ถึงแล้วอินเดีย ...
ในที่สุดเมื่อวันที่
27 มิ.ย. 2555 ซึ่งเป็นวันคล้ายวันเกิดของผมพอดี
ผมก็สามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่ามาถึงอินเดียแล้วแน่นอน ด้วยระยะเวลาเพียง 1 สัปดาห์กับอีก
4 วันเท่านั้น
... ท้องไส้ผมก็ส่งสัญญาณการถึงอินเดียอย่างแท้จริงออกมา ด้วยอาการท้องเสีย
และอาการปวดเกร็งในช่องท้อง (อย่างรุนแรง ... ก็ผมว่ามันปวดมากนะ) ปวดแบบยืนตัวงอและไม่มีแรงเดินทีเดียว (ตะคริวขึ้น ปวดหลังสาหัส)
แต่เช้าวันรุ่งขึ้นก็ยังฝืนสังขารไปทำงานด้วยความมึนและเพลียสุดฤทธิ์
แต่สุดท้ายตอนบ่ายก็ต้องขอลากลับมานอนบิดเพราะปวดท้องแบบสุดซึ้งอยู่ที่ห้องพัก แถมพี่ชายที่เป็นหมอยังบอกให้หยุดทานอาหารให้ทานแต่ยากับน้ำเกลือแร่อย่างน้อย
24 ชม. ทรมานมากครับ หิวมาก
ดูโทรทัศน์เห็นอาหารแล้วแบบ ... เอ่อ หายเมื่อไหร่นะ จะจัดให้หนัก
วันนี้ (29 มิ.ย.)
ก็ไม่ได้ไปทำงานครับ เพราะท้องยังไม่เสถียร แต่ก็เหมือนจะไม่เสียแล้ว
แต่ส่งเสียงประหลาดตลอดเวลาที่ผมส่งของเข้าไป ไม่ว่าจะเป็นชา น้ำเปล่า ยาฆ่าเชื้ออย่างแรง
(ตัวยา Ciprofloxacin) ยาผงถ่านที่เร่งปฏิกริยาดีนัก และยังมียาอินเดีย Bi-Quinol (ยาสมุนไพรที่ทำเป็นเม็ดประกอบด้วย
... ลอง google ชื่อเอาละกันนะครับ เข้าใจว่ายาออกฤทธิ์ให้หยุดถ่ายครับ เหมาะหากจำเป็นต้องเดินทาง และไม่อยากลุ้นเรื่องห้องน้ำที่นี่ จริง ๆ ไม่มีอะไรให้ลุ้นหรอกครับ) พี่ที่นี้ให้มาและกำชับว่า
เอาอยู่แน่นอน เชื้ออินเดียต้องยาอินเดีย โดยผมเข้าใจว่าน่าจะเป็นแค่สำหรับท้องเสียทั่ว
ๆ ไป แต่นี่ปวดเกร็งในช่องท้องมาก เลยจัดยาฆ่าเชื้อซะเต็มที่ เห่อ ... หวังเป็นอย่างยิ่งว่าพรุ่งนี้จะหายครับ
ได้ยินมานักต่อนักเกี่ยวกับอินเดีย
เรื่องที่รู้สึกว่าทุกคนพูดกันอย่างหนาหู นอกเหนือจากเรื่องกลิ่นแล้ว
ก็คงเป็นเรื่องโรคภัยไข้เจ็บ
ซึ่งอินเดียดูเหมือนจะเป็นแหล่งสะสมเชื้อโรคโบราณที่หายไปจากหลายประเทศแล้ว และเป็นแหล่งเพาะเชื้อโรคกลายพันธุ์ต่าง
ๆ ล่าสุดเมื่อต้นปีที่ผ่านมา มีการพบผู้ป่วยด้วยเชื้อวัณโรคที่ดื้อยาที่ใช้รักษากันในปัจจุบันทั้งหมด
โดยเชื่อว่า เชื้อเหล่านี้กลายพันธุ์เพราะความบกพร่องและบริการสาธารณสุขที่ไม่ทั่วถึงของอินเดีย
เนื่องจากการขาดบุคลากร ทำให้ไม่สามารถติดตามดูแลผู้ป่วยให้ทานยาอย่างต่อเนื่องได้
อีกทั้ง ไม่สามารถเสียเวลากับคนไข้รายหนึ่งรายใดเป็นเวลานานได้ทำให้ไม่สามารถคัดแยกผู้ป่วยวัณโรคสายพันธุ์ที่เริ่มดื้อยาออกจากสายพันธุ์ปกติได้อย่างทันท่วงที
ผลน่ะเหรอครับ ... ตายไปหลายแล้ว อีกอันที่น่ากลัวก็คงเป็นโรคที่มากับหนูและยุง
ไม่ว่าจะมาลาเรีย เล็ปโตสไปโรซิส (ฉี่หนู) ไข้สมองอักเสบ ไข้เลือดออก ฯลฯ
อันดับต่อมาคงเป็นอาการท้องเสีย
ซึ่งเอาจริง ๆ เราก็ไม่เคยนึกกลัว เพราะก่อนหน้าจะมาทำงานที่นี้ ผมก็เคยไปประเทศในภูมิภาคเอเชียใต้มาหลายครั้งอยู่
ไม่ว่าจะเป็นปากีสถาน เนปาล ศรีลังกา หรืออินเดียเอง
ก็ไม่เคยประสบพบพานเชื้อเหล่านี้ให้ได้รำคาญใจแต่อย่างใด สรุปที่ผ่านมา
ภายในเวลาปีครึ่งผมมาเยี่ยมเยียนภูมิภาคนี้ทั้งหมด 9 ครั้ง เป็นอินเดีย 2 ครั้ง
ไม่เคยท้องเสียหรือแม้แต่จะปวดท้องเล็กน้อยมาก่อน ... มั่นใจครับ ธาตุแข็งแน่นอน
สุดท้าย ...
ยกธงขาวครับ ของเขาแรงจริง ผมทานระวังมากนะครับ ยังไม่รอด ... ใครจะมาก็ระวังกันด้วยนะครับ
ทานของร้อนไว้ดีที่สุดครับ ส่วนพวกสลัดหรือผักผลไม้สด (ที่ไม่ต้องปอกเปลือก)
เลี่ยงดีกว่าครับ เว้นแต่จะล้างเองและมั่นใจว่าสะอาด (ใช้พวกยาล้างผัก
หรือคลอรีนเม็ด) จริง ๆ จะว่าไป จังหวะจะโดนมันก็โดนแหละครับ ผมก็ทานสลัดกับผลไม้ที่โรงแรมที่พักทุกวัน
ก็เพิ่งมาโดนครับ (คือ จริง ๆ ไม่รู้ว่าไปโดนอะไรมา แต่สงสัยผักผลไม้สดไว้ก่อน
ซึ่งก็ทานของโรงแรมที่เดียว มื้ออื่นที่ผ่านมาของร้อนทั้งหมดครับ)
พี่คนไทย
ๆ ที่นี้น่ารักครับ โทรศัพท์มาถามไถ่ แม่ของพี่ที่ทำงานทำข้าวต้มร้อน ๆ
พร้อมกับข้าวฝากพี่ที่ทำงานมาส่งถึงโรงแรมเลยทีเดียว ซึ่งผมฝาดอย่างเมามันด้วยความหิวหลังจากอดอาหารมาเกือบ
36 ชม. ผมทราบซึ้งในความเมตตากรุณาเป็นอย่างยิ่ง ขอบคุณทุกคนอีกครั้งครับ
(^/l\^) อ้อ คุณพ่อคุณแม่ผมก็โทรมาสอบถามไม่ขาดสายครับ โดยคุณพ่อบอกว่าดี จะได้ผอม ฮาๆๆ
\_(-_-")_/