ช่วงสงกรานต์ที่เมืองไทยร้อนระอุ แม้เมืองมุมไบจะดีกว่าหน่อยเพราะเป็นเมืองชายทะเล แต่ก็ยังร้อนและเหนอะหนะน่ารำคาญเป็นที่สุด ผมจึงได้โอกาสหนีไปพึ่งแอร์คอนฯ ของพระเจ้าที่เนปาล
จุดหมายแรก : เมืองหลวง - กรุงกาฐมาณฑุ
จากความสูง 14 ม. เหนือระดับน้ำทะเล สู่ระดับความสูง 1,400 ม. (มุมไบ - กาฐมาณฑุ)
ผมเคยได้ไปทำความรู้จักกับเมืองหลวงที่สวยงามแห่งนี้มาแล้ว 1 ครั้ง เมื่อสัก 3-4 ปี ที่แล้ว แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ไม่เกิน 2 วัน แต่ก็จำได้ความสวยงามและน่ารักของเมืองที่ผสมผสานความสวยงามของสถาปัตยกรรมและการตกแต่ง "ขอบ" ต่าง ๆ ด้วยไม้แกะสลักรายละเอียดละออ กับ ร้านกาแฟ/ชา น่ารัก ๆ ให้ผู้มาเยือนได้พักเท้าและชื่นชมความสวยงามของเมืองพร้อม ๆ ไปกับดื่มดำกับกาแฟ / ชา หอมกรุ่น แน่นอนครับ กาแฟ/ชาของเนปาล
เมื่อลงเหยียบแผ่นดินเนปาล อากาศวูบแรกที่สัมผัสได้ ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง อากาศเย็นสบายกำลังดีและสดชื่นเป็นที่สุด ช่างต่างจากมุมไบอย่างลิบลับ
ด่านแรกคือ ตม. คนไทยสามารถขอ Visa on Arrival ได้ แต่คงจะต้องใช้เวลาไม่น้อยเพราะแถวยาวทีเดียว เต็มไปด้วยฝรั่งหัวทองต่อคิวแน่นขนัด แต่เจ้าหน้าที่ ตม. เนปาลก็ดูแข็งขันและเต็มที่ พอคิวตัวเองว่างก็จะกวักมือเรียกคิวอื่นให้ไปรับบริการทันที ช่างต่างจากมุมไบอย่างลิบลับ ที่นอกจากจะไม่ค่อยมี จนท.ตม. นั่งประจำแล้ว ยังชอบไล่ไปแถวอื่น เกี่ยงงานกันอย่างเชี่ยวชาญ ประดุจว่า เราเข้าใจผิดไปเองว่าสิ่งนี้เป็นหน้าที่ของมวลหมู่ ตม. ทั้งหลายเหล่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว อาจเป็นเพียงแค่งานอดิเรก โดยหน้าที่จริง ๆ คือ การจับกลุ่มเม้าซี่กันอย่างออกรสออกชาติ ออกหน้าออกตา พร้อมกับโบกมือให้ผู้มาเยือนไปต่อแถวอื่น
ผมเชื่อว่า คนที่นี่เขาคิดว่า เขาไม่ได้ง้อให้ใครมาประเทศเขาครับ เพราะฉะนั้นมาแล้ว คนที่นี่เขาก็ไม่สนใจหรอกครับ
กลับมาที่เนปาลอีกครั้ง ด่านต่อไปคือ เครื่องแสกนสัมภาระติดตัว ... ก็กระเป๋าที่เรานำขึ้นเครื่องน่ะแหละครับ อันนี้คิดว่า น่าจะเป็นส่วนของศุลกากรครับ ผ่านด่านนี้ไปจึงจะเข้าสู่บริเวณที่รับสัมภาระ
คนแน่นขนัดสนามบินนานาชาติ Tribhuvan ทีีเดียว คงเป็นเพราะช่วงเวลาดังกล่าวมีเที่ยวบินลงติด ๆ กัน 4-5 เที่ยวบิน และสนามบินก็มีสายพานรับกระเป๋าเพียง 2 เส้นเท่านั้น คนจึงออกันแน่นขนัด ชะเง้อคอมองหากระเป๋าของตัวเอง ในส่วนของผมก็มองซ้ายทีขวาทีเพราะไม่รู้ว่ากระเป๋าจะมาสายพานไหน ไม่ยอมขึ้นจอสักที ต้องคอยสังเกตคนท้องถิ่นที่ลงมาจากเที่ยวบินเดียวกัน จนในที่สุดก็มีเจ้าหน้าที่เดินมาประกาศว่า "มุมไบ สายพาน 2 จ้า"
ผ่านไปร่วม 1 ชม. ผมจึงได้พบหน้ากระเป๋าของตัวเองอีกครั้ง โดยในครั้งนี้มาแบบ "แบกเป้ลุย" ครับ ครั้งนี้เราจะไปเดินเล่นตามเส้นทางขึ้นสู่ Everest Base Camp หรือที่รู้จักกันในวงการว่า EBC (5,364 ม.) แต่ตามแผนเราจะไปถึงแค่ Namche (นัมเจ - 3,440 ม.) หรือ Namche Bazaar ห่างจาก EBC อีก 6-7 วันเดิน ความสูงต่างกัน 1,924 ม.
ได้กระเป๋าแล้ว ก็มาผ่านด่านศุลกากรด้วยการแสกนกันอีกรอบครับ เมื่อผ่านมาได้แล้ว ก็เป็นอันเสร็จพิธี
เสียง "แทกซี่" ที่ขึ้นสูง ทำหน้าที่แทนคำถาม ดังฟังชัดจากหลากหลายแหล่งที่มา ดังประโคมต้อนรับผู้มาเยือน ในส่วนของผมมีรถจาก บ.ทัวร์มารับ จึงได้แต่ยิ้มให้และเดินผ่านไป ... ดีครับ ไม่มีเซ้าซี้ พอบอกไม่เอาก็สามารถคุยเล่นทักทายกันได้ เขาอยากคุยกับเรา - "ผู้มาเยือน" เราอยากคุยกับเขา - "เจ้าถิ่น" คุยกันถามข้อมูล ช่วยเราหาคนและรถที่มารอรับ โดยไม่มีการถามถึงเรื่องรถอีก คนที่นี่โดยรวมแล้วน่ารัก เป็นมิตร ซื่อ ๆ เว้นแต่จะซวยจริง ๆ เท่านั้นแหละครับ คนเนปาลรักคนไทยและนิยมสินค้าไทยครับ
ถึงโรงแรม ได้รับแจ้งว่า ช่วงนี้ ไฟดับวันละ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติของเนปาลนะครับ ก็อาศัยเครื่องปั่นไฟสำรองเอา
ล้างหน้าล้างตาเล็กน้อย ก็ทะยานออกไปชมเมิือง
ต่อตอนหน้า ... หนีเที่ยวเนปาล - (ตอนที่ 2) กาฐมาณฑุ ... ทั้งวันทั้งคืน
จุดหมายแรก : เมืองหลวง - กรุงกาฐมาณฑุ
จากความสูง 14 ม. เหนือระดับน้ำทะเล สู่ระดับความสูง 1,400 ม. (มุมไบ - กาฐมาณฑุ)
ผมเคยได้ไปทำความรู้จักกับเมืองหลวงที่สวยงามแห่งนี้มาแล้ว 1 ครั้ง เมื่อสัก 3-4 ปี ที่แล้ว แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ไม่เกิน 2 วัน แต่ก็จำได้ความสวยงามและน่ารักของเมืองที่ผสมผสานความสวยงามของสถาปัตยกรรมและการตกแต่ง "ขอบ" ต่าง ๆ ด้วยไม้แกะสลักรายละเอียดละออ กับ ร้านกาแฟ/ชา น่ารัก ๆ ให้ผู้มาเยือนได้พักเท้าและชื่นชมความสวยงามของเมืองพร้อม ๆ ไปกับดื่มดำกับกาแฟ / ชา หอมกรุ่น แน่นอนครับ กาแฟ/ชาของเนปาล
![]() |
วิวเนปาลมุมสูง (เมืองอะไร ไม่ทราบได้) |
ด่านแรกคือ ตม. คนไทยสามารถขอ Visa on Arrival ได้ แต่คงจะต้องใช้เวลาไม่น้อยเพราะแถวยาวทีเดียว เต็มไปด้วยฝรั่งหัวทองต่อคิวแน่นขนัด แต่เจ้าหน้าที่ ตม. เนปาลก็ดูแข็งขันและเต็มที่ พอคิวตัวเองว่างก็จะกวักมือเรียกคิวอื่นให้ไปรับบริการทันที ช่างต่างจากมุมไบอย่างลิบลับ ที่นอกจากจะไม่ค่อยมี จนท.ตม. นั่งประจำแล้ว ยังชอบไล่ไปแถวอื่น เกี่ยงงานกันอย่างเชี่ยวชาญ ประดุจว่า เราเข้าใจผิดไปเองว่าสิ่งนี้เป็นหน้าที่ของมวลหมู่ ตม. ทั้งหลายเหล่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว อาจเป็นเพียงแค่งานอดิเรก โดยหน้าที่จริง ๆ คือ การจับกลุ่มเม้าซี่กันอย่างออกรสออกชาติ ออกหน้าออกตา พร้อมกับโบกมือให้ผู้มาเยือนไปต่อแถวอื่น
ผมเชื่อว่า คนที่นี่เขาคิดว่า เขาไม่ได้ง้อให้ใครมาประเทศเขาครับ เพราะฉะนั้นมาแล้ว คนที่นี่เขาก็ไม่สนใจหรอกครับ
กลับมาที่เนปาลอีกครั้ง ด่านต่อไปคือ เครื่องแสกนสัมภาระติดตัว ... ก็กระเป๋าที่เรานำขึ้นเครื่องน่ะแหละครับ อันนี้คิดว่า น่าจะเป็นส่วนของศุลกากรครับ ผ่านด่านนี้ไปจึงจะเข้าสู่บริเวณที่รับสัมภาระ
คนแน่นขนัดสนามบินนานาชาติ Tribhuvan ทีีเดียว คงเป็นเพราะช่วงเวลาดังกล่าวมีเที่ยวบินลงติด ๆ กัน 4-5 เที่ยวบิน และสนามบินก็มีสายพานรับกระเป๋าเพียง 2 เส้นเท่านั้น คนจึงออกันแน่นขนัด ชะเง้อคอมองหากระเป๋าของตัวเอง ในส่วนของผมก็มองซ้ายทีขวาทีเพราะไม่รู้ว่ากระเป๋าจะมาสายพานไหน ไม่ยอมขึ้นจอสักที ต้องคอยสังเกตคนท้องถิ่นที่ลงมาจากเที่ยวบินเดียวกัน จนในที่สุดก็มีเจ้าหน้าที่เดินมาประกาศว่า "มุมไบ สายพาน 2 จ้า"
ผ่านไปร่วม 1 ชม. ผมจึงได้พบหน้ากระเป๋าของตัวเองอีกครั้ง โดยในครั้งนี้มาแบบ "แบกเป้ลุย" ครับ ครั้งนี้เราจะไปเดินเล่นตามเส้นทางขึ้นสู่ Everest Base Camp หรือที่รู้จักกันในวงการว่า EBC (5,364 ม.) แต่ตามแผนเราจะไปถึงแค่ Namche (นัมเจ - 3,440 ม.) หรือ Namche Bazaar ห่างจาก EBC อีก 6-7 วันเดิน ความสูงต่างกัน 1,924 ม.
ได้กระเป๋าแล้ว ก็มาผ่านด่านศุลกากรด้วยการแสกนกันอีกรอบครับ เมื่อผ่านมาได้แล้ว ก็เป็นอันเสร็จพิธี
เสียง "แทกซี่" ที่ขึ้นสูง ทำหน้าที่แทนคำถาม ดังฟังชัดจากหลากหลายแหล่งที่มา ดังประโคมต้อนรับผู้มาเยือน ในส่วนของผมมีรถจาก บ.ทัวร์มารับ จึงได้แต่ยิ้มให้และเดินผ่านไป ... ดีครับ ไม่มีเซ้าซี้ พอบอกไม่เอาก็สามารถคุยเล่นทักทายกันได้ เขาอยากคุยกับเรา - "ผู้มาเยือน" เราอยากคุยกับเขา - "เจ้าถิ่น" คุยกันถามข้อมูล ช่วยเราหาคนและรถที่มารอรับ โดยไม่มีการถามถึงเรื่องรถอีก คนที่นี่โดยรวมแล้วน่ารัก เป็นมิตร ซื่อ ๆ เว้นแต่จะซวยจริง ๆ เท่านั้นแหละครับ คนเนปาลรักคนไทยและนิยมสินค้าไทยครับ
ถึงโรงแรม ได้รับแจ้งว่า ช่วงนี้ ไฟดับวันละ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติของเนปาลนะครับ ก็อาศัยเครื่องปั่นไฟสำรองเอา
ล้างหน้าล้างตาเล็กน้อย ก็ทะยานออกไปชมเมิือง
ต่อตอนหน้า ... หนีเที่ยวเนปาล - (ตอนที่ 2) กาฐมาณฑุ ... ทั้งวันทั้งคืน
No comments:
Post a Comment