ผ่านไป 1 ชม. 20 นาที จะเกินก็นิดหน่อย ผมก็มาถึงท่าเรือเกาะช้าง ซึ่งสร้างยื่นออกมาในทะเลราว 100 เมตร กว้างประมาณสัก 3 เมตร วางตัวพาดผ่านหาดเลนเข้าสู่ชายเกาะ
ตามที่ได้รับฟังมา เมื่อลงเรือแล้วเราจะต้องต่อรถไฟเล็ก ๆ เข้าเกาะ ... ลงปุ๊บเจอเลยครับ ไม่ต้องไปตามหาที่ไหน คนขายตั๋วรถไฟและรางรถไฟพร้อม ราคาตั๋วแสนถูก ไปกลับ 10 รูปี ... เออถูกดีจัง สงสัยทางการเห็นใจประชาชน แต่ที่สำคัญเก็บเท่ากันหมดครับไม่ว่าจะหัวดำ แดง เหลือง
ซื้อตั๋วเรียบร้อย ขณะยืนรอรถไฟเข้าเทียบ ก็มองหาจุดหมาย แล้วก็พบกับเจ้ารถไฟกำลังขนผู้โดยสารจากตัวเกาะมุ่งหน้ามา ... เออเล็กจริงนะ มันคือรถไฟขบวนเล็กแต่มีหลายตู้ ความกว้างสัก 1 เมตรนิด ๆ ประมาณว่า ยัดลงไป 3 ก้นจะเกิดการแนบชิด และปลิ้นออกนอกเขตที่นั่งเล็กน้อย นั่งหันหน้าเข้าหากัน มีที่ให้อากาศแทรกระหว่างเข่าของกันและกันเล็กน้อย ลองนึกภาพรถไฟนำเที่ยวตามสวนสนุกหรือสวนสัตว์ครับ แบบนั้นเลย ความเร็วก็ตามนั้นเลย อืดสุด ๆ
ด้วยประสบการณ์ ผมขยับยืนใกล้รางที่สุดเท่าที่จะทำได้และจับตาดูคู่แข่งผู้โชกโชนประสบการณ์ทั้งหลาย ซึ่งไม่มีทีท่าจะสนใจเตรียมการแย่งชิงที่นั่งบนรถไฟเล็กแต่อย่างใด แต่พอรถไฟเล็กขบวนน้อยจอดเท่านั้นแหละ ... โอ้ แม่เจ้า ผู้โดยสารที่มากับรถไฟยังไม่ทันลงหมด หมู่มวลมหาประชาแขกก็เบียดแทรกตัดหน้าพุ่งขึ้นไปครองที่นั่งอย่างไม่สนใจใคร ไม่มีการต่อคิว ไม่มีการตรวจตั๋ว ใครเร็วกว่าแรงกว่าก็ได้ขึ้น ไม่งั้นก็อด ... survival of the fittest โดยแท้ เห็นกรูกันแบบห้างในอเมริกาเปิดทำการในช่วงลดราคากระหน่ำซัมเมอร์เซลคริสต์มาสจิงเกิลเบล
คงเป็นเรื่องปกติของคนส่วนใหญ่ในดินแดนแห่งนี้ ที่มีชีวิตต้องแก่งแย่งต่อสู้ ... ซึ่งไม่เว้นแม้การแย่งชิงเพื่อขึ้นโดยสารรถไฟในชีวิตประจำวัน และแน่นอนครับ สิ่งเหล่านั้นถูกแสดงออกมาโดยธรรมชาติแม้จะในวันท่องเที่ยวพักผ่อนที่อาจจะไม่จำเป็นต้องเร่งรีบนัก (ใช่ครับ ผมเดินแซงรถไฟไป ก่อนที่รถไฟจะเริ่มออกตัว)
ส่วนผม ... ก็ได้รับประสบการณ์เพิ่มเติมว่า มีตั๋วไม่ได้แปลว่าจะได้ขึ้น แม้ลุงคนขับจะใจดีเป็นห่วงเป็นใย ชวนไปปีนห้อยโหนหัวขบวนด้วยกันก็ตาม แต่ผมขอเดินดีกว่าครับ จึงขอบคุณคุณลุงใจดีและเดินต่อไป
สรุประยะทางไม่เกิน 250 เมตร ... จะขึ้นรถไฟทำไมฟระ ถ้ารู้แบบนี้เดินตั้งแต่แรกที่ขึ้นท่า ถึงก่อนรถไฟแน่นอน
ต่อจากรถไฟขบวนน้อยก็เป็นด่านเก็บเงินครับ เห็นเขียนราคา 5 รูปี เราก็งงว่า ทำไมค่าเข้าชมถูกจัง เอ๊ะ หรือเป็นราคาชาวแขกเท่านั้น ต่อคิวเข้าซื้อตั๋ว พร้อมเตรียมพูดภาษาฮินดี กะให้คนขายตั๋วตายใจว่า เป็นแขกจากทางอีสานของอินเดีย ซึ่งมีหน้าตาละม้ายคล้ายคนไทย
พอถึงคิว ผมไม่รอช้าไม่ พูดออกไปอย่างชัดเจน "หนึ่ง" แล้วนิ่ง พร้อมภาวนา อย่าให้มีการสนทนาเกิดขึ้นเพราะพูดได้แค่นั้นแหละ แล้วยืนจับจ้องคนขายด้วยใจลุ้นระทึก จะ 5 รูปีจริงไหม
ผลที่ออก ... 5 รูปี ครับ อัตราเดียวกันไม่ว่าจะชนชาติใด ไอ้เราก็กระหยิ่มยิ้มย่อง แต่อีกใจก็สงสัยว่าทำไมค่าเข้าจึงถูกนัก ... คิดได้ดังนั้นจึงเอาตั๋วมาพลิก ๆ ดู อ้าวเห้ยยยย ไม่ใช่ตั๋วนี่หว่า ... มันคือ ภาษีนักท่องเที่ยวครับ เหมือนค่าเหยียบเกาะ ...
จ่ายภาษีเรียบร้อยแล้วก็เริ่มปีนบันไดขึ้นเนินมุ่งหน้าสู่ถ้ำ (ไม่ถึงสักที) ทางเดินเต็มไปด้วยร้านค้ามากมายประกบ 2 ข้างทางแบบไม่เห็นช่องว่าง ตั้งแต่ตีนเนินไปจนถึงประตูเข้าเขตถ้ำ มีเพียงแสงรำไรที่ส่องผ่านผ้าใบที่ขึงเป็นหลังคาให้กับทางปีนเนินที่มืดสล้วนี้ แม้จะเป็นเวลาบ่ายแดดเปรี้ยงก็ตาม จะว่าเดินยากเดินเหนื่อย ก็คงไม่ขนาดนั้น แต่ไกลและสูงกว่าทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพครับ แต่ลาดชันน้อยกว่า จึงไม่เหนื่อยนัก แต่บางจังหวะจะเป็นหินลื่น ก็ต้องระมัดระวังกันพอสมควร
ระหว่างทางก็จะเจอพ่อค้าแม่ขายชักชวนเชื้อเชิญให้ชมสินค้าและจับจ่ายใช้สอยซื้อของที่ระลึก ปฏิเสธกันไม่หวาดไม่ไหว บางท่านถูกพ่อค้าแม่ค้าต่อว่าทำนองว่า "ถ้าไม่ซื้อ แล้วเขาจะไปขายใคร" กลับเป็นอย่างนั้นไป แม้เราจะบอกว่าไม่เอา ไม่อยากได้ พ่อค้าแม่ค้าก็จะเริ่มต่อรองราคากับเราครับ ต้องตั้งหน้าตั้งตาเดินแบบไม่สนใจจะดีกว่า
แน่นอนครับ ของทุกอย่างหาได้ที่มุมไบครับ ไม่ต้องไปขนลงเรือกลับมาครับ
ต่อตอน 3 (จบ) ครับ - ถ้ำและการจากลาชั่วนิรันดร์
ตามที่ได้รับฟังมา เมื่อลงเรือแล้วเราจะต้องต่อรถไฟเล็ก ๆ เข้าเกาะ ... ลงปุ๊บเจอเลยครับ ไม่ต้องไปตามหาที่ไหน คนขายตั๋วรถไฟและรางรถไฟพร้อม ราคาตั๋วแสนถูก ไปกลับ 10 รูปี ... เออถูกดีจัง สงสัยทางการเห็นใจประชาชน แต่ที่สำคัญเก็บเท่ากันหมดครับไม่ว่าจะหัวดำ แดง เหลือง
ซื้อตั๋วเรียบร้อย ขณะยืนรอรถไฟเข้าเทียบ ก็มองหาจุดหมาย แล้วก็พบกับเจ้ารถไฟกำลังขนผู้โดยสารจากตัวเกาะมุ่งหน้ามา ... เออเล็กจริงนะ มันคือรถไฟขบวนเล็กแต่มีหลายตู้ ความกว้างสัก 1 เมตรนิด ๆ ประมาณว่า ยัดลงไป 3 ก้นจะเกิดการแนบชิด และปลิ้นออกนอกเขตที่นั่งเล็กน้อย นั่งหันหน้าเข้าหากัน มีที่ให้อากาศแทรกระหว่างเข่าของกันและกันเล็กน้อย ลองนึกภาพรถไฟนำเที่ยวตามสวนสนุกหรือสวนสัตว์ครับ แบบนั้นเลย ความเร็วก็ตามนั้นเลย อืดสุด ๆ
ด้วยประสบการณ์ ผมขยับยืนใกล้รางที่สุดเท่าที่จะทำได้และจับตาดูคู่แข่งผู้โชกโชนประสบการณ์ทั้งหลาย ซึ่งไม่มีทีท่าจะสนใจเตรียมการแย่งชิงที่นั่งบนรถไฟเล็กแต่อย่างใด แต่พอรถไฟเล็กขบวนน้อยจอดเท่านั้นแหละ ... โอ้ แม่เจ้า ผู้โดยสารที่มากับรถไฟยังไม่ทันลงหมด หมู่มวลมหาประชาแขกก็เบียดแทรกตัดหน้าพุ่งขึ้นไปครองที่นั่งอย่างไม่สนใจใคร ไม่มีการต่อคิว ไม่มีการตรวจตั๋ว ใครเร็วกว่าแรงกว่าก็ได้ขึ้น ไม่งั้นก็อด ... survival of the fittest โดยแท้ เห็นกรูกันแบบห้างในอเมริกาเปิดทำการในช่วงลดราคากระหน่ำซัมเมอร์เซลคริสต์มาสจิงเกิลเบล
คงเป็นเรื่องปกติของคนส่วนใหญ่ในดินแดนแห่งนี้ ที่มีชีวิตต้องแก่งแย่งต่อสู้ ... ซึ่งไม่เว้นแม้การแย่งชิงเพื่อขึ้นโดยสารรถไฟในชีวิตประจำวัน และแน่นอนครับ สิ่งเหล่านั้นถูกแสดงออกมาโดยธรรมชาติแม้จะในวันท่องเที่ยวพักผ่อนที่อาจจะไม่จำเป็นต้องเร่งรีบนัก (ใช่ครับ ผมเดินแซงรถไฟไป ก่อนที่รถไฟจะเริ่มออกตัว)
ส่วนผม ... ก็ได้รับประสบการณ์เพิ่มเติมว่า มีตั๋วไม่ได้แปลว่าจะได้ขึ้น แม้ลุงคนขับจะใจดีเป็นห่วงเป็นใย ชวนไปปีนห้อยโหนหัวขบวนด้วยกันก็ตาม แต่ผมขอเดินดีกว่าครับ จึงขอบคุณคุณลุงใจดีและเดินต่อไป
สรุประยะทางไม่เกิน 250 เมตร ... จะขึ้นรถไฟทำไมฟระ ถ้ารู้แบบนี้เดินตั้งแต่แรกที่ขึ้นท่า ถึงก่อนรถไฟแน่นอน
ต่อจากรถไฟขบวนน้อยก็เป็นด่านเก็บเงินครับ เห็นเขียนราคา 5 รูปี เราก็งงว่า ทำไมค่าเข้าชมถูกจัง เอ๊ะ หรือเป็นราคาชาวแขกเท่านั้น ต่อคิวเข้าซื้อตั๋ว พร้อมเตรียมพูดภาษาฮินดี กะให้คนขายตั๋วตายใจว่า เป็นแขกจากทางอีสานของอินเดีย ซึ่งมีหน้าตาละม้ายคล้ายคนไทย
พอถึงคิว ผมไม่รอช้าไม่ พูดออกไปอย่างชัดเจน "หนึ่ง" แล้วนิ่ง พร้อมภาวนา อย่าให้มีการสนทนาเกิดขึ้นเพราะพูดได้แค่นั้นแหละ แล้วยืนจับจ้องคนขายด้วยใจลุ้นระทึก จะ 5 รูปีจริงไหม

จ่ายภาษีเรียบร้อยแล้วก็เริ่มปีนบันไดขึ้นเนินมุ่งหน้าสู่ถ้ำ (ไม่ถึงสักที) ทางเดินเต็มไปด้วยร้านค้ามากมายประกบ 2 ข้างทางแบบไม่เห็นช่องว่าง ตั้งแต่ตีนเนินไปจนถึงประตูเข้าเขตถ้ำ มีเพียงแสงรำไรที่ส่องผ่านผ้าใบที่ขึงเป็นหลังคาให้กับทางปีนเนินที่มืดสล้วนี้ แม้จะเป็นเวลาบ่ายแดดเปรี้ยงก็ตาม จะว่าเดินยากเดินเหนื่อย ก็คงไม่ขนาดนั้น แต่ไกลและสูงกว่าทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพครับ แต่ลาดชันน้อยกว่า จึงไม่เหนื่อยนัก แต่บางจังหวะจะเป็นหินลื่น ก็ต้องระมัดระวังกันพอสมควร
ระหว่างทางก็จะเจอพ่อค้าแม่ขายชักชวนเชื้อเชิญให้ชมสินค้าและจับจ่ายใช้สอยซื้อของที่ระลึก ปฏิเสธกันไม่หวาดไม่ไหว บางท่านถูกพ่อค้าแม่ค้าต่อว่าทำนองว่า "ถ้าไม่ซื้อ แล้วเขาจะไปขายใคร" กลับเป็นอย่างนั้นไป แม้เราจะบอกว่าไม่เอา ไม่อยากได้ พ่อค้าแม่ค้าก็จะเริ่มต่อรองราคากับเราครับ ต้องตั้งหน้าตั้งตาเดินแบบไม่สนใจจะดีกว่า
แน่นอนครับ ของทุกอย่างหาได้ที่มุมไบครับ ไม่ต้องไปขนลงเรือกลับมาครับ
ต่อตอน 3 (จบ) ครับ - ถ้ำและการจากลาชั่วนิรันดร์
\ (+_+) /
No comments:
Post a Comment