วันนี้ตื่นแต่เช้าด้วยความตื่นเต้นปนความงก อยากจะดูหน้าตาอาหารเช้าโรงแรมที่พักสักหน่อย ... พอไหวครับ สมราคา (ค่าห้องผมคืนละ 25 USD เท่านั้น) แต่ที่แย่คือ ระบบระบายอากาศไม่ดีเอาซะเลย อาจจะเป็นระบบกระตุ้นให้ลูกค้ารีบทานรีบลุก ไม่เช่นนั้นคงจะกลิ่นเหมือนอาหารที่ทานไปทั้งวัน
8 โมงตรงคือเวลานัดหมายกับไกด์เดินเขาชาวท้องถิ่นและรถ เพื่อออกตัวไปยังสนามบินภายในประเทศ เพื่อขึ้นเครื่องไปยังเมืองลุกลา (Lukla) ประตูทางเข้าสู่หิมาลัย-เอเวอรเรสท์
เมื่อไปถึงสนามบิน ก็ได้บรรยากาศแบบสถานีขนส่งเอกมัย แต่ยังเล็กกว่าเอกมัยพอสมควร (เฉพาะส่วนอาคาร) ด่านที่ 1 การแสกนกระเป๋าสัมภาระเพื่อความปลอดภัย เจ้าหน้าที่แปะสติกเกอร์กันการเปิดกระเป๋ายัดของเพิ่มเรียบร้อย และผ่านการค้นตัว จึงผ่านเข้าอาคารมาได้
เคานเตอร์สายการบินเต็มไปด้วยผู้คนในสภาพโกลาหล หยิบตั๋วตัวเองขึ้นมาดูเห็นเพียงรหัสเที่ยวบิน CH4 เงยหน้าดูจอสถานะ ... เห้ยไม่มีนี่หว่า ความนอยเริ่มมาเยือนพร้อมคำถามมากมาย ... สายการบินชื่ออะไร ... หันซ้ายหันขวา ไม่มีวี่แววอักขระ CH ปรากฏให้เห็น ... ยังไงฟระเนี่ย แต่ก็ชิวครับ เมื่อนึกได้ว่า อ้อ ตาไกด์ท้องถิ่นต้องจัดการให้ แล้วก็เป็นไปตามนั้น คุณไกด์ นาม Raju ซึ่ง ณ จุดนั้นยังคงทำหน้า cool & calm บอกเราว่า สายการบินชื่อ Tara Air (ธารา - "น้ำ" ครับ) และให้รออยู่ตรงนี้ ก่อนฝ่าฝูงชนเข้าไปยัง counter check-in ไม่ทันได้หายคิดถึง คุณไกด์ก็เดินกลับมาบอกว่า สายการบินให้รอก่อน ประมาณว่ายังไม่ถึงคิวเชคอินของไฟลท์นี้
ขอตัดไปเล่าสถานการณ์ของเราเล็กน้อย - การเดินทางครั้งนี้เราวางแผนไปลุยหิมาลัยกัน 3 คน โดยผมและพี่อีกคนบินจากมุมไบ ส่วนน้องอีกคนบินจากกัลกัตตา นัดแนะดิบดีว่าเจอกันที่กาฐฯ 1 วัน เพื่อชมกาฐฯ ก่อนไป Lukla ปรากฏ น้องที่แสนน่ารักดันประสบเคราะห์กรรมรถเสียระหว่างทางไปสนามบิน เล่นเอาตกเครื่องซะงั้น นางจึงได้ผจญภัยต่อกรกับสายการบินแห่งชาติของอินเดียที่ไม่ให้ความช่วยเหลือใด ๆ ปัดทุกอย่างตามสไตล์ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่เจ๊งแล้วเจ๊งอีก รัฐบาลเข้าอุ้มครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ยังคงโคม่า 24 ชม./วัน 7 วัน/สัปดาห์ ยังไม่จบ นางยังซวยต่อด้วยการค้นพบความจริงที่ว่า จะมีไฟลท์ตรงที่เร็วที่สุดจากกัลกัตตาตรงไปกาฐฯ ในอีก 2 วัน ซึ่งเนิิ่นนานเกินจะรอได้ ...
หลังจากฝ่าฟันต่อสู้ออกรบอย่างทุลักทุเลแต่ด้วยสปิริตที่แรงกล้าของนาง นางก็ค้นพบว่า ทางที่เร็วที่สุดคือ ไปนิวเดลี (New Delhi) เดี๋ยวนั้น และรอไฟลท์จากนิวเดลีไปยังกาฐฯ ในเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งถ้าเป็นไปตามกำหนดการ นางก็จะถึงกาฐฯ และไปทันไฟลท์ให้หลังพวกผม 1 ชม. แต่ที่นี่อินเดียครับ นาฬิกาไม่ต่างจากกำไล ... แน่นอนครับไฟลท์ของนางดีเลย์ไปอีก 1 ชม.
ทางผมกับพี่อีกคน ทราบเรื่องนี้ในเย็นวันก่อนหน้า แต่ก็ตัดสินใจว่า เลื่อนตั๋วให้นางไปหลังพวกผม 1 ชม. และพวกผมจะไปรอที่ Lukla เพราะทราบมาว่า ช่วงนี้ฟ้าปิดและลมแรง ไม่มีไฟลท์ออกไป Lukla มา 3 วันแล้ว และช่วงนั้น ปกติหลัง 10.00 น. ก็ไม่สามารถบินไปลงที่ Lukla ได้แล้ว ใช่ครับ 10 โมงเช้า แต่ละวันจึงมีเวลาที่ทำการบินได้ประมาณ 4-5 ชม. (เที่ยวบินแรกจะออกประมาณตี 5 กว่า 6 โมง) และแต่ละเที่ยวบินจะต้องรอสัญญาณจากทาง Lukla ยืนยันว่า ฟ้ายังไม่ปิดและลมไม่แรงเกินไป เพื่อความปลอดภัยในการร่อนลง ดังนั้น จึงไปก่อนดีกว่า ไม่งั้นอาจจะไม่ได้ไปกันทั้งหมด
ตัดกลับมาที่พวกผม ซึ่งก็ยืนรอไปสักพักเริ่มทนไม่ไหว เห็นคนมาทีหลังเข้าไปเชคอิน - เปลี่่ยนไฟลท์ แต่ทำไมพวกเราจึงมายืนเอ๋อรอ เวลาก็งวดเข้าทุกที อีตาไกด์ก็นิ่งเหลือเกิน ทันใดนั้นเอง เหมือนสัมผัสได้ถึงจิตหงุดหงิด คุณไกด์ก็เดินไปถามเคาน์เตอร์เชคอินอีกครั้ง ก่อนเรียกเราไปต่อแถวรอเชคอิน แต่พอถึงคิว (จริง ๆ ก็ไม่ค่อยมีคิว คือ มันมั่วไปหมด) ปรากฏว่าเกิดการสนทนาระหว่างไกด์กับสายการบินพักหนึ่ง ก่อนที่ไกด์จะหันมาบอกเราว่า เราเชคอินไม่ได้ ไม่มีชื่อจอง ... (!@$#$!?!?!?) เราจึงได้ถอยทัพไปรออีกครั้ง ไกด์อธิบายให้เราฟังว่า ตั๋วเลื่อนหมดทุกคน ...
ความปรี๊ดพุ่งพล่านล้นทะลัก ไม่รอช้า กดโทรศัพท์ทันที ต้องการคำอธิบายจาก บ.ทัวร์ ที่จัดการเรื่องตั๋วให้ ... ได้ความว่า คนเลื่อนตั๋วอาจจะทำผิด (!@#$@%!?!??!?) เลื่อนตั๋วของทั้ง 4 คน รวมไกด์ แทนที่จะเลื่อนคนเดียว และขอเวลาตรวจสอบ ... ให้มันได้อย่างนี้ ตอนนั้นทราบข่าวพอดีว่า คุณน้องไฟลท์ดีเลย์ไปอีก 1 ชม. ตอนนั้นเลยแอบคิดว่า เออ เอา อาจจะเจอความโชคดีในความซวย อาจจะได้ไปพร้อมกัน ...
คุณไกด์เริ่มไม่ cool & calm พุ่งเข้าสำนักงานสายการบินในสนามบิน และกลับมาบอกเราว่า "มีที่ จะไปหรือไม่ ถ้าไป ไปตอนนี้เลย แต่ยูไปกัน 2 คน ไอจะรออีกคนแล้วตามไป" ... จำได้ว่า ตอนนั้นเริ่มมึนและมีความคิดผุดขึ้นมาทั้นทีว่า ถ้าตอบ yes คือต้องเสียเงินเพิ่ม หรือยังไง ทำไมคนแย่งกันไป แต่ดันมีที่ว่าง อะไร งง งง งง โว้ย แล้วไปกัน 2 คน แล้วไปถึงแล้วยังไง อะไรฟระ (แต่ตอนนั้น ก็ไม่ได้สนใจประเด็นนี้มากนัก กะว่า ถ้าต้องแยกไปก็ไป) ... ปฏิบัติการอัด บ.ทัวร์ จึงเริ่มขึ้นอีกครั้งว่า จะให้ทำยังไง เลยให้คุยกับไกด์ แล้วจัดการให้เรียบร้อย
สุดท้ายพวกผม + ไกด์ได้เชคอินเรียบร้อย จำได้ว่าจองไว้เที่ยว 09.00 น. เวลาประมาณ 09.50 ยังคงนั่งรออยู่ในรถบัสที่พาไปขึ้นเครื่อง ช่วงที่รอนี้เองที่ทำให้ทราบว่า CH4 หมายถึง เที่ยวบินเช่าเหมาลำ (chartered flight) เที่ยวที่ 4 และคุณน้อง สมาชิกคนที่ 3 ได้มาถึงเนปาลแล้ว
นี่คือ เครื่องบินแบบที่เรานั่ง มีประมาณ 13 ที่นั่ง จัดเป็น 2 แถว ๆ ละ 5 และเบาะหลังท้ายเครื่องอีก 3 ที่นั่ง คุณแอร์ก็นั่งเบาะหลังนี้ เสียงใบพัดกระหึ่มตลอดเส้นทาง สายการบินให้บริการด้วยสำลีอุดหูพร้อมท็อฟฟี่ สำลีจะมาเป็นถาด เราก็ดึง ๆ ออกมาพอใช้ สำหรับผม ไม่ใช้ครับ ไม่ใช่อะไร แค่ไม่คิดว่ามันจะดังอะไรหนักหนา ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ดังอะไรมากครับ แค่ภาวนาให้ลงเร็ว ๆ แค่นั้น เพราะกลัวหูพัง อย่าคิดจะคุยกัน เจ็บคอเปล่า ๆ
การบินเครื่องเล็กก็ตื่นเต้นเหมือนนั่งรถเมล์ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชอบ หลับได้สบาย ระยะบินประมาณครึ่ง ชม. ผมหลับเกือบตลอดทาง มาตื่นตอนจะลงพอดี ซึ่งถือว่าเป็น HIGHLIGHT เลยทีเดียว ก็นี่คือ 1 ใน 10 สนามบินที่อันตรายที่สุดในโลก runway สั้นมาก จึงต้องใช้เครื่องบินเล็กเท่านั้น เบรคช้าจูบหน้าผา
ในที่สุด เราก็มาถึง Lukla ที่ระดับความสูง 2,800 เมตรเหนื่อระดับน้ำทะเล อากาศเย็นสบายสุด ๆ
รับสัมภาระเรียบร้อย มีลูกหาบมารอรับจำนวนมากมาย ก็เป็นหน้าที่คุณไกด์อีกครั้งที่ต้องหาตัวลูกหาบของคณะเรา ... คณะเรารวม 3 คน จ้างไกด์ 1 ลูกหาบ 2 และไปแค่ Namche ภายหลังมารู้ว่า ออกจะมากไปสักเยอะเลยทีเดียว แต่ บ.ทัวร์แนะนำมาแบบนี้ ซึ่งก็สบายและครึกครื้นดี
เรามุ่งหน้าเข้าที่พักชั่วคราวเพื่อรอฟังข่าวจากนางคนที่ 3 ว่าจะมาได้หรือไม่ ข่าวที่ได้ไม่สู้ดีนัก แม้นางจะสู้จนสามารถเข้าไปรอหน้าเกทได้ตั้งแต่ขณะที่เครื่องผมยังไม่ขึ้น แต่ไฟลท์ก็ถูกเลื่อนไปออกไปเรื่อย ๆ เพราะฟ้าที่ Lukla ปิดและลมแรงมาก
ทีมที่ Lukla จึงหาอะไรทำด้วยการเดินสำรวจ Lukla แบบชิว ๆ และจบด้วยการนั่งดื่มเบียร์ Everest ชื่นชมทิวเขาฆ่าเวลาไปพลาง ๆ แต่ฆ่าไปได้สักพัก ก็เริ่มไม่มีอะไรจะฆ่าแล้ว และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนที่สูง ซึ่งอากาศบางอยู่แล้ว ก็ไม่ค่อยจะสู่ดีนัก เพราะหัวใจคุณจะต้องทำงานหนักขึ้นอีก
เราได้รับอัพเดททุกครั้งที่มีการเลื่อนไฟลท์ ซึ่งก็คือเกือบทุก ชม. รอมาได้ 2 3 ชม. ผมกับพี่อีกคนก็เริ่มปรึกษาไกด์ว่า ออกได้ช้าที่สุดกี่โมง เพราะวันนี้เราต้องเริ่มเดินแล้ว โดยจุดหมายแรกคือ Phakding อ่าน "พักดิ้ง" ไกด์ ก็อยากให้รีบไปเพราะเกรงฝนจะตกในหุบเขาที่จะต้องเดินผ่าน สรุปว่า บ่าย 3 โมง คือต้องออกเดินทาง ซึ่งนั่นก็เหลือเวลาให้ลุ้นอีกเพียง 1 ชม. ในขณะที่ ฟากกาฐฯ จะรู้ว่า ไม่มีบินในวันนั้นแน่แล้วหลัง 4 โมงเย็น
และแล้วเวลาก็มาถึง ผมตัดสินใจทิ้งอุปกรณ์ เช่น ถุงมือ ไม้ช่วยเดินเขา ผ้าปิดจมูก มีดสวิส ผ้าเช็ดตัวแบบแห้งเร็ว และเงินบางส่วนไว้ให้สมาชิกคนที่ 3 สำหรับกรณีที่สามารถไปยัง Lukla ได้ในวันนั้น นางจะได้มีอุปกรณ์ยังชีพและเงินเนปาลเพราะนางยังไม่ได้เข้าเมืองเลย เมื่อนัดแนะกับไกด์และลูกหาบเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางสู่ Phakding โดยทิ้งลูกหาบไว้ 1 คน เพื่อรอรับนาง
Lukla
ต่อตอนหน้า ... ทางสู่ Phakding ขึ้นเขาลงห้วย ชมธารน้ำนม
8 โมงตรงคือเวลานัดหมายกับไกด์เดินเขาชาวท้องถิ่นและรถ เพื่อออกตัวไปยังสนามบินภายในประเทศ เพื่อขึ้นเครื่องไปยังเมืองลุกลา (Lukla) ประตูทางเข้าสู่หิมาลัย-เอเวอรเรสท์
เมื่อไปถึงสนามบิน ก็ได้บรรยากาศแบบสถานีขนส่งเอกมัย แต่ยังเล็กกว่าเอกมัยพอสมควร (เฉพาะส่วนอาคาร) ด่านที่ 1 การแสกนกระเป๋าสัมภาระเพื่อความปลอดภัย เจ้าหน้าที่แปะสติกเกอร์กันการเปิดกระเป๋ายัดของเพิ่มเรียบร้อย และผ่านการค้นตัว จึงผ่านเข้าอาคารมาได้
เคานเตอร์สายการบินเต็มไปด้วยผู้คนในสภาพโกลาหล หยิบตั๋วตัวเองขึ้นมาดูเห็นเพียงรหัสเที่ยวบิน CH4 เงยหน้าดูจอสถานะ ... เห้ยไม่มีนี่หว่า ความนอยเริ่มมาเยือนพร้อมคำถามมากมาย ... สายการบินชื่ออะไร ... หันซ้ายหันขวา ไม่มีวี่แววอักขระ CH ปรากฏให้เห็น ... ยังไงฟระเนี่ย แต่ก็ชิวครับ เมื่อนึกได้ว่า อ้อ ตาไกด์ท้องถิ่นต้องจัดการให้ แล้วก็เป็นไปตามนั้น คุณไกด์ นาม Raju ซึ่ง ณ จุดนั้นยังคงทำหน้า cool & calm บอกเราว่า สายการบินชื่อ Tara Air (ธารา - "น้ำ" ครับ) และให้รออยู่ตรงนี้ ก่อนฝ่าฝูงชนเข้าไปยัง counter check-in ไม่ทันได้หายคิดถึง คุณไกด์ก็เดินกลับมาบอกว่า สายการบินให้รอก่อน ประมาณว่ายังไม่ถึงคิวเชคอินของไฟลท์นี้
ขอตัดไปเล่าสถานการณ์ของเราเล็กน้อย - การเดินทางครั้งนี้เราวางแผนไปลุยหิมาลัยกัน 3 คน โดยผมและพี่อีกคนบินจากมุมไบ ส่วนน้องอีกคนบินจากกัลกัตตา นัดแนะดิบดีว่าเจอกันที่กาฐฯ 1 วัน เพื่อชมกาฐฯ ก่อนไป Lukla ปรากฏ น้องที่แสนน่ารักดันประสบเคราะห์กรรมรถเสียระหว่างทางไปสนามบิน เล่นเอาตกเครื่องซะงั้น นางจึงได้ผจญภัยต่อกรกับสายการบินแห่งชาติของอินเดียที่ไม่ให้ความช่วยเหลือใด ๆ ปัดทุกอย่างตามสไตล์ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่เจ๊งแล้วเจ๊งอีก รัฐบาลเข้าอุ้มครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ยังคงโคม่า 24 ชม./วัน 7 วัน/สัปดาห์ ยังไม่จบ นางยังซวยต่อด้วยการค้นพบความจริงที่ว่า จะมีไฟลท์ตรงที่เร็วที่สุดจากกัลกัตตาตรงไปกาฐฯ ในอีก 2 วัน ซึ่งเนิิ่นนานเกินจะรอได้ ...
หลังจากฝ่าฟันต่อสู้ออกรบอย่างทุลักทุเลแต่ด้วยสปิริตที่แรงกล้าของนาง นางก็ค้นพบว่า ทางที่เร็วที่สุดคือ ไปนิวเดลี (New Delhi) เดี๋ยวนั้น และรอไฟลท์จากนิวเดลีไปยังกาฐฯ ในเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งถ้าเป็นไปตามกำหนดการ นางก็จะถึงกาฐฯ และไปทันไฟลท์ให้หลังพวกผม 1 ชม. แต่ที่นี่อินเดียครับ นาฬิกาไม่ต่างจากกำไล ... แน่นอนครับไฟลท์ของนางดีเลย์ไปอีก 1 ชม.
ทางผมกับพี่อีกคน ทราบเรื่องนี้ในเย็นวันก่อนหน้า แต่ก็ตัดสินใจว่า เลื่อนตั๋วให้นางไปหลังพวกผม 1 ชม. และพวกผมจะไปรอที่ Lukla เพราะทราบมาว่า ช่วงนี้ฟ้าปิดและลมแรง ไม่มีไฟลท์ออกไป Lukla มา 3 วันแล้ว และช่วงนั้น ปกติหลัง 10.00 น. ก็ไม่สามารถบินไปลงที่ Lukla ได้แล้ว ใช่ครับ 10 โมงเช้า แต่ละวันจึงมีเวลาที่ทำการบินได้ประมาณ 4-5 ชม. (เที่ยวบินแรกจะออกประมาณตี 5 กว่า 6 โมง) และแต่ละเที่ยวบินจะต้องรอสัญญาณจากทาง Lukla ยืนยันว่า ฟ้ายังไม่ปิดและลมไม่แรงเกินไป เพื่อความปลอดภัยในการร่อนลง ดังนั้น จึงไปก่อนดีกว่า ไม่งั้นอาจจะไม่ได้ไปกันทั้งหมด
ตัดกลับมาที่พวกผม ซึ่งก็ยืนรอไปสักพักเริ่มทนไม่ไหว เห็นคนมาทีหลังเข้าไปเชคอิน - เปลี่่ยนไฟลท์ แต่ทำไมพวกเราจึงมายืนเอ๋อรอ เวลาก็งวดเข้าทุกที อีตาไกด์ก็นิ่งเหลือเกิน ทันใดนั้นเอง เหมือนสัมผัสได้ถึงจิตหงุดหงิด คุณไกด์ก็เดินไปถามเคาน์เตอร์เชคอินอีกครั้ง ก่อนเรียกเราไปต่อแถวรอเชคอิน แต่พอถึงคิว (จริง ๆ ก็ไม่ค่อยมีคิว คือ มันมั่วไปหมด) ปรากฏว่าเกิดการสนทนาระหว่างไกด์กับสายการบินพักหนึ่ง ก่อนที่ไกด์จะหันมาบอกเราว่า เราเชคอินไม่ได้ ไม่มีชื่อจอง ... (!@$#$!?!?!?) เราจึงได้ถอยทัพไปรออีกครั้ง ไกด์อธิบายให้เราฟังว่า ตั๋วเลื่อนหมดทุกคน ...
ความปรี๊ดพุ่งพล่านล้นทะลัก ไม่รอช้า กดโทรศัพท์ทันที ต้องการคำอธิบายจาก บ.ทัวร์ ที่จัดการเรื่องตั๋วให้ ... ได้ความว่า คนเลื่อนตั๋วอาจจะทำผิด (!@#$@%!?!??!?) เลื่อนตั๋วของทั้ง 4 คน รวมไกด์ แทนที่จะเลื่อนคนเดียว และขอเวลาตรวจสอบ ... ให้มันได้อย่างนี้ ตอนนั้นทราบข่าวพอดีว่า คุณน้องไฟลท์ดีเลย์ไปอีก 1 ชม. ตอนนั้นเลยแอบคิดว่า เออ เอา อาจจะเจอความโชคดีในความซวย อาจจะได้ไปพร้อมกัน ...
คุณไกด์เริ่มไม่ cool & calm พุ่งเข้าสำนักงานสายการบินในสนามบิน และกลับมาบอกเราว่า "มีที่ จะไปหรือไม่ ถ้าไป ไปตอนนี้เลย แต่ยูไปกัน 2 คน ไอจะรออีกคนแล้วตามไป" ... จำได้ว่า ตอนนั้นเริ่มมึนและมีความคิดผุดขึ้นมาทั้นทีว่า ถ้าตอบ yes คือต้องเสียเงินเพิ่ม หรือยังไง ทำไมคนแย่งกันไป แต่ดันมีที่ว่าง อะไร งง งง งง โว้ย แล้วไปกัน 2 คน แล้วไปถึงแล้วยังไง อะไรฟระ (แต่ตอนนั้น ก็ไม่ได้สนใจประเด็นนี้มากนัก กะว่า ถ้าต้องแยกไปก็ไป) ... ปฏิบัติการอัด บ.ทัวร์ จึงเริ่มขึ้นอีกครั้งว่า จะให้ทำยังไง เลยให้คุยกับไกด์ แล้วจัดการให้เรียบร้อย
สุดท้ายพวกผม + ไกด์ได้เชคอินเรียบร้อย จำได้ว่าจองไว้เที่ยว 09.00 น. เวลาประมาณ 09.50 ยังคงนั่งรออยู่ในรถบัสที่พาไปขึ้นเครื่อง ช่วงที่รอนี้เองที่ทำให้ทราบว่า CH4 หมายถึง เที่ยวบินเช่าเหมาลำ (chartered flight) เที่ยวที่ 4 และคุณน้อง สมาชิกคนที่ 3 ได้มาถึงเนปาลแล้ว
นี่คือ เครื่องบินแบบที่เรานั่ง มีประมาณ 13 ที่นั่ง จัดเป็น 2 แถว ๆ ละ 5 และเบาะหลังท้ายเครื่องอีก 3 ที่นั่ง คุณแอร์ก็นั่งเบาะหลังนี้ เสียงใบพัดกระหึ่มตลอดเส้นทาง สายการบินให้บริการด้วยสำลีอุดหูพร้อมท็อฟฟี่ สำลีจะมาเป็นถาด เราก็ดึง ๆ ออกมาพอใช้ สำหรับผม ไม่ใช้ครับ ไม่ใช่อะไร แค่ไม่คิดว่ามันจะดังอะไรหนักหนา ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ดังอะไรมากครับ แค่ภาวนาให้ลงเร็ว ๆ แค่นั้น เพราะกลัวหูพัง อย่าคิดจะคุยกัน เจ็บคอเปล่า ๆ
สภาพภายในห้องโดยสาร |
การบินเครื่องเล็กก็ตื่นเต้นเหมือนนั่งรถเมล์ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชอบ หลับได้สบาย ระยะบินประมาณครึ่ง ชม. ผมหลับเกือบตลอดทาง มาตื่นตอนจะลงพอดี ซึ่งถือว่าเป็น HIGHLIGHT เลยทีเดียว ก็นี่คือ 1 ใน 10 สนามบินที่อันตรายที่สุดในโลก runway สั้นมาก จึงต้องใช้เครื่องบินเล็กเท่านั้น เบรคช้าจูบหน้าผา
![]() |
Lukla Airfield เครื่องบินที่จะร่อนลงจะมาจากทางปลายฝั่งไกล ถ้าเบรคไม่ทันก็จะปักเข้าหน้าผาที่ผมยืนอยู่ ส่วนเวลาจะขึ้้น ก็จะเริ่มจากฝั่งเลข 24 ถ้ายกหัวไม่ทัน ก็ลงเหวครับ |
ในที่สุด เราก็มาถึง Lukla ที่ระดับความสูง 2,800 เมตรเหนื่อระดับน้ำทะเล อากาศเย็นสบายสุด ๆ
รับสัมภาระเรียบร้อย มีลูกหาบมารอรับจำนวนมากมาย ก็เป็นหน้าที่คุณไกด์อีกครั้งที่ต้องหาตัวลูกหาบของคณะเรา ... คณะเรารวม 3 คน จ้างไกด์ 1 ลูกหาบ 2 และไปแค่ Namche ภายหลังมารู้ว่า ออกจะมากไปสักเยอะเลยทีเดียว แต่ บ.ทัวร์แนะนำมาแบบนี้ ซึ่งก็สบายและครึกครื้นดี
เรามุ่งหน้าเข้าที่พักชั่วคราวเพื่อรอฟังข่าวจากนางคนที่ 3 ว่าจะมาได้หรือไม่ ข่าวที่ได้ไม่สู้ดีนัก แม้นางจะสู้จนสามารถเข้าไปรอหน้าเกทได้ตั้งแต่ขณะที่เครื่องผมยังไม่ขึ้น แต่ไฟลท์ก็ถูกเลื่อนไปออกไปเรื่อย ๆ เพราะฟ้าที่ Lukla ปิดและลมแรงมาก
ทีมที่ Lukla จึงหาอะไรทำด้วยการเดินสำรวจ Lukla แบบชิว ๆ และจบด้วยการนั่งดื่มเบียร์ Everest ชื่นชมทิวเขาฆ่าเวลาไปพลาง ๆ แต่ฆ่าไปได้สักพัก ก็เริ่มไม่มีอะไรจะฆ่าแล้ว และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนที่สูง ซึ่งอากาศบางอยู่แล้ว ก็ไม่ค่อยจะสู่ดีนัก เพราะหัวใจคุณจะต้องทำงานหนักขึ้นอีก
เราได้รับอัพเดททุกครั้งที่มีการเลื่อนไฟลท์ ซึ่งก็คือเกือบทุก ชม. รอมาได้ 2 3 ชม. ผมกับพี่อีกคนก็เริ่มปรึกษาไกด์ว่า ออกได้ช้าที่สุดกี่โมง เพราะวันนี้เราต้องเริ่มเดินแล้ว โดยจุดหมายแรกคือ Phakding อ่าน "พักดิ้ง" ไกด์ ก็อยากให้รีบไปเพราะเกรงฝนจะตกในหุบเขาที่จะต้องเดินผ่าน สรุปว่า บ่าย 3 โมง คือต้องออกเดินทาง ซึ่งนั่นก็เหลือเวลาให้ลุ้นอีกเพียง 1 ชม. ในขณะที่ ฟากกาฐฯ จะรู้ว่า ไม่มีบินในวันนั้นแน่แล้วหลัง 4 โมงเย็น
และแล้วเวลาก็มาถึง ผมตัดสินใจทิ้งอุปกรณ์ เช่น ถุงมือ ไม้ช่วยเดินเขา ผ้าปิดจมูก มีดสวิส ผ้าเช็ดตัวแบบแห้งเร็ว และเงินบางส่วนไว้ให้สมาชิกคนที่ 3 สำหรับกรณีที่สามารถไปยัง Lukla ได้ในวันนั้น นางจะได้มีอุปกรณ์ยังชีพและเงินเนปาลเพราะนางยังไม่ได้เข้าเมืองเลย เมื่อนัดแนะกับไกด์และลูกหาบเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางสู่ Phakding โดยทิ้งลูกหาบไว้ 1 คน เพื่อรอรับนาง
Lukla
![]() |
ที่พักและร้านอาหาร (อันนี้ เดินผ่านเห็นสีสวยน่ารักดีเลยถ่ายไว้) |
![]() |
cafe อาหารแบบ continental snacks ซึ่งเป็นแบบนี้เป็นส่วนใหญ่ |
![]() |
ตลาดลุกลาขายอุปกรณ์เดินเขา ซึ่งราคาย่อมสูงกว่า กาฐฯ |
![]() |
เครื่องลงใหม่ ๆ ยังเห็นยอดเขาสีขาวโพลน แต่ผ่านไปพักเดียว เมฆบังมิดแล้ว ปล. ยอดที่ถูกบังนี้ไม่ใช่ Everest นะครับ |
ต่อตอนหน้า ... ทางสู่ Phakding ขึ้นเขาลงห้วย ชมธารน้ำนม
(/-= _ =)/