหันกลับไป ส่วนผมก็ไม่ได้มองตามหรอกครับ ออกเดินข้ามถนนต่อไป กลัวหันไปแล้วตาประสานกัน คุณพี่เขาจะเข้าใจผิดเดินมาหาอีก
                อีกวันจะเดินออกไปหาซื้อหนังสือ (หนังสือที่อินเดียถูกมากครับ) ออกจากโรงแรมไปได้หน่อยเดียว พี่แกเดินพุ่งเข้ามาเลย เริ่มด้วยคำถาม “ตัดสูทไหม?” ผมยังไม่ทันจะอ้าปากพูดคำเด็ด (NO! Thanks) พี่แกก็เริ่มสาธยายความเลิศของร้านที่จะพาไปทันที พร้อมโชว์นามบัตร เราก็แบบ “เอ่อ ไม่เอาอ่ะ ไม่ได้อยากตัดสูท” มีเหรอจะฟัง สาธยายความดีงามต่อ ไอ้เราก็เดินไปเรื่อยไม่ได้ใส่ใจ สุดท้ายคุณพี่เขาคงเห็นไม่เข้าที ปรับกลยุทธ์การขายทันที ด้วยวิธีแสนง่ายคือ เปลี่ยนสินค้าครับ คราวนี้พี่แกเล่นถามไปเรื่อยเลยว่าหาซื้ออะไรอยู่ “เอาผ้าพันคอ พาร์ชมีนา แคชเมียร์ บลา ๆ มั้ย ของที่ระลึก เครื่องประดับ อัญมณีล่ะ” พี่แกเล่นเดินผ่านร้านอะไรเอามาขายได้หมด ท่าทางน่าจะเป็นพวกจับเสือมือเปล่าคือ อาศัยพาคนเข้าร้านแล้วเก็บเงินค่าความพยายามจากเจ้าของร้าน เราก็แบบ “ไม่เอา (โว้ย เดินตามอยู่ได้)”
                ในที่สุดก็ถึงแผงหนังสือเป้าหมายที่ผมแวะมาวันก่อนแล้วฝากให้หาหนังสือไว้ให้ แผงหนังสือนี้อยู่ห่างออกไปประมาณ 2 ช่วงตึก พี่แกก็พยายามมากเดินตามไปจนถึง ยืนรอเราดูหนังสืออีก ไม่ยอมไปไหน ต้องให้โล่แกจริง ๆ คือ แกจะพาเราไป “ห้าง” ชื่อเอ็มโพเรียม ซึ่งอยู่ตรงข้ามแผงขายหนังสือบน Colaba Causeway ให้ได้ แต่สุดท้าย ผมไม่ได้หนังสือที่ต้องการก็เดินกลับ ซึ่งเป็นทางตรงข้ามกะที่แกจะให้ไป แกเลยเลิกเดินตาม (เห่อๆๆ) อ้อ ลืมเล่าไปว่าคุณพี่แผงขายหนังสือสะท้อนนิสัยความ ว้าว อินเดีย ได้อย่างดี คือ ไม่เคยปฏิเสธ (พี่ที่นี่บอกเป็นเฉพาะบางพื้นที่นะครับ ไม่ใช่ทั้งประเทศ) ฟังดูเหมือนดีนะครับ แต่ประเด็น คือ พูดแล้วทำไม่ได้เนี่ยแหละ อาศัยพลัดวันไปเรื่อย อย่างแผงเนี่ย วันเสาร์ตอนเย็น พอดีผ่านไปผมเลยไปถามหาหนังสือเล่มหนึ่ง ตอบทันทีครับว่า "มี ๆ แต่ตอนนี้ไม่มี" ดอกแรกก็มึนแล้ว 

                                  เราก็ "อ่ะ ok จะมีเมื่อไหร่"
                                  "เนี่ย 2 ทุ่ม มาเอาได้เลย เดี๋ยว I ไปเอามารอไว้ให้"
                                  "(เอ่อ ... โม้แหงๆ) ไม่เป็นไร ๆ พรุ่งนี้ละกัน"
แล้วเรื่องก็เป็นไปตามที่เล่าด้านบนครับ ก็คือยังไม่มีอยู่เหมือนเดิม แถมก่อนเดินจากแผงมา ตาคนขายยังบอกอีกว่า "you come pick up tomorrow, Monday" ความคิดแรกที่แล่นปร๊าดออกมา คือ ตลกล่ะ เห็นข้าพเจ้าว่างงานเหรอ เห่อๆ แล้วสมองก็สั่งการให้พูดออกไปทันทีว่า "OK" ฮาๆๆๆ แต่ไม่ไปหรอกครับ (สุดท้ายผมก็ไปซื้อที่ร้านหนังสือ (เมื่อกี้เป็นแผงขายหนังสือริมถนน) แพงกว่าหน่อย ต่อราคาไม่ได้ แต่สบายใจ
                นอกจากนี้ ยังมีชาวอินเดียผู้หวังดีเดินมาสอบถามความต้องการยาเสพติดอย่างไม่ขาดสาย เหตุเกิดในย่าน Colaba สินค้านำเสนอก็มีกัญชา กระท่อม และโคเคน แถมยืนยันด้วยว่า “ไม่ผิดกฎหมาย” ฮาๆๆๆ ไม่ต้องใช้ก็ขำแล้ว เพราะฉะนั้น ถ้าเจอก็หัวเราะ กล่าวสวัสดี และเดินจากไปเท่านั้นครับ ขอย้ำ *มันผิดกฎหมายนะครับ*

\_(~o~)_/

Sunday, 24 June 2012

มุมไบ 101


นี่ไงอินเดีย!! ที่มุมไบ ประเทศอินเดีย

                สวัสดีครับ ขอแนะนำตัวเล็กน้อยก่อนเล่าเรื่องที่ประสบมาในการใช้ชีวิตที่เมืองมุมไบ ประเทศอินเดีย ผมได้โอกาสมาเริ่มทำงานที่เมืองมุมไบ ตั้งแต่วันที่ 16 มิ.ย. ที่ผ่านมา (2555) ซึ่งก็คงจะอยู่ที่นี้นานพอสมควร แต่คงไม่นานมากจนเกินไป ฮาๆๆๆ
                มาเริ่มต้นกันเลยดีกว่า


บอมเบย์ มุมไบ
                เมืองนี้ชื่อเดิมคือ บอมเบย์ ซึ่งเป็นชื่อตั้งแต่สมัยอังกฤษยังปกครองอินเดียอยู่ พอได้รับเอกราช อินเดียก็เริ่มทยอยเปลี่ยนชื่อเมืองต่าง ๆ คล้ายกับเป็นสัญลักษณ์ของการเป็นเอกราช “บอมเบย์” จึงกลายเป็น “มุมไบ”     อันนี้เพื่อนชาวศรีลังกาผู้มีประสบการณ์อธิบายให้ฟังมาไม่นานมานี้
                เมืองมุมไบ ถือเป็นเมืองศูนย์กลางทางเศรษฐกิจและธุรกิจของอินเดีย (แต่ยังยากที่จะเป็นศูนย์กลางทางการเงินอย่างสิงคโปร์ตามที่ทางการอินเดียพยายามให้ข่าว เนื่องจากกฎระเบียบภายในประเทศที่ยังมีข้อจำกัดขัดขวางการทำธุรกรรมและการลงทุนในตลาดเงินของชาวต่างชาติ) เป็นเมืองท่าเรือสำคัญตั้งแต่อดีต อากาศสบาย ๆ เหมือนเมืองชายทะเลบ้านเรา แต่เหม็นกว่า เหมือนเป็นกลิ่นประจำเมืองไปแล้ว ยิ่งตอนฝนตกใหม่ ๆ นี้รัญจวนใจนัก
                ปัจจุบัน มุมไบมีตึกสูงหนาแน่นเหมือนแถบอโศก หรือสีลมบ้านเรา และยังเป็นที่อยู่ของครอบครัวนาย มูเกช อัมบานี ประธานบริษัท Reliance Industries จำกัด (ดำเนินธุรกิจพลังงาน และอสังหาริมทรัพย์) ที่ร่ำรวยเป็นอันดับ 2 ของเอเชียและอันดับ 17 ของโลก บ้านของครอบครัวนี้ คือ ตึก Antilia ซึ่งมี 27 ชั้น แต่มีความสูงเทียบเท่าตึก 60 ชั้น  มีบริวารคอยดูแลบ้าน กว่า 600 ชีวิต
                สินค้าไฮโซที่นี่มีให้ได้เลือกสรรกำจัดเงินในประเป๋าอย่างเมามัน ตั้งแต่ รถยนต์ยี่ห้อหรูอย่างโรลส์รอยซ์ มอเตอร์ไซค์ตระกูลบิกไบค์อย่างดูคาติ สินค้าแฟชั่นอย่างแอเมส หลุยส์วิตตอง กุชชี่ มากันครบสูตรความหรูหราฟู่ฟ่า   คนรวยที่นี่รวยมาก รวยชนิดที่จินตนาการไม่ออก แต่ก็คงคล้าย ๆ คนไทยรวย ๆ น่ะแหละครับ กระเป๋าถือใบละล้านบาท (!?!?) ผู้ที่ชอบชีวิตที่หรูหรามีบ่าวไพร่รับใช้อย่างไม่ขาดก็ขอเชิญได้ครับ ค่าแรงที่นี้ถูก โดยเฉพาะแม่บ้าน คนขับรถ ส่วนคนยกของทั่ว ๆ ไป เช่น ในโรงแรม ให้ทิปกันทีก็ 10 - 30 รูปีก็แฮปปี้แล้ว (10 - 18 บาท ~ 1 รูปีอินเดียเท่ากับประมาณ 60 สตางค์) 
                สภาพสังคมที่นี่ ทุกท่านก็คงพอมีภาพของอินเดียอยู่ในใจกันบ้างแล้ว คงไม่พ้นเรื่องความแออัด สลัม กลิ่นและอะไรต่าง ๆ นานา ที่ไม่ค่อยจะสู้ดีนัก แต่เอาเข้าจริงแล้ว ... มันก็เป็นประมาณนั้นแหละครับ แต่แค่ไม่แย่อย่างที่คิดกัน เช่น เรื่องกลิ่น ในวันที่โชคเข้าข้างสักนิด คุณอาจจะไม่ต้องใช้ยาดมเลยก็ได้ (มีพี่คนไทยที่นี่แนะนำแบบ twin turbo เข้าครบสองรูนาสิก ไม่ทราบสมัยนี้ยังมีขายอยู่หรือไม่) ในขณะเดียวกันวันที่เทพีแห่งโชคชะตาเล่นตลก ยาดม twin turbo ก็ยังเอาไม่อยู่  
                คนยากจนยังมีจำนวนมหาศาลที่อพยพเข้าเมืองเพื่อหาโอกาสในการทำมาหากินแต่โอกาสไม่ได้มีมากนัก โดยเฉพาะในเมืองที่ค่าครองชีพสูงอย่างมุมไบ ทำให้ความเป็นอยู่ยิ่งแร้นแค้นมากขึ้นสำหรับคนจนเหล่านี้ มีขอทานจำนวนมาก ชุมชนแออัดอยู่คู่กับตึกสูงอย่างแยกออกไม่ได้ (เพราะคนในชุมชนแออัดจะประท้วงกันทันที ถ้ารัฐไปแตะต้องชุมชนแออัด การพัฒนาจึงทำได้ยากในประเทศที่คนรู้จักแต่ประชาธิปไตยที่เป็นไปเพื่อสิทธิและผลประโยชน์ของตนเอง แต่ขาดวินัยและความตระหนักถึงสิทธิของผู้อื่นและผลประโยชน์ส่วนรวม - คุ้น ๆ ไหมครับ สภาพแบบนี้??)
                ตกดึก ทางเท้าข้างถนนปรับกลายเป็นที่นอน (อันแสนสบาย?? - คงไม่มีทางเลือกมากกว่า น่าสงสารนะครับ) ของคนจำนวนหนึ่ง แม้จะฝนตก พื้นเฉอะแฉะ (เน่าสนิท - ถ้านึกภาพความสกปรกไม่ออก ก็เอาง่าย ๆ ครับ แบบถนนที่คนพลุกพล่านทิ้งขยะกันเกลื่อนในกรุงเทพฯ แต่ไม่มีพี่ ๆ กทม. คอยช่วยทำความสะอาด)
                ข้อดีของที่นี่ที่เห็นได้ชัด คือ คนที่นี้โดยพื้นฐานแล้วเป็นคนจิตใจดี สังเกตได้ง่าย ๆ จากสุนัขจรจัด หรือน้องหมาข้างถนนที่แปลงร่างเป็นหมูแล้วเป็นส่วนใหญ่ หรือจะเป็นน้องแมวเหมียวที่ปกปิดซี่โครงได้อย่างมิดชิดไม่มีที่ติ บางส่วนคงทำตามตำราหากินคุ้ยขยะ (จำนวนมหาศาล) ของที่นี้ แต่ภาพที่เห็นเป็นประจำคือ คนอินเดีย (ซึ่งดูไม่น่าจะเป็นผู้มีรายได้มากนัก เช่น พ่อค้าแม่ค้าขายข้าวข้างถนน หรือบริกรร้านอาหาร) เขาแบ่งอาหารให้น้อง ๆ เหล่านี้กินกันเป็นปกติ น้ำใจยังคงมีให้เห็นกันอยู่อย่างไม่ขาด ทั้ง ๆ ที่ก็อาจจะพูดได้ว่ามุมไบเป็นเมืองที่มีความเร่งรีบ ไม่ต่างจากกรุงเทพฯ สัก 10 - 15 ปีก่อน 
                นอกจากนี้ พี่ ๆ คนไทยหลายคนยังพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเมืองนี้ปลอดภัย เดินเล่นตอนกลางคืนคนเดียวได้สบาย ๆ (แต่ก็ระวังตัวไว้ก่อนดีกว่าครับ อย่าไปหวังพึ่งตำรวจที่นี่ เพราะผิดหวังแน่นอน) ช่วงนี้เริ่มมีข่าวกระชากสร้อย วิธีการก็สงสัยไปเรียนรู้มาจากไทยครับ คือ มากันสองคนบนมอเตอร์ไซค์ ขี่ผ่านแล้วก็กระชาก ... จบข่าว
                ประเทศนี้มีชื่อเสียงโด่งดังเรื่องโรคภัย อันเนื่องมาจากสุขอนามัยที่ย่ำแย่ อาหารเป็นพิษ ท้องเสียเป็นเรื่องปกติแม้จะทานอาหารในร้านระดับดี ถ้าคุณไปทานอะไรที่เสี่ยง เช่น สลัด เพราะผักที่นี้ขึ้นชื่อว่าไม่สะอาด ยังไงก็ตาม กินที่ดูดีหน่อยก็มั่นใจได้มากกว่าทานข้างถนน ที่มีโอกาสป่วยสูงมาก โดยเฉพาะในช่วงหน้าร้อนกับหน้าฝน ด้วยเหตุนี้ ทำให้ค่าครองชีพของคนไทยที่นี้สูงขึ้นอีก อาหารในฟู้ดคอร์ท ก็ไม่ได้ถูกเหมือนบ้านเรา โดยชุดหนึ่ง (ที่นี้คนทานข้าวกันเยอะมาก จานเดียวไม่มีพอ ต้องมาเป็นชุด) ราคาตกอยู่ประมาณ 180 บาท หรือหากเอาง่าย ๆ อย่างฟาสท์ฟู้ด เช่น แมคโดนัล หรือซับเวย์ ชุดหนึ่งก็มีสนนราคาต่ำกว่าเล็กน้อย คือ ต่ำกว่าประมาณ 40 - 50 รูปี หรือ 20 - 30 บาท

\_(~o~)_/