Monday, 22 September 2014

หนีเที่ยวเนปาล - (ตอนที่ 3) เหิรเวหาสู่ Lukla จุดเริ่มต้นเส้นทางสู่เอเวอเรสท์ (Everest Trek)

วันนี้ตื่นแต่เช้าด้วยความตื่นเต้นปนความงก อยากจะดูหน้าตาอาหารเช้าโรงแรมที่พักสักหน่อย ... พอไหวครับ สมราคา (ค่าห้องผมคืนละ 25 USD เท่านั้น) แต่ที่แย่คือ ระบบระบายอากาศไม่ดีเอาซะเลย อาจจะเป็นระบบกระตุ้นให้ลูกค้ารีบทานรีบลุก ไม่เช่นนั้นคงจะกลิ่นเหมือนอาหารที่ทานไปทั้งวัน

8 โมงตรงคือเวลานัดหมายกับไกด์เดินเขาชาวท้องถิ่นและรถ เพื่อออกตัวไปยังสนามบินภายในประเทศ เพื่อขึ้นเครื่องไปยังเมืองลุกลา (Lukla) ประตูทางเข้าสู่หิมาลัย-เอเวอรเรสท์

เมื่อไปถึงสนามบิน ก็ได้บรรยากาศแบบสถานีขนส่งเอกมัย แต่ยังเล็กกว่าเอกมัยพอสมควร (เฉพาะส่วนอาคาร) ด่านที่ 1 การแสกนกระเป๋าสัมภาระเพื่อความปลอดภัย เจ้าหน้าที่แปะสติกเกอร์กันการเปิดกระเป๋ายัดของเพิ่มเรียบร้อย และผ่านการค้นตัว จึงผ่านเข้าอาคารมาได้

เคานเตอร์สายการบินเต็มไปด้วยผู้คนในสภาพโกลาหล หยิบตั๋วตัวเองขึ้นมาดูเห็นเพียงรหัสเที่ยวบิน CH4 เงยหน้าดูจอสถานะ ... เห้ยไม่มีนี่หว่า ความนอยเริ่มมาเยือนพร้อมคำถามมากมาย ... สายการบินชื่ออะไร ... หันซ้ายหันขวา ไม่มีวี่แววอักขระ CH ปรากฏให้เห็น ... ยังไงฟระเนี่ย แต่ก็ชิวครับ เมื่อนึกได้ว่า อ้อ ตาไกด์ท้องถิ่นต้องจัดการให้ แล้วก็เป็นไปตามนั้น คุณไกด์ นาม Raju ซึ่ง ณ จุดนั้นยังคงทำหน้า cool & calm บอกเราว่า สายการบินชื่อ Tara Air (ธารา - "น้ำ" ครับ) และให้รออยู่ตรงนี้ ก่อนฝ่าฝูงชนเข้าไปยัง counter check-in ไม่ทันได้หายคิดถึง คุณไกด์ก็เดินกลับมาบอกว่า สายการบินให้รอก่อน ประมาณว่ายังไม่ถึงคิวเชคอินของไฟลท์นี้ 

ขอตัดไปเล่าสถานการณ์ของเราเล็กน้อย - การเดินทางครั้งนี้เราวางแผนไปลุยหิมาลัยกัน 3 คน โดยผมและพี่อีกคนบินจากมุมไบ ส่วนน้องอีกคนบินจากกัลกัตตา นัดแนะดิบดีว่าเจอกันที่กาฐฯ 1 วัน เพื่อชมกาฐฯ ก่อนไป Lukla ปรากฏ น้องที่แสนน่ารักดันประสบเคราะห์กรรมรถเสียระหว่างทางไปสนามบิน เล่นเอาตกเครื่องซะงั้น นางจึงได้ผจญภัยต่อกรกับสายการบินแห่งชาติของอินเดียที่ไม่ให้ความช่วยเหลือใด ๆ ปัดทุกอย่างตามสไตล์ ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจที่เจ๊งแล้วเจ๊งอีก รัฐบาลเข้าอุ้มครั้งแล้วครั้งเล่า ก็ยังคงโคม่า 24 ชม./วัน 7 วัน/สัปดาห์ ยังไม่จบ นางยังซวยต่อด้วยการค้นพบความจริงที่ว่า จะมีไฟลท์ตรงที่เร็วที่สุดจากกัลกัตตาตรงไปกาฐฯ ในอีก 2 วัน ซึ่งเนิิ่นนานเกินจะรอได้ ...

หลังจากฝ่าฟันต่อสู้ออกรบอย่างทุลักทุเลแต่ด้วยสปิริตที่แรงกล้าของนาง นางก็ค้นพบว่า ทางที่เร็วที่สุดคือ ไปนิวเดลี (New Delhi) เดี๋ยวนั้น และรอไฟลท์จากนิวเดลีไปยังกาฐฯ ในเช้าวันรุ่งขึ้น ซึ่งถ้าเป็นไปตามกำหนดการ นางก็จะถึงกาฐฯ และไปทันไฟลท์ให้หลังพวกผม 1 ชม. แต่ที่นี่อินเดียครับ นาฬิกาไม่ต่างจากกำไล ... แน่นอนครับไฟลท์ของนางดีเลย์ไปอีก 1 ชม.

ทางผมกับพี่อีกคน ทราบเรื่องนี้ในเย็นวันก่อนหน้า แต่ก็ตัดสินใจว่า เลื่อนตั๋วให้นางไปหลังพวกผม 1 ชม. และพวกผมจะไปรอที่ Lukla เพราะทราบมาว่า ช่วงนี้ฟ้าปิดและลมแรง ไม่มีไฟลท์ออกไป Lukla มา 3 วันแล้ว และช่วงนั้น ปกติหลัง 10.00 น. ก็ไม่สามารถบินไปลงที่ Lukla ได้แล้ว ใช่ครับ 10 โมงเช้า แต่ละวันจึงมีเวลาที่ทำการบินได้ประมาณ 4-5 ชม. (เที่ยวบินแรกจะออกประมาณตี 5 กว่า 6 โมง) และแต่ละเที่ยวบินจะต้องรอสัญญาณจากทาง Lukla ยืนยันว่า ฟ้ายังไม่ปิดและลมไม่แรงเกินไป เพื่อความปลอดภัยในการร่อนลง ดังนั้น จึงไปก่อนดีกว่า ไม่งั้นอาจจะไม่ได้ไปกันทั้งหมด

ตัดกลับมาที่พวกผม ซึ่งก็ยืนรอไปสักพักเริ่มทนไม่ไหว เห็นคนมาทีหลังเข้าไปเชคอิน - เปลี่่ยนไฟลท์ แต่ทำไมพวกเราจึงมายืนเอ๋อรอ เวลาก็งวดเข้าทุกที อีตาไกด์ก็นิ่งเหลือเกิน ทันใดนั้นเอง เหมือนสัมผัสได้ถึงจิตหงุดหงิด คุณไกด์ก็เดินไปถามเคาน์เตอร์เชคอินอีกครั้ง ก่อนเรียกเราไปต่อแถวรอเชคอิน แต่พอถึงคิว (จริง ๆ ก็ไม่ค่อยมีคิว คือ มันมั่วไปหมด) ปรากฏว่าเกิดการสนทนาระหว่างไกด์กับสายการบินพักหนึ่ง ก่อนที่ไกด์จะหันมาบอกเราว่า เราเชคอินไม่ได้ ไม่มีชื่อจอง ... (!@$#$!?!?!?) เราจึงได้ถอยทัพไปรออีกครั้ง ไกด์อธิบายให้เราฟังว่า ตั๋วเลื่อนหมดทุกคน ...

ความปรี๊ดพุ่งพล่านล้นทะลัก ไม่รอช้า กดโทรศัพท์ทันที ต้องการคำอธิบายจาก บ.ทัวร์ ที่จัดการเรื่องตั๋วให้ ... ได้ความว่า คนเลื่อนตั๋วอาจจะทำผิด (!@#$@%!?!??!?) เลื่อนตั๋วของทั้ง 4 คน รวมไกด์ แทนที่จะเลื่อนคนเดียว และขอเวลาตรวจสอบ ... ให้มันได้อย่างนี้ ตอนนั้นทราบข่าวพอดีว่า คุณน้องไฟลท์ดีเลย์ไปอีก 1 ชม. ตอนนั้นเลยแอบคิดว่า เออ เอา อาจจะเจอความโชคดีในความซวย อาจจะได้ไปพร้อมกัน ...

คุณไกด์เริ่มไม่ cool & calm พุ่งเข้าสำนักงานสายการบินในสนามบิน และกลับมาบอกเราว่า "มีที่ จะไปหรือไม่ ถ้าไป ไปตอนนี้เลย แต่ยูไปกัน 2 คน ไอจะรออีกคนแล้วตามไป" ... จำได้ว่า ตอนนั้นเริ่มมึนและมีความคิดผุดขึ้นมาทั้นทีว่า ถ้าตอบ yes คือต้องเสียเงินเพิ่ม หรือยังไง ทำไมคนแย่งกันไป แต่ดันมีที่ว่าง อะไร งง งง งง โว้ย แล้วไปกัน 2 คน แล้วไปถึงแล้วยังไง อะไรฟระ (แต่ตอนนั้น ก็ไม่ได้สนใจประเด็นนี้มากนัก กะว่า ถ้าต้องแยกไปก็ไป) ... ปฏิบัติการอัด บ.ทัวร์ จึงเริ่มขึ้นอีกครั้งว่า จะให้ทำยังไง เลยให้คุยกับไกด์ แล้วจัดการให้เรียบร้อย

สุดท้ายพวกผม + ไกด์ได้เชคอินเรียบร้อย จำได้ว่าจองไว้เที่ยว 09.00 น. เวลาประมาณ 09.50 ยังคงนั่งรออยู่ในรถบัสที่พาไปขึ้นเครื่อง ช่วงที่รอนี้เองที่ทำให้ทราบว่า CH4 หมายถึง เที่ยวบินเช่าเหมาลำ (chartered flight) เที่ยวที่ 4 และคุณน้อง สมาชิกคนที่ 3 ได้มาถึงเนปาลแล้ว

นี่คือ เครื่องบินแบบที่เรานั่ง มีประมาณ 13 ที่นั่ง จัดเป็น 2 แถว ๆ ละ 5 และเบาะหลังท้ายเครื่องอีก 3 ที่นั่ง คุณแอร์ก็นั่งเบาะหลังนี้ เสียงใบพัดกระหึ่มตลอดเส้นทาง สายการบินให้บริการด้วยสำลีอุดหูพร้อมท็อฟฟี่ สำลีจะมาเป็นถาด เราก็ดึง ๆ ออกมาพอใช้ สำหรับผม ไม่ใช้ครับ ไม่ใช่อะไร แค่ไม่คิดว่ามันจะดังอะไรหนักหนา ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ดังอะไรมากครับ แค่ภาวนาให้ลงเร็ว ๆ แค่นั้น เพราะกลัวหูพัง อย่าคิดจะคุยกัน เจ็บคอเปล่า ๆ
สภาพภายในห้องโดยสาร



การบินเครื่องเล็กก็ตื่นเต้นเหมือนนั่งรถเมล์ในกรุงเทพฯ ซึ่งเป็นสิ่งที่ผมชอบ หลับได้สบาย ระยะบินประมาณครึ่ง ชม. ผมหลับเกือบตลอดทาง มาตื่นตอนจะลงพอดี ซึ่งถือว่าเป็น HIGHLIGHT เลยทีเดียว ก็นี่คือ 1 ใน 10 สนามบินที่อันตรายที่สุดในโลก runway สั้นมาก จึงต้องใช้เครื่องบินเล็กเท่านั้น เบรคช้าจูบหน้าผา


Lukla Airfield เครื่องบินที่จะร่อนลงจะมาจากทางปลายฝั่งไกล
ถ้าเบรคไม่ทันก็จะปักเข้าหน้าผาที่ผมยืนอยู่ ส่วนเวลาจะขึ้้น
ก็จะเริ่มจากฝั่งเลข 24 ถ้ายกหัวไม่ทัน ก็ลงเหวครับ

ในที่สุด เราก็มาถึง Lukla ที่ระดับความสูง 2,800 เมตรเหนื่อระดับน้ำทะเล อากาศเย็นสบายสุด ๆ

รับสัมภาระเรียบร้อย มีลูกหาบมารอรับจำนวนมากมาย ก็เป็นหน้าที่คุณไกด์อีกครั้งที่ต้องหาตัวลูกหาบของคณะเรา ... คณะเรารวม 3 คน จ้างไกด์ 1 ลูกหาบ 2 และไปแค่ Namche ภายหลังมารู้ว่า ออกจะมากไปสักเยอะเลยทีเดียว แต่ บ.ทัวร์แนะนำมาแบบนี้ ซึ่งก็สบายและครึกครื้นดี

เรามุ่งหน้าเข้าที่พักชั่วคราวเพื่อรอฟังข่าวจากนางคนที่ 3 ว่าจะมาได้หรือไม่ ข่าวที่ได้ไม่สู้ดีนัก แม้นางจะสู้จนสามารถเข้าไปรอหน้าเกทได้ตั้งแต่ขณะที่เครื่องผมยังไม่ขึ้น แต่ไฟลท์ก็ถูกเลื่อนไปออกไปเรื่อย ๆ เพราะฟ้าที่ Lukla ปิดและลมแรงมาก

ทีมที่ Lukla จึงหาอะไรทำด้วยการเดินสำรวจ Lukla แบบชิว ๆ และจบด้วยการนั่งดื่มเบียร์ Everest ชื่นชมทิวเขาฆ่าเวลาไปพลาง ๆ แต่ฆ่าไปได้สักพัก ก็เริ่มไม่มีอะไรจะฆ่าแล้ว และการดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์บนที่สูง ซึ่งอากาศบางอยู่แล้ว ก็ไม่ค่อยจะสู่ดีนัก เพราะหัวใจคุณจะต้องทำงานหนักขึ้นอีก


เราได้รับอัพเดททุกครั้งที่มีการเลื่อนไฟลท์ ซึ่งก็คือเกือบทุก ชม. รอมาได้ 2 3 ชม. ผมกับพี่อีกคนก็เริ่มปรึกษาไกด์ว่า ออกได้ช้าที่สุดกี่โมง เพราะวันนี้เราต้องเริ่มเดินแล้ว โดยจุดหมายแรกคือ Phakding อ่าน "พักดิ้ง" ไกด์ ก็อยากให้รีบไปเพราะเกรงฝนจะตกในหุบเขาที่จะต้องเดินผ่าน สรุปว่า บ่าย 3 โมง คือต้องออกเดินทาง ซึ่งนั่นก็เหลือเวลาให้ลุ้นอีกเพียง 1 ชม. ในขณะที่ ฟากกาฐฯ จะรู้ว่า ไม่มีบินในวันนั้นแน่แล้วหลัง 4 โมงเย็น

และแล้วเวลาก็มาถึง ผมตัดสินใจทิ้งอุปกรณ์ เช่น ถุงมือ ไม้ช่วยเดินเขา ผ้าปิดจมูก มีดสวิส ผ้าเช็ดตัวแบบแห้งเร็ว และเงินบางส่วนไว้ให้สมาชิกคนที่ 3 สำหรับกรณีที่สามารถไปยัง Lukla ได้ในวันนั้น นางจะได้มีอุปกรณ์ยังชีพและเงินเนปาลเพราะนางยังไม่ได้เข้าเมืองเลย เมื่อนัดแนะกับไกด์และลูกหาบเรียบร้อย เราก็ออกเดินทางสู่ Phakding โดยทิ้งลูกหาบไว้ 1 คน เพื่อรอรับนาง

Lukla

ที่พักและร้านอาหาร (อันนี้ เดินผ่านเห็นสีสวยน่ารักดีเลยถ่ายไว้)

cafe อาหารแบบ continental snacks ซึ่งเป็นแบบนี้เป็นส่วนใหญ่

ตลาดลุกลาขายอุปกรณ์เดินเขา ซึ่งราคาย่อมสูงกว่า กาฐฯ

เครื่องลงใหม่ ๆ ยังเห็นยอดเขาสีขาวโพลน แต่ผ่านไปพักเดียว เมฆบังมิดแล้ว
ปล. ยอดที่ถูกบังนี้ไม่ใช่ Everest นะครับ
 

ต่อตอนหน้า ... ทางสู่ Phakding ขึ้นเขาลงห้วย ชมธารน้ำนม



(/-= _ =)/





Monday, 21 April 2014

หนีเที่ยวเนปาล - (ตอนที่ 2) กาฐมาณฑุ ... ทั้งวันทั้งคืน

ทะยานออกจากที่พักตอนนั้น ก็บ่ายโมงกว่าแล้วเห็นจะได้ ก่อนจะไปชมเมือง จึงพุ่งไปสวาปามอาหารญี่ปุ่นที่ร้าน Koto ตามคำแนะนำร้านอร่อยที่ได้ยินมาจากคนไทยที่อยู่ที่กาฐฯ

อาหารญี่ปุ่นอร่อย ๆ ราคาสมเหตุผล นับว่าเป็นอะไรที่หายากมากในมุมไบ ส่วนใหญ่ที่มีก็มักจะราคาสูง รสชาติก็ใช่ว่าจะดีแท้ซะทีเดียว บางร้านได้ยินว่าเทพมาก แต่สนนราคาค่าความอร่อยก็ถีบทะยานตามมาเป็นเงา ประมาณว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยตกหัวละเกือบ 7 พัน - 1 หมื่นบาท ต่อมื้อเลยทีเดียว

มาเจอร้าน Koto ครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสในการบรรเทาความ (อด) อยากอาหารญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี
บรรยากาศภายในร้าน ดูสบาย ๆ และสะอาดสะอ้าน

บรรยากาศร้านที่สะอาดสะอ้านสบายตา คือ อยู่เมืองแขกมานาน บอกได้เลยว่า เหมือนหลุดมาอีกโลกหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าเนปาลจะดีขนาดนี้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านตัวโตทางตอนใต้

นอกจากนั้น ยังไม่มีเสียงดังบ้าบอให้ปวดประสาทหู ไม่มีกลิ่นประหลาด 3 ประการ (1) กลิ่นขยะ (2) กลิ่นคาวแบบสะพานปลา/ตลาดสด และ (3) กลิ่นสาบคน มาบั่นทอนความอยากอาหารและสร้างความหงุดหงิดใจ แบบในมุมไบ ที่คุณไม่สามารถเลี่ยงกลิ่น 1 ใน 3 นี้ได้ จริง ๆ แล้ว เจอกลิ่นเดียวนับว่าโชคดี

อาหารก็หน้าตาสวยงาม ส่วนรสชาติก็ยากจะติ เป็นรสชาติที่ถูกปากคนไทย (คือ ออกหวานสักนิด) กับราคาที่หาไม่ได้ในมุมไบ ... บอกได้แค่ว่าแค่มื้อแรกก็หลงรักกาฐฯ เข้าอย่างจัง

เป็นความรู้สึกปลาบปลื้มที่ยากจะบรรยาย อาจจะเว่อไปหน่อย
> สุกี้เนื้อ > เท็มปุระอุด้ง > คัตสึด้ง > มิโซะ
ถ้าจะบอกว่าเหมือนได้ดื่มโค้กกลางทะเลทรายร้อนระอุ แต่ก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ครับ อาหารญี่ปุ่นครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นที่กรุงเทพฯ เมื่อต้นเดือน ธ.ค. ปีที่แล้วที่ได้มีโอกาสกลับกรุงเทพฯ

สั่งอาหารอย่างเมามันด้วยความอดอยากอาหารญี่ปุ่น โดยเน้นหนักที่กุ้งเทมปุระซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของร้านนี้ ตามด้วยออเดิฟเย็น - ไก่แช่ซีอิ้ว ก่อนจะจัดหนักด้วยอาหารในภาพด้านบน และตบท้ายด้วยรายการเทมปุระอีกครั้ง - ข้าวปั้นกุ้งเทมปุระ สำหรับผม บอกได้แค่ว่า ไร้คำบรรยาย (ราคาประมาณจานละ 150 - 400 บาท กุ้งแพงครับ เพราะเนปาลไม่ติดทะเล)

อิ่มหนำสำราญและพุ่งไปซื้อซิมโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว (ใช้รูป 1 รูปกับเงินเล็กน้อย) ก็ได้เวลาท่องเมือง คุณไกด์ใจดีพาเรามุ่งสู่ที่หมายแรก "ลลิตบุรี" หรือ Lalitpur นครแห่งความงาม (ชื่อเล่น - Patan) ตั้งอยู่ในหุบเขากาฐมาณฑุ ทางทิศเหนือและตะวันออกของกาฐฯ
พระราชวัง แห่ง นครลลิต

สถาปัตยกรรมวังเก่าแห่งนี้ เต็มไปด้วยเรื่องราว ... ที่ผมก็จำไม่ค่อยได้ ได้แต่ชื่นชมความงามการผสมผสานงานแกะสลักไม้กับสิ่งปลูกสร้างจากอิฐ และความเชื่อจาก 2 ศาสนา คือ พุทธและฮินดู แต่ที่น่าสังเกตคือ ประตู หน้าต่าง บันได ต่างก็มีขนาดเล็ก (เตี้ย) กว่าปกติ ประตูต้องก้มห้วจึงจะผ่านเข้าไปได้ ส่วนบันไดก็ขนาดเพียงครึ่งเท้า ... แต่ก่อนคนที่นี่คงตัวเล็ก ... เห็นคุณไกด์ว่าอย่างนั้น ซึ่งก็น่าจะจริง เพราะเท่าที่เห็นในปัจจุบันคนที่นี่หลายส่วนก็ตัวเล็ก น่าจะเป็นเพราะเรื่องข้าวปลาอาหารเป็นหลัก
จากนั้นก็ได้เวลาดื่มด่ำความงามของเมืองโดยการนั่งแช่นั่งชิว จิบชา พร้อมถอดสายตาอย่างไร้จุดหมาย

และแล้วก็พบร้านชาน่ารัก ๆ ให้บริการทั้งชากาแฟ พร้อมขายใบชาและเม็ดกาแฟเนปาลหอมกรุ่น (ขนาดผมไม่ดื่มกาแฟยังว่าหอมเลย) กับน้องคนขายหน้าตาน่าหยอก (คาดว่าเป็นน้องสาวเจ้าของร้าน หรือไม่ก็เป็นเจ้าของร้านนั่นแหละ)

ภาพความทรงจำเดิมย้อนกลับสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง แต่ไม่เพียงเท่านั้น ความประทับใจกลับทวีมากขึ้นอีก จากภาพการผสมผสานที่ลงตัวสุด ๆ ร้านรวงมากมาย  แต่ไม่รกหูรกตา แต่ละร้านสีสันสดใส น่ารัก ไม่ขัดตา ถ้าให้เปรียบดีกรีความชิว ก็คงประมาณเมืองทางเหนือของไทย
ร้านชา กาแฟ น่ารัก ๆ




ที่หมายต่อไปคือ วัดทอง แปลตรงตัวจาก Golden Temple หรือมีชื่อท้องถิ่นว่า Hiranya Varna Mahabihar 1 ในสถานที่มรดกโลกที่มีมากมายเต็มเมืองไปหมด ไปที่ไหนก็เห็นแต่สัญลักษณ์มรดกโลกของ UNESCO

วัดทองเป็นวัดขนาดไม่ใหญ่ สภาพด้านในเหลืองอร่ามแม้จะแอบหม่นนิด ๆ ตามกาลเวลาแต่ก็สวยงามด้วยรายละเอียดการแกะสลัก
คนที่นี่ศรัทธาแรงกล้าและให้ความเคารพศาสนสถานมาก เชื่อว่า ไม่มีใครเคยเห็นการใช้นิ้วมือเปล่า ๆ เช็ดมูลนกสดจากพื้นวัดเพื่อความสำอาด เขาเคารพศรัทธากันระดับนั้นล่ะครับ คนไทยคงไม่ขนาดนั้น

หลังจากไหว้พระ ทำบุญเรียบร้อย ก็มุ่งหน้าออกจาก Lalitpur ไปยังวัดอีกแห่งคือ วัดสยมภูนาท (Swayambhunath) หรือวัดลิง การจะขึ้นไปถึงเจดีย์ (stupa) ด้านบน มีให้เลือก 2 ทาง คือ บันได 365 ขั้น ซึ่งไม่ทราบว่ามีความหมายอะไรหรือไม่ แต่ที่แน่นอนคือ เล่นเอาหอบเหมือนกัน (ใครไม่ไหวก็นั่งรถขึ้นไปได้ครับ แล้วขึ้นบันไดต่ออีกสั้น ๆ)

จุดเริ่มต้น 365 ขั้น
วันนั้นเป็นวันปีใหม่ของเนปาลพอดี (14 เม.ย.) ตรงช่วงปีใหม่ไทยเช่นกัน จึงมีคนเนปาลเดินขึ้นเขากันมาไหว้พระทำบุญจำนวนมาก แต่ที่น่าสังเกตคือ มีวัยรุ่นเป็นจำนวนมากจับกลุ่มกันมาทำบุญไหว้พระ อาจจะคล้าย ๆ กระแสสวดมนต์ข้ามปีของไทยที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้นเรื่อย ๆ

วัยรุ่นที่นี่ น้อง ๆ เกาหลีนะครับ พูดเป็นเล่นไป แต่งตัวกันมันมาก แต่ไม่โป๊นะ คุณไกด์บอกว่า กระแสเกาหลีกำลังมาแรง แถมหน้าคนเนปาลยังออกแนวเกาหลีด้วย เลยไปกันได้แบบไม่ขัดเขินหรือขัดหูขัดตา อีกอย่างคือ สภาพอากาศเป็นใจ คือ มีช่วงหนาวจริง ๆ ช่วงที่ไปนี่ก็ยังเย็น ๆ น้อง ๆ เนปาลเลยจัดเต็มกันได้พอสมควร

ศาสนสถานเหล่านี้จะผสมผสานศาสนาฮินดูและพุทธเข้าด้วยกันอย่างไม่สามารถแยก ออกจากกันได้ โดยจะมีสิ่งปลูกสร้าง รูปบูชา หรือสัญลักษณ์ปรากฏผสมผสานกันไปในบริเวณเดียวกัน เช่น ภายในวัดลิงนี้
 

สถูป หรือ เจดีย์ สวยงามแบบศิลปะทิเบต
ไฮไลท์อีกอย่างของที่นี่คือ พระพุทธรูปปางประทานพร ซึ่งคุณไกด์บอกว่า เป็นแบบเดียวกับพระพุทธรูปหินองค์ใหญ่ที่แกะจากหน้าผาในอัฟกานิสถานที่โดนพวกหัวรุนแรงยิงซะพรุนไปแล้ว

จุดนี้เองที่ได้เห็นว่าทำไมที่นี่จึงมีชื่อเรียกอย่างเป็นกันเองว่าวัดลิง

ผมเดาเอาว่า องค์พระพุทธรูปเป็นศิลปะแบบคันธาระ (Gandhara) สังเกตได้จากลักษณะที่คล้ายศิลปะกรีกโรมัน เช่น ผ้าคลุมด้านหลัง ท่าทางการยืนที่เอนเล็กน้อย การมีรัศมีแบบนักบุญตะวันตก แม้รูปหน้าจะไม่ชัดเจนว่าเป็นแบบกรีกโรมันซะทีเดียว แต่ก็แสดงให้เห็นอิทธิพลที่ได้รับจากครั้งพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชยกทัพสู่ชมพูทวีป ถ้าจำไม่ผิดศูนย์กลางศิลปะรุ่นนี้จะอยู่ทาง
พระพุทธรูปกับผู้ดูแลเจ้าถิ่น

อัฟกานิสถานและปากีสถาน โดยมีพระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกิริยา (fasting buddha) เป็นไฺฮไลท์ ของจริงตอนนี้ ปากีสถานเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์เมืองละฮอร์ (Lahore) งามมากครับ พระพักตร์พระพุทธรูปเป็นแบบศิลปะกรีกโรมันชัดเจน

เรียบร้อยครับ ไหว้พระทำบุญเอาฤกษ์เอาชัยเล็กน้อย ก่อนออกเดินทางในวันรุ่งขึ้นสู่สนามบินที่อันตรายที่สุดในโลก

ต่อมาจึงเป็นเวลาท่องเที่ยวซื้อของเตรียมตัว และชิวยามค่ำคืนที่กรุงกาฐฯ ... มันเยี่ยมมากครับ

หลังจากเข้าที่พัก ก็ได้ออกไปเดินเล่นในเขตที่ชื่อว่า Thamel ซึ่งก็คล้าย ๆ โซนที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างอยู่มาก ๆ ที่บ้านเรา เช่น ถ.ข้าวสาร ถ.พระอาทิตย์ หรือจะเป็นเชียงใหม่ สรุปว่า ชิวครับ ร้านรวงมากมาย เน้นขายอุปกรณ์เดินเขา North Face เต็มไปหมด แต่ราคาช่างย่อมเยานัก สอบถามมา ได้ความว่า ของจีนครับ ถ้าของแท้สามารถหาได้ที่ช็อป แต่แพงกว่า 5 เท่า ... สุดท้ายได้ไม้ช่วยเดินเขาอันละ 4 USD ตามด้วยถุงมือ ผ้าปิดจมูกปากเพื่อรักษาความชื้นและความอบอุ่นของลมหายใจ และกระป๋องใส่น้ำราคาประมาณเดียวกัน คุ้มมากครับสำหรับมือสม้ครเล่น ได้ของเรียบร้อยจึงมุ่งหน้าหามื้อค่ำ

ร้านที่นี่มีมากมาย น่ารัก สวยงาม น่านั่ง ราคาเป็นกันเอง มีให้เลือกหลากสไตล์จะชิวมาชิวน้อยจนระดับปารตี้หนักหน่วง คาราโอเกะมีให้เลือกหมด ถ้ามาจากไทยคงไม่อะไรมากครับ แต่มาจากมุมไบ ... นี่มันสวรรค์ชัด ๆ

ร้าน New Orleans เป็นร้านในสวน ตึกเก่าโชว์อิฐสีตัดกับต้นไม้สวยงาม ให้บรรยากาศสบาย ๆ ธรรมชาติ เปิดเพลงแจ๊ซสมชื่อ นั่งสบาย เพลงรื่นหู อาหารรื่นลิ้น เสียดายจัดหนักไม่ได้ เพราะพรุ่งนี้เดินทางแต่เช้า

ร้าน New Orleans ประดับไฟฉลองปีใหม่
สถานที่จริงน่าอภิรมย์มากกว่าในรูปมาก

มาถึงเนปาล ก็ต้องชิมเบียร์เนปาล ค่ำคืนนี้จึงเลือกเบียร์ Everest มาดื่มข่มนาม เยี่ยมอีกแล้วครับ กลิ่นหอม รสชาติดี ลื่นคอ คนเนปาลบอกว่า เป็นเบียร์ที่ดีที่สุดของเนปาล แต่อันนี้ก็คงแล้วแต่ชอบครับ

หมดไปอีกหนึ่งวัน กาฐฯ มีตัวเลือกให้นักท่องเที่ยวมากมายด้านอาหารและสินค้า (มีซุปเปอร์แบบที่เราเห็นในเมืองท่องเที่ยวบ้านเรา เช่น ที่พัทยา มีของนำเข้ามากมายให้เลือกซื้อ ราคาก็ไม่น่าเกลียด แพงกว่าบ้านเราเล็กน้อย อากาศเย็นสบาย แม้แดดจะแรงอยู่บ้างเพราะใกล้พระอาทิตย์เข้าไปอีกเป็นกิโลเมื่อเทียบกับกรุงเทพฯ หรือมุมไบ ผู้คนเป็นมิตร สถาปัตยกรรมสวยงาม จับจ่ายสนุกสนาน สะอาดกว่าเพื่อนบ้านแขกตัวโต คนซื่อ ๆ มีมารยาทกว่า ... ดีไปหมดจริง ๆ

 << รูปนี้คือ โมโม่ (Momo) หรือเกี๊ยวเนปาล แป้งจะหนาแข็งกว่าของไทย จีน ญี่ปุ่น ไส้เป็นไก่ผสมผัก หรือผักล้วน ตลบอบอวนด้วยกลิ่นเครื่องเทศ ที่ชาวแขกเรียก มาซาล่า (masala) ซึ่งเป็นชื่อเรียกรวมของเครื่องเทศที่ผสมกันขึ้นมา มีหลายสูตรสำหรับอาหารแต่ละชนิด มาซาล่าจึงเป็นคำเรียกรวม ๆ เหมือนคำ "น้ำพริก" บ้านเรา 

สรุปว่า ลองดูสักครั้งก็ไม่เสียหาย แต่ไม่ลองก็ไม่ได้พลาดอะไรครับ แต่ได้ยินว่า บางที่อร่อยมาก ทริปนี้เลยจัดไปหลายรอบเพื่อตามหาโมโม่ในฝัน ... ยังไม่เจอครับ

ตอนต่อไป หนีเที่ยวเนปาล - (ตอนที่ 3) เหิรเวหาสู่ Lukla จุดเริ่มต้นเส้นทางสู่เอเวอเรสท์


\ (^3^) /







หนีเที่ยวเนปาล - (ตอนที่ 1) จาก 14 ม. ไป 1,400 ม.

ช่วงสงกรานต์ที่เมืองไทยร้อนระอุ แม้เมืองมุมไบจะดีกว่าหน่อยเพราะเป็นเมืองชายทะเล แต่ก็ยังร้อนและเหนอะหนะน่ารำคาญเป็นที่สุด ผมจึงได้โอกาสหนีไปพึ่งแอร์คอนฯ ของพระเจ้าที่เนปาล

จุดหมายแรก : เมืองหลวง - กรุงกาฐมาณฑุ

จากความสูง 14 ม. เหนือระดับน้ำทะเล สู่ระดับความสูง 1,400 ม. (มุมไบ - กาฐมาณฑุ)

ผมเคยได้ไปทำความรู้จักกับเมืองหลวงที่สวยงามแห่งนี้มาแล้ว 1 ครั้ง เมื่อสัก 3-4 ปี ที่แล้ว แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ไม่เกิน 2 วัน แต่ก็จำได้ความสวยงามและน่ารักของเมืองที่ผสมผสานความสวยงามของสถาปัตยกรรมและการตกแต่ง "ขอบ" ต่าง ๆ ด้วยไม้แกะสลักรายละเอียดละออ กับ ร้านกาแฟ/ชา น่ารัก ๆ ให้ผู้มาเยือนได้พักเท้าและชื่นชมความสวยงามของเมืองพร้อม ๆ ไปกับดื่มดำกับกาแฟ / ชา หอมกรุ่น แน่นอนครับ กาแฟ/ชาของเนปาล



วิวเนปาลมุมสูง (เมืองอะไร ไม่ทราบได้)
เมื่อลงเหยียบแผ่นดินเนปาล อากาศวูบแรกที่สัมผัสได้ ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง อากาศเย็นสบายกำลังดีและสดชื่นเป็นที่สุด ช่างต่างจากมุมไบอย่างลิบลับ

ด่านแรกคือ ตม. คนไทยสามารถขอ Visa on Arrival ได้ แต่คงจะต้องใช้เวลาไม่น้อยเพราะแถวยาวทีเดียว เต็มไปด้วยฝรั่งหัวทองต่อคิวแน่นขนัด แต่เจ้าหน้าที่ ตม. เนปาลก็ดูแข็งขันและเต็มที่ พอคิวตัวเองว่างก็จะกวักมือเรียกคิวอื่นให้ไปรับบริการทันที ช่างต่างจากมุมไบอย่างลิบลับ ที่นอกจากจะไม่ค่อยมี จนท.ตม. นั่งประจำแล้ว ยังชอบไล่ไปแถวอื่น เกี่ยงงานกันอย่างเชี่ยวชาญ ประดุจว่า เราเข้าใจผิดไปเองว่าสิ่งนี้เป็นหน้าที่ของมวลหมู่ ตม. ทั้งหลายเหล่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว อาจเป็นเพียงแค่งานอดิเรก โดยหน้าที่จริง ๆ คือ การจับกลุ่มเม้าซี่กันอย่างออกรสออกชาติ ออกหน้าออกตา พร้อมกับโบกมือให้ผู้มาเยือนไปต่อแถวอื่น

ผมเชื่อว่า คนที่นี่เขาคิดว่า เขาไม่ได้ง้อให้ใครมาประเทศเขาครับ เพราะฉะนั้นมาแล้ว คนที่นี่เขาก็ไม่สนใจหรอกครับ

กลับมาที่เนปาลอีกครั้ง ด่านต่อไปคือ เครื่องแสกนสัมภาระติดตัว ... ก็กระเป๋าที่เรานำขึ้นเครื่องน่ะแหละครับ อันนี้คิดว่า น่าจะเป็นส่วนของศุลกากรครับ ผ่านด่านนี้ไปจึงจะเข้าสู่บริเวณที่รับสัมภาระ

คนแน่นขนัดสนามบินนานาชาติ Tribhuvan ทีีเดียว คงเป็นเพราะช่วงเวลาดังกล่าวมีเที่ยวบินลงติด ๆ กัน 4-5 เที่ยวบิน และสนามบินก็มีสายพานรับกระเป๋าเพียง 2 เส้นเท่านั้น คนจึงออกันแน่นขนัด ชะเง้อคอมองหากระเป๋าของตัวเอง ในส่วนของผมก็มองซ้ายทีขวาทีเพราะไม่รู้ว่ากระเป๋าจะมาสายพานไหน ไม่ยอมขึ้นจอสักที ต้องคอยสังเกตคนท้องถิ่นที่ลงมาจากเที่ยวบินเดียวกัน จนในที่สุดก็มีเจ้าหน้าที่เดินมาประกาศว่า "มุมไบ สายพาน 2 จ้า"

ผ่านไปร่วม 1 ชม. ผมจึงได้พบหน้ากระเป๋าของตัวเองอีกครั้ง โดยในครั้งนี้มาแบบ "แบกเป้ลุย" ครับ ครั้งนี้เราจะไปเดินเล่นตามเส้นทางขึ้นสู่ Everest Base Camp หรือที่รู้จักกันในวงการว่า EBC (5,364 ม.) แต่ตามแผนเราจะไปถึงแค่ Namche (นัมเจ - 3,440 ม.) หรือ Namche Bazaar ห่างจาก EBC อีก 6-7 วันเดิน ความสูงต่างกัน 1,924 ม.

ได้กระเป๋าแล้ว ก็มาผ่านด่านศุลกากรด้วยการแสกนกันอีกรอบครับ เมื่อผ่านมาได้แล้ว ก็เป็นอันเสร็จพิธี

เสียง "แทกซี่" ที่ขึ้นสูง ทำหน้าที่แทนคำถาม ดังฟังชัดจากหลากหลายแหล่งที่มา ดังประโคมต้อนรับผู้มาเยือน ในส่วนของผมมีรถจาก บ.ทัวร์มารับ จึงได้แต่ยิ้มให้และเดินผ่านไป ... ดีครับ ไม่มีเซ้าซี้ พอบอกไม่เอาก็สามารถคุยเล่นทักทายกันได้ เขาอยากคุยกับเรา - "ผู้มาเยือน" เราอยากคุยกับเขา - "เจ้าถิ่น" คุยกันถามข้อมูล ช่วยเราหาคนและรถที่มารอรับ โดยไม่มีการถามถึงเรื่องรถอีก คนที่นี่โดยรวมแล้วน่ารัก เป็นมิตร ซื่อ ๆ เว้นแต่จะซวยจริง ๆ เท่านั้นแหละครับ คนเนปาลรักคนไทยและนิยมสินค้าไทยครับ

ถึงโรงแรม ได้รับแจ้งว่า ช่วงนี้ ไฟดับวันละ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติของเนปาลนะครับ ก็อาศัยเครื่องปั่นไฟสำรองเอา

ล้างหน้าล้างตาเล็กน้อย ก็ทะยานออกไปชมเมิือง

ต่อตอนหน้า ... หนีเที่ยวเนปาล - (ตอนที่ 2) กาฐมาณฑุ ... ทั้งวันทั้งคืน






Tuesday, 25 March 2014

ไปมาแล้ว...เกาะช้าง (เกาะ Elephanta) ตอน 3 (จบ) - ถ้ำและการจากลาชั่วนิรันดร์

และแล้วก็ถึงเป้าหมาย สถานที่ท่องเที่ยวแห่งเดียวของเกาะช้าง ถ้ำช้างนั่นเอง (ถ้ำ Elephanta)

เป็นไปตามคาด บูธขายตั๋วเข้าชมโบราณสถานตั้งเด่นอยู่ตรงหน้า ราคาต่างชาติ 250 รูปี ชนชาวแขก 10 รูปี ซึ่งเป็นราคามาตรฐานของรัฐมหาราษฏระ (Maharashtra)

ขอแทรก - ตามจริงแล้วผู้ถือหนังสือเดินทางไทยจะต้องได้รับส่วนลด โดยชำระค่าเข้าชมโบราณสถานต่าง ๆ ในอินเดียเท่ากับที่ชาวอินเดียจ่าย (เช่นกัน ชาวอินเดียก็ได้รับสิทธิจ่ายเท่าคนไทยในประเทศไทย) ตามความตกลงในกรอบ BIMSTEC [ดูรายละเอียดเพิ่มเติม] อย่างไรก็ตาม จะพบว่า เจ้าหน้าที่ประจำโบราณสถานส่วนใหญ่จะไม่ทราบและไม่ยอมรับ (โดยเฉพาะพวกไกลปืนเที่ยง) แม้จะนำเอกสารไปยื่นประกอบพร้อมแสดงหนังสือเดินทางก็ตาม

ในวันนั้น ได้เกิดการเจรจาราคาตั๋วซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจกัน ทั้ง ๆ ที่ ก็เข้าใจ จนสุดท้าย ผ่านด่านเข้าไปได้จึงสามารถเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้น และถึงบางอ้อว่า อ๋อ ... โกงนี่หว่า แต่ไม่ได้โกงผมนะครับ โกงบ้านเมืองตัวเอง

เขาทำกันแบบนี้ครับ

วันนั้นไปกัน 5 คน ค่าตั๋วรวมทั้งหมดต้อง 1,250 รูปี มี 2 คนได้ลดราคา เหลือคนละ 10 รูปี รวมเหลือ 770 รูปี ผมก็ยื่นให้ไป 500 รูปี คนขายก็บอกให้เข้าด้านในได้เลย ความงงจึงบังเกิด คือผมไม่อยากโกงแขกครับ โดยเฉพาะกับของหลวง กลัวต้องกลับมาใช้กรรมครับ

ผม - "ทำไมแค่นี้ ยังไม่ครบนะ แล้วที่จ่ายไปแล้วเอาตั๋วมาสิ" พร้อมพยายามหาข้อสรุปเรื่องราคาว่ารวมเท่าไหร่กันแน่

จากนั้นผู้ช่วยคนขาย (ยาม) ก็มาลากไปคุยต่อนอกคิวซื้อตั๋ว ตอนนั้น งงมากว่าทำไมเข้าใจไม่ตรงกับคนขาย มันจะไม่ตรงกันได้อย่างไร อธิบายอยู่ 3 รอบ สุดท้ายจ่ายไป 750 รูปี จาก 770 รูปี

ผู้ช่วยคนขาย - "ไม่เป็นไร ๆ อีก 20 รูปีไม่ต้อง"

ไอ้เราก็งง ว่าทำไม อ่ะ เออว่าไงว่าตามกัน แค่ 20 รูปี จากนั้นก็ทวงตั๋วครับ คือจ่ายเงินแล้วไม่ให้ตั๋ว สุดท้ายได้รับสิ่งที่คล้ายตั๋วจากคนขายมา 3 ใบ แบบตัดรำคาญ ส่วนอีก 2 คน เหมือนได้แถมฟรี ผมเลยไม่ได้สนใจมากครับ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยังคิดทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น โดนแขกหลอกอีกรึเปล่า พลาดตรงไหน ... มันขุ่นข้องหมองใจครับ

จากนั้นก็มีการตรวจตั๋วเป็นธรรมดา คือ ยื่นสิ่งที่คล้ายตั๋วนั้นไป เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วก็เก็บไปเลยทั้งอัน เราก็ไม่ได้เอ๊ะใจอะไร จนกระทั่งเห็นคนอื่นถือหางตั๋วเท่านั้นแหละครับ เหมือนเห็นแสงสว่าง ... อิกคิวซังมาเอง เสียงแบบอุ่นอาหารไมโครเวฟเสร็จ "ติ๊ง" พร้อมกับหลอดไฟบนหัวติดพรึบ

สิ่งที่คนขายตั๋วให้มาคือ ส่วนสั้นของตั๋วที่จะถูกฉีกเก็บโดยเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว สรุปแล้ว จึงไม่มีใครได้ตั๋วจริง ไม่มีการขายตั๋วเกิดขึ้น เงินค่าตั๋วที่จ่ายไปไม่เข้าหลวงแน่นอน อย่างน้อยคนขายตั๋ว ผู้ช่วยฯ และคนตรวจตั๋วต้องรู้เห็น ไม่น่าล่ะ ผู้ช่วยฯ ถึงต้องให้ไปคุยนอกคิว เราก็นึกว่าจะได้ไม่ขวางคนอื่น ลืมคิดไปว่าปกติ อินเดียไม่มีสนเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว คนอื่นรอคนอื่นเดือดร้อนกูไม่สน ให้เรื่องกูเสร็จเป็นใช้ได้

จากนั้น จึงชมถ้ำด้วยความสบายใจ

ถ้ำมีทั้งหมด 5 ถ้ำ ถ้ำที่ดีที่สุดคือ ถ้ำแรก ปรากฏประติมากรรมนูนสูงตามผนังอย่างงดงาม เช่น รูปพระศิวะ พระตรีมูรติ เป็นต้น สิ่งที่พบในทุกถ้ำคือ ศิวลึงค์ ซึ่งมักจะอยู่ในห้องกั้นเป็นสัดส่วน ถ้ำ 2-5 ยากจะอธิบาย เพราะไม่รู้จะอธิบายอะไรครับ ในความเห็นผมมันไม่มีอะไรเลยจริง ๆ ยิ่งถ้ำสุดท้าย จะมีดีก็แค่มีห้องน้ำอยู่ตรงนั้น ไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครเดินไปชมเพราะสภาพถ้ำไม่ต่างจากถ้ำธรรมชาติตกแต่งด้วยขยะ และมีเพียงศิวลึงค์ขนาดสูงไม่เกิน 2 ฟุต ครึ่ง ตั้งอยู่กลางถ้ำ

ราคาน้ำดื่มแพงกว่าราคาปกติเล็กน้อย รับได้ครับ แต่ก็ระวังนะครับ มีความกะล่อนพยายามตอดเล็กตอดน้อยตลอดเวลา เช่น ถามราคาน้ำ

ผม - "one bottle water. how much?"
คนขาย - "35 Rs."
ผม - "not 30?"
คนขาย - "yes yes, you give me 40. I give you 10"  อารมณ์แบบ ก็ใช่ไง 30 รูปี ...

ไหลลื่นเมือกปลาดุกมากครับ จริง ๆ แล้วน้ำขวดละ 18 รูปี ครับ แต่ผมเห็นว่า ซื้อบนเกาะ เลยไม่สนใจนัก แต่พอดีซื้อร้านหน้าถ้ำขายเพียง 30 นี่มาด้านล่างขาย 35 เลยสงสัยนิดหน่อย

ขากลับ ก็ต้องย้อนกลับทางที่มา เหมือนเดิมทุกประการ จะต่างก็ตรงที่ได้นัางรถไฟโดยไม่ต้องแก่งแย่ง และได้ขึ้นเรือที่ใหญ่และสภาพดีขึ้นกลับสู่มุมไบ ... ต้องแสดงตั๋วเรือก่อนขึ้นนะครับ

ทิ้งท้ายเล็กน้อย เมื่อเรือออก แขกก็เริ่มงัดขนมออกมากินกันครับ แน่นอนมีถั่วปรุงรสเครื่องเทศที่แสนจะโปรดปรานกัน ทานกันอย่างเมามัน หลังทานเสร็จก็ปัดมือให้เศษผงเครื่องเทศหลุดจากตนเอง ลอยตามลมเข้าปะทะหน้าคนที่นั่งท้ายลม ... แบบไม่สนใจ ... เชื่อว่า คิดเรื่องแบบนี้ไม่ได้ครับ โชคดีผมแค่เป็นพยานในเหตุการณ์ 

สรุปว่า ใช้เวลาชมถ้ำ 40 นาที อีก 4 ชม. หมดไปกับการเดินทาง ทั้งเรือ รถไฟ และเดินเท้า เสียเวลา เสียอารมณ์ เสียรู้ และเสียความรู้สึก อีกเรื่อยเปื่อยตลอดทาง

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คงต้องลากันแบบลาขาด คงไม่ไปเหยียบอีกแน่แล้ว หากไม่จำเป็น ใครจะไปก็ตามสะดวกนะครับ แต่ถ้าถามผม ไปออรังกาบัดดีกว่าแบบเทียบกันไม่ได้ครับ ถ้ำที่ออรังกาบัดและเกาะช้างล้วนได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม ตามนี้เลยครับ

>> en.wikipedia.org/wiki/Elephanta_Caves
>> www.maharashtratourism.gov.in/mtdc/HTML/MaharashtraTourism/TouristDelight/Caves/Caves.aspx?strpage=ElephantaCaves.html


* * * * * * * * * * *



ไปมาแล้ว...เกาะช้าง (เกาะ Elephanta) ตอน 2 - รถไฟ และบันไดสลัว

ผ่านไป 1 ชม. 20 นาที จะเกินก็นิดหน่อย ผมก็มาถึงท่าเรือเกาะช้าง ซึ่งสร้างยื่นออกมาในทะเลราว 100 เมตร กว้างประมาณสัก 3 เมตร วางตัวพาดผ่านหาดเลนเข้าสู่ชายเกาะ

ตามที่ได้รับฟังมา เมื่อลงเรือแล้วเราจะต้องต่อรถไฟเล็ก ๆ เข้าเกาะ ... ลงปุ๊บเจอเลยครับ ไม่ต้องไปตามหาที่ไหน คนขายตั๋วรถไฟและรางรถไฟพร้อม ราคาตั๋วแสนถูก ไปกลับ 10 รูปี ... เออถูกดีจัง สงสัยทางการเห็นใจประชาชน แต่ที่สำคัญเก็บเท่ากันหมดครับไม่ว่าจะหัวดำ แดง เหลือง

ซื้อตั๋วเรียบร้อย ขณะยืนรอรถไฟเข้าเทียบ ก็มองหาจุดหมาย แล้วก็พบกับเจ้ารถไฟกำลังขนผู้โดยสารจากตัวเกาะมุ่งหน้ามา ... เออเล็กจริงนะ มันคือรถไฟขบวนเล็กแต่มีหลายตู้ ความกว้างสัก 1 เมตรนิด ๆ ประมาณว่า ยัดลงไป 3 ก้นจะเกิดการแนบชิด และปลิ้นออกนอกเขตที่นั่งเล็กน้อย นั่งหันหน้าเข้าหากัน มีที่ให้อากาศแทรกระหว่างเข่าของกันและกันเล็กน้อย ลองนึกภาพรถไฟนำเที่ยวตามสวนสนุกหรือสวนสัตว์ครับ แบบนั้นเลย ความเร็วก็ตามนั้นเลย อืดสุด ๆ

ด้วยประสบการณ์ ผมขยับยืนใกล้รางที่สุดเท่าที่จะทำได้และจับตาดูคู่แข่งผู้โชกโชนประสบการณ์ทั้งหลาย ซึ่งไม่มีทีท่าจะสนใจเตรียมการแย่งชิงที่นั่งบนรถไฟเล็กแต่อย่างใด แต่พอรถไฟเล็กขบวนน้อยจอดเท่านั้นแหละ ... โอ้ แม่เจ้า ผู้โดยสารที่มากับรถไฟยังไม่ทันลงหมด หมู่มวลมหาประชาแขกก็เบียดแทรกตัดหน้าพุ่งขึ้นไปครองที่นั่งอย่างไม่สนใจใคร ไม่มีการต่อคิว ไม่มีการตรวจตั๋ว ใครเร็วกว่าแรงกว่าก็ได้ขึ้น ไม่งั้นก็อด ... survival of the fittest โดยแท้ เห็นกรูกันแบบห้างในอเมริกาเปิดทำการในช่วงลดราคากระหน่ำซัมเมอร์เซลคริสต์มาสจิงเกิลเบล

คงเป็นเรื่องปกติของคนส่วนใหญ่ในดินแดนแห่งนี้ ที่มีชีวิตต้องแก่งแย่งต่อสู้ ... ซึ่งไม่เว้นแม้การแย่งชิงเพื่อขึ้นโดยสารรถไฟในชีวิตประจำวัน และแน่นอนครับ สิ่งเหล่านั้นถูกแสดงออกมาโดยธรรมชาติแม้จะในวันท่องเที่ยวพักผ่อนที่อาจจะไม่จำเป็นต้องเร่งรีบนัก (ใช่ครับ ผมเดินแซงรถไฟไป ก่อนที่รถไฟจะเริ่มออกตัว)

ส่วนผม ... ก็ได้รับประสบการณ์เพิ่มเติมว่า มีตั๋วไม่ได้แปลว่าจะได้ขึ้น แม้ลุงคนขับจะใจดีเป็นห่วงเป็นใย ชวนไปปีนห้อยโหนหัวขบวนด้วยกันก็ตาม แต่ผมขอเดินดีกว่าครับ จึงขอบคุณคุณลุงใจดีและเดินต่อไป

สรุประยะทางไม่เกิน 250 เมตร ... จะขึ้นรถไฟทำไมฟระ ถ้ารู้แบบนี้เดินตั้งแต่แรกที่ขึ้นท่า ถึงก่อนรถไฟแน่นอน 

ต่อจากรถไฟขบวนน้อยก็เป็นด่านเก็บเงินครับ เห็นเขียนราคา 5 รูปี เราก็งงว่า ทำไมค่าเข้าชมถูกจัง เอ๊ะ หรือเป็นราคาชาวแขกเท่านั้น ต่อคิวเข้าซื้อตั๋ว พร้อมเตรียมพูดภาษาฮินดี กะให้คนขายตั๋วตายใจว่า เป็นแขกจากทางอีสานของอินเดีย ซึ่งมีหน้าตาละม้ายคล้ายคนไทย

พอถึงคิว ผมไม่รอช้าไม่ พูดออกไปอย่างชัดเจน "หนึ่ง" แล้วนิ่ง พร้อมภาวนา อย่าให้มีการสนทนาเกิดขึ้นเพราะพูดได้แค่นั้นแหละ แล้วยืนจับจ้องคนขายด้วยใจลุ้นระทึก จะ 5 รูปีจริงไหม

ผลที่ออก ... 5 รูปี ครับ อัตราเดียวกันไม่ว่าจะชนชาติใด ไอ้เราก็กระหยิ่มยิ้มย่อง แต่อีกใจก็สงสัยว่าทำไมค่าเข้าจึงถูกนัก ... คิดได้ดังนั้นจึงเอาตั๋วมาพลิก ๆ ดู อ้าวเห้ยยยย ไม่ใช่ตั๋วนี่หว่า ... มันคือ ภาษีนักท่องเที่ยวครับ เหมือนค่าเหยียบเกาะ ...


จ่ายภาษีเรียบร้อยแล้วก็เริ่มปีนบันไดขึ้นเนินมุ่งหน้าสู่ถ้ำ (ไม่ถึงสักที) ทางเดินเต็มไปด้วยร้านค้ามากมายประกบ 2 ข้างทางแบบไม่เห็นช่องว่าง ตั้งแต่ตีนเนินไปจนถึงประตูเข้าเขตถ้ำ มีเพียงแสงรำไรที่ส่องผ่านผ้าใบที่ขึงเป็นหลังคาให้กับทางปีนเนินที่มืดสล้วนี้ แม้จะเป็นเวลาบ่ายแดดเปรี้ยงก็ตาม จะว่าเดินยากเดินเหนื่อย ก็คงไม่ขนาดนั้น แต่ไกลและสูงกว่าทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพครับ แต่ลาดชันน้อยกว่า จึงไม่เหนื่อยนัก แต่บางจังหวะจะเป็นหินลื่น ก็ต้องระมัดระวังกันพอสมควร

ระหว่างทางก็จะเจอพ่อค้าแม่ขายชักชวนเชื้อเชิญให้ชมสินค้าและจับจ่ายใช้สอยซื้อของที่ระลึก ปฏิเสธกันไม่หวาดไม่ไหว บางท่านถูกพ่อค้าแม่ค้าต่อว่าทำนองว่า "ถ้าไม่ซื้อ แล้วเขาจะไปขายใคร" กลับเป็นอย่างนั้นไป แม้เราจะบอกว่าไม่เอา ไม่อยากได้ พ่อค้าแม่ค้าก็จะเริ่มต่อรองราคากับเราครับ ต้องตั้งหน้าตั้งตาเดินแบบไม่สนใจจะดีกว่า

แน่นอนครับ ของทุกอย่างหาได้ที่มุมไบครับ ไม่ต้องไปขนลงเรือกลับมาครับ


ต่อตอน 3 (จบ) ครับ - ถ้ำและการจากลาชั่วนิรันดร์

\ (+_+) /









ไปมาแล้ว...เกาะช้าง (เกาะ Elephanta) ตอน 1 - ตั๋วและเรือ

เมื่อปลายเดือน ก.พ. 57 ได้มีโอกาสไปเยือน "เกาะช้าง" ที่เรา ๆ ชาวไทยในมุมไบเรียกขานกัน ซึ่งก็เป็นการแปลมาแบบตรง ๆ จากชื่อจริงว่าเกาะ Elephanta

เกาะนี้ตั้งอยู่ทางตะวันออกของมุมไบ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่รัฐมหาราษฏระถือเป็นหน้าเป็นตาอยู่เหมือนกัน ในแง่ของสถาปัตยกรรมทางศาสนาเพราะเกาะนี้มีถ้ำที่ขุดเข้าไปในภูเขาทำเป็นศาสนสถานของศาสนาเจน (หรือเชน) และฮินดู คล้ายกับถ้ำอันโด่งดังอย่างถ้ำเอลลอร่า (Ellora) แห่งเมืองออรังกาบัด (Aurangabad) และที่สำคัญตั้งอยู่ใกล้กับเมืองมุมไบมาก (ไปออรังกาบัด - รถทัวร์ 1 คืน / บิน 40 นาที จากตัวเมืองไปถ้ำอีก 40 นาที - 1 ชม. ครึ่ง) จึงเป็นโอกาสของเหล่านักท่องเที่ยวทั้งเจ้าบ้านและต่างชาติที่มีเวลาหรือทุนทรัพย์น้อย ประมาณว่าไหน ๆ มาถึงที่แล้วแต่ไม่มีโอกาสไปออรังกาบัด ก็ขอลองไปดูที่เกาะช้างเอาไอเดียสักหน่อย

ส่วนตัวผม ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามเกาะช้างแห่งนี้มาตั้งแต่เดินทางมาถึงมุมไบใหม่ ๆ โดยเฉพาะ "ถ้าเคยไปออรังกาบัดแล้ว ไม่ต้องไปหรอก เสียเวลา เทียบกันไม่ได้" ... แน่นอนครับ ผมไปเยี่ยมถ้ำที่ออรังกาบัดมาแล้ว 2 รอบ จึงไม่มีความคิดผุดขึ้นมาแม้แต่น้อยที่จะไปเหยียบเกาะช้าง ... แต่สุดท้ายก็มีเหตุให้ต้องไปจนได้

การไปเกาะช้างนั้นง่ายแสนง่าย (แต่ก็ชุลมุน มั่วซั่วตามประสาแขก) เพียงซื้อตั๋วที่ร้านซึ่งตั้งอยู่หน้า "ประตูสู่อินเดีย" (Gateway of India) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมุมไบ แล้วก็เดินไปขึ้นเรือด้านหลัง "ประตูฯ" เรือก็จะพาคุณโต้คลื่นเบา ๆ ไปถึงเกาะช้างสบาย ๆ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. 15 นาที - 1 ชม. ครึ่งต่อเที่ยว เพราะฉะนั้นไป-กลับก็เผื่อไว้เลย 2 ชม. ครึ่ง - 3 ชม. ระหว่างทางก็มีวิวเมืองมุมไบให้ชม ซึ่งรวมถึงบริเวณท่าจอดเรือของกองทัพเรืออินเดียด้วย

ตั๋วเรือมีให้เลือกแบบธรรมดา กับแบบหรูหราไฮโซ ราคาต่างกันเพียง 30 รูปี พอเห็นราคาผมก็พุ่งเข้าหาตั๋วแบบหรูหราในทันที ด้วยราคาแสนถูก 150 รูปี คิดแค่เพียงว่า เอาฟระ !! เพื่อความอุ่นใจในเบื้องต้น



จากนั้นก็เดินหาที่ลงเรือแบบงมเข็มในบึงน้ำเน่า ไม่มีป้ายอะไรบอกทั้งสิ้น ข้อมูลตอนนี้มีแค่คนขายตั๋วชี้ ๆ บอกแบบเสียไม่ได้ว่า "เออ ... นั่นแหละ เข้าไปข้างใน" "go inside go inside" ไอ้เราก็นะ เห้ย inside ไหนฟระ ตาคนขายก็ตอบแบบปัดรำคาญ "inside. inside Gateway" ... คือ บริเวณล้อมรั่วของประตูฯ มันก็ไม่ได้เล็กไงครับพี่น้อง ผ่านด่าน รปภ. ตรวจค้นเข้าไปแล้วให้ไปทางไหนต่อล่ะ ไม่เคยเข้าไปสำรวจแบบถี่ถ้วนซะด้วย ... ปลงอารมณ์ 1 วินาที แล้วก็บอกตัวเองว่า "เออ เอาฟระ ไปตายเอาดาบหน้า" สุดท้ายถามตำรวจครับ ถึงจะพบทางลงเรือหลบด้านหลังประตูฯ 

นาทีแห่งความมั่วก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ... มีทางลงอยู่ 4 ทาง แล้วไอ้ตั๋วเรือบริษัทนี้มันต้องทางไหน และเรือลำไหนไปเกาะช้าง ... แน่นอนครับ ไม่มีป้ายเช่นกัน มีเพียงคนตรวจตั๋ว คอยดูและฉีกตั๋ว ... ความมั่วเกินบรรยาย สุดท้ายก็ต้องถามชายฉีกตั๋ว

ผม - "this ticket where? here?"
ชายฉีกตั๋ว - "yes yes here. this boat on the left."

มองตามปลายนิ้วชายฉีกตั๋ว เห็นเรือไม้โทรม ๆ ที่น้่งเป็นแบบม้านั่งทำจากไม้กระดาน ความกว้างพอวางก้นได้ ม้านั่งวางตัวถอดยาวตามความยาวเรือ มีทั้งหมด 4 แถว หันหน้าเข้าหากัน ... ตลอดทางผู้โดยสารจึงมีโอกาสได้นั่งจ้องตากันอย่างเต็มอิ่ม ... ไรฟระเนี่ย


ผม - "you sure? this boat? not that one on the right? luxury na!!" (เรือทางขวาดูกีกว่าหน่อยและใหญ่กว่า เลยคิดว่า เห้ยยยย luxury นะเว้ย ลำนั้นรึเปล่า)
ชายฉีกตั๋ว - "no no. on the left" จบข่าว

แมร่งเอ้ย เนี่ยเหรอวะ luxury ... รับสภาพ ... ปวดตับจี๊ดถึงสมอง

ตั๋วก็แบบเรือข้ามฝากบ้านเรา ไม่มีกำหนดที่นั่ง จังหวะลงเรือจึงเกิดการช่วงชิง เพื่อพุ่งจับจองที่นั่ง แน่นอนครับ มีตั๋วไม่ได้แปลว่าจะมีที่นั่ง และเรือไม่แน่นไม่เต็ม ก็ไม่ออกครับ

สุดท้ายก็ได้ที่นั่งเสียดสีบั่นท้ายกะป้าแขกสมบูรณ์ ... ก้นแตะม้านั่งก็คิดทันทีว่าเมื่อไหร่จะถึงฟระเนี่ย ...

ยังครับ ยังไม่จบตอน เพราะดันมองไปเห็นชาวต่างชาติขึ้นเรือมา แต่เดินต่อเพื่อไปขึ้นอีกลำที่จอดแนบกันอยู่ และลำนั้นดูดีกว่าเป็นไหน ๆ ... ไม่รอช้าพุ่งไปเสี่ยงดวงถามเด็กท้ายเรือ ...

ผม - "you you, I go that boat, ok?" พร้อมกับชี้ไปยังเรือลำนั้น
เด็กท้ายเรือ - "no no" ... จบ

โชคยังดี ที่พักก้นไม่หาย ... นั่งลงด้วยความละเหี่ยใจ

และละเหี่ยหนักต่อไปอีกหลังจากมีคนชี้ให้ดูเสื้อชูชีพสีส้มดำเครอะจำนวน 4 ตัว ที่วางอยู่บนไม้โครงเรือเหนือหัว ... ผู้โดยสารทั้งสิ้นน่าจะไม่น้อยกว่า 60 คน ... คือ มีแค่นี้ ??? ความปลอดภัยเป็นเลิศ

ทันใดนั้นเองก็มีผู้ตาดีชี้ให้เห็นอุปกรณ์ชูชีพอีกอย่าง "นั่นไง ๆ เสื้อชูชีพแบบแขก ใช้ทีหนึ่ง ได้หลายคนด้วย" หันไปมองตามคำบอกก็เห็นแต่ม้านั่งไม้ ไม่มีอะไร ... "นั่นไง ๆ" พร้อมกับชี้ไปที่ท่อนไม้ขนาดสัก 3 มือโอบ ยาวสัก 3-4 เมตร ... ขำไม่ออก ... โชคดีครับ ดวงยังไม่ตกถึงขั้นต้องใช้

เมื่อนั่งเรือออกจากท่าเรือตรงประตูฯ (ด้านขวาของภาพ) ก็จะได้เห็นภาพนี้ครับ ส่วนอาคารที่มีหลังคาทรงโดม คือ
โรงแรม Taj Mahal Palace อันเลื่องชื่อของมุมไบ ส่วนเรือที่เห็น คือ เรือเฟอรี่ครับ


ต่อตอน 2 ครับ - รถไฟและบันไดสลัว

๖(-_-)./