Tuesday, 25 March 2014

ไปมาแล้ว...เกาะช้าง (เกาะ Elephanta) ตอน 3 (จบ) - ถ้ำและการจากลาชั่วนิรันดร์

และแล้วก็ถึงเป้าหมาย สถานที่ท่องเที่ยวแห่งเดียวของเกาะช้าง ถ้ำช้างนั่นเอง (ถ้ำ Elephanta)

เป็นไปตามคาด บูธขายตั๋วเข้าชมโบราณสถานตั้งเด่นอยู่ตรงหน้า ราคาต่างชาติ 250 รูปี ชนชาวแขก 10 รูปี ซึ่งเป็นราคามาตรฐานของรัฐมหาราษฏระ (Maharashtra)

ขอแทรก - ตามจริงแล้วผู้ถือหนังสือเดินทางไทยจะต้องได้รับส่วนลด โดยชำระค่าเข้าชมโบราณสถานต่าง ๆ ในอินเดียเท่ากับที่ชาวอินเดียจ่าย (เช่นกัน ชาวอินเดียก็ได้รับสิทธิจ่ายเท่าคนไทยในประเทศไทย) ตามความตกลงในกรอบ BIMSTEC [ดูรายละเอียดเพิ่มเติม] อย่างไรก็ตาม จะพบว่า เจ้าหน้าที่ประจำโบราณสถานส่วนใหญ่จะไม่ทราบและไม่ยอมรับ (โดยเฉพาะพวกไกลปืนเที่ยง) แม้จะนำเอกสารไปยื่นประกอบพร้อมแสดงหนังสือเดินทางก็ตาม

ในวันนั้น ได้เกิดการเจรจาราคาตั๋วซึ่งผมก็ไม่เข้าใจว่ามันเกิดขึ้นได้อย่างไร แต่ดูเหมือนจะไม่เข้าใจกัน ทั้ง ๆ ที่ ก็เข้าใจ จนสุดท้าย ผ่านด่านเข้าไปได้จึงสามารถเรียบเรียงเรื่องราวที่เกิดขึ้น และถึงบางอ้อว่า อ๋อ ... โกงนี่หว่า แต่ไม่ได้โกงผมนะครับ โกงบ้านเมืองตัวเอง

เขาทำกันแบบนี้ครับ

วันนั้นไปกัน 5 คน ค่าตั๋วรวมทั้งหมดต้อง 1,250 รูปี มี 2 คนได้ลดราคา เหลือคนละ 10 รูปี รวมเหลือ 770 รูปี ผมก็ยื่นให้ไป 500 รูปี คนขายก็บอกให้เข้าด้านในได้เลย ความงงจึงบังเกิด คือผมไม่อยากโกงแขกครับ โดยเฉพาะกับของหลวง กลัวต้องกลับมาใช้กรรมครับ

ผม - "ทำไมแค่นี้ ยังไม่ครบนะ แล้วที่จ่ายไปแล้วเอาตั๋วมาสิ" พร้อมพยายามหาข้อสรุปเรื่องราคาว่ารวมเท่าไหร่กันแน่

จากนั้นผู้ช่วยคนขาย (ยาม) ก็มาลากไปคุยต่อนอกคิวซื้อตั๋ว ตอนนั้น งงมากว่าทำไมเข้าใจไม่ตรงกับคนขาย มันจะไม่ตรงกันได้อย่างไร อธิบายอยู่ 3 รอบ สุดท้ายจ่ายไป 750 รูปี จาก 770 รูปี

ผู้ช่วยคนขาย - "ไม่เป็นไร ๆ อีก 20 รูปีไม่ต้อง"

ไอ้เราก็งง ว่าทำไม อ่ะ เออว่าไงว่าตามกัน แค่ 20 รูปี จากนั้นก็ทวงตั๋วครับ คือจ่ายเงินแล้วไม่ให้ตั๋ว สุดท้ายได้รับสิ่งที่คล้ายตั๋วจากคนขายมา 3 ใบ แบบตัดรำคาญ ส่วนอีก 2 คน เหมือนได้แถมฟรี ผมเลยไม่ได้สนใจมากครับ แต่ก็อดไม่ได้ที่จะยังคิดทบทวนว่าเกิดอะไรขึ้น โดนแขกหลอกอีกรึเปล่า พลาดตรงไหน ... มันขุ่นข้องหมองใจครับ

จากนั้นก็มีการตรวจตั๋วเป็นธรรมดา คือ ยื่นสิ่งที่คล้ายตั๋วนั้นไป เจ้าหน้าที่ตรวจตั๋วก็เก็บไปเลยทั้งอัน เราก็ไม่ได้เอ๊ะใจอะไร จนกระทั่งเห็นคนอื่นถือหางตั๋วเท่านั้นแหละครับ เหมือนเห็นแสงสว่าง ... อิกคิวซังมาเอง เสียงแบบอุ่นอาหารไมโครเวฟเสร็จ "ติ๊ง" พร้อมกับหลอดไฟบนหัวติดพรึบ

สิ่งที่คนขายตั๋วให้มาคือ ส่วนสั้นของตั๋วที่จะถูกฉีกเก็บโดยเจ้าหน้าที่ตรวจตั๋ว สรุปแล้ว จึงไม่มีใครได้ตั๋วจริง ไม่มีการขายตั๋วเกิดขึ้น เงินค่าตั๋วที่จ่ายไปไม่เข้าหลวงแน่นอน อย่างน้อยคนขายตั๋ว ผู้ช่วยฯ และคนตรวจตั๋วต้องรู้เห็น ไม่น่าล่ะ ผู้ช่วยฯ ถึงต้องให้ไปคุยนอกคิว เราก็นึกว่าจะได้ไม่ขวางคนอื่น ลืมคิดไปว่าปกติ อินเดียไม่มีสนเรื่องแบบนี้อยู่แล้ว คนอื่นรอคนอื่นเดือดร้อนกูไม่สน ให้เรื่องกูเสร็จเป็นใช้ได้

จากนั้น จึงชมถ้ำด้วยความสบายใจ

ถ้ำมีทั้งหมด 5 ถ้ำ ถ้ำที่ดีที่สุดคือ ถ้ำแรก ปรากฏประติมากรรมนูนสูงตามผนังอย่างงดงาม เช่น รูปพระศิวะ พระตรีมูรติ เป็นต้น สิ่งที่พบในทุกถ้ำคือ ศิวลึงค์ ซึ่งมักจะอยู่ในห้องกั้นเป็นสัดส่วน ถ้ำ 2-5 ยากจะอธิบาย เพราะไม่รู้จะอธิบายอะไรครับ ในความเห็นผมมันไม่มีอะไรเลยจริง ๆ ยิ่งถ้ำสุดท้าย จะมีดีก็แค่มีห้องน้ำอยู่ตรงนั้น ไม่เช่นนั้นคงไม่มีใครเดินไปชมเพราะสภาพถ้ำไม่ต่างจากถ้ำธรรมชาติตกแต่งด้วยขยะ และมีเพียงศิวลึงค์ขนาดสูงไม่เกิน 2 ฟุต ครึ่ง ตั้งอยู่กลางถ้ำ

ราคาน้ำดื่มแพงกว่าราคาปกติเล็กน้อย รับได้ครับ แต่ก็ระวังนะครับ มีความกะล่อนพยายามตอดเล็กตอดน้อยตลอดเวลา เช่น ถามราคาน้ำ

ผม - "one bottle water. how much?"
คนขาย - "35 Rs."
ผม - "not 30?"
คนขาย - "yes yes, you give me 40. I give you 10"  อารมณ์แบบ ก็ใช่ไง 30 รูปี ...

ไหลลื่นเมือกปลาดุกมากครับ จริง ๆ แล้วน้ำขวดละ 18 รูปี ครับ แต่ผมเห็นว่า ซื้อบนเกาะ เลยไม่สนใจนัก แต่พอดีซื้อร้านหน้าถ้ำขายเพียง 30 นี่มาด้านล่างขาย 35 เลยสงสัยนิดหน่อย

ขากลับ ก็ต้องย้อนกลับทางที่มา เหมือนเดิมทุกประการ จะต่างก็ตรงที่ได้นัางรถไฟโดยไม่ต้องแก่งแย่ง และได้ขึ้นเรือที่ใหญ่และสภาพดีขึ้นกลับสู่มุมไบ ... ต้องแสดงตั๋วเรือก่อนขึ้นนะครับ

ทิ้งท้ายเล็กน้อย เมื่อเรือออก แขกก็เริ่มงัดขนมออกมากินกันครับ แน่นอนมีถั่วปรุงรสเครื่องเทศที่แสนจะโปรดปรานกัน ทานกันอย่างเมามัน หลังทานเสร็จก็ปัดมือให้เศษผงเครื่องเทศหลุดจากตนเอง ลอยตามลมเข้าปะทะหน้าคนที่นั่งท้ายลม ... แบบไม่สนใจ ... เชื่อว่า คิดเรื่องแบบนี้ไม่ได้ครับ โชคดีผมแค่เป็นพยานในเหตุการณ์ 

สรุปว่า ใช้เวลาชมถ้ำ 40 นาที อีก 4 ชม. หมดไปกับการเดินทาง ทั้งเรือ รถไฟ และเดินเท้า เสียเวลา เสียอารมณ์ เสียรู้ และเสียความรู้สึก อีกเรื่อยเปื่อยตลอดทาง

เมื่อเป็นเช่นนี้แล้ว คงต้องลากันแบบลาขาด คงไม่ไปเหยียบอีกแน่แล้ว หากไม่จำเป็น ใครจะไปก็ตามสะดวกนะครับ แต่ถ้าถามผม ไปออรังกาบัดดีกว่าแบบเทียบกันไม่ได้ครับ ถ้ำที่ออรังกาบัดและเกาะช้างล้วนได้รับการประกาศเป็นมรดกโลกโดย UNESCO ครับ

ข้อมูลเพิ่มเติม ตามนี้เลยครับ

>> en.wikipedia.org/wiki/Elephanta_Caves
>> www.maharashtratourism.gov.in/mtdc/HTML/MaharashtraTourism/TouristDelight/Caves/Caves.aspx?strpage=ElephantaCaves.html


* * * * * * * * * * *



ไปมาแล้ว...เกาะช้าง (เกาะ Elephanta) ตอน 2 - รถไฟ และบันไดสลัว

ผ่านไป 1 ชม. 20 นาที จะเกินก็นิดหน่อย ผมก็มาถึงท่าเรือเกาะช้าง ซึ่งสร้างยื่นออกมาในทะเลราว 100 เมตร กว้างประมาณสัก 3 เมตร วางตัวพาดผ่านหาดเลนเข้าสู่ชายเกาะ

ตามที่ได้รับฟังมา เมื่อลงเรือแล้วเราจะต้องต่อรถไฟเล็ก ๆ เข้าเกาะ ... ลงปุ๊บเจอเลยครับ ไม่ต้องไปตามหาที่ไหน คนขายตั๋วรถไฟและรางรถไฟพร้อม ราคาตั๋วแสนถูก ไปกลับ 10 รูปี ... เออถูกดีจัง สงสัยทางการเห็นใจประชาชน แต่ที่สำคัญเก็บเท่ากันหมดครับไม่ว่าจะหัวดำ แดง เหลือง

ซื้อตั๋วเรียบร้อย ขณะยืนรอรถไฟเข้าเทียบ ก็มองหาจุดหมาย แล้วก็พบกับเจ้ารถไฟกำลังขนผู้โดยสารจากตัวเกาะมุ่งหน้ามา ... เออเล็กจริงนะ มันคือรถไฟขบวนเล็กแต่มีหลายตู้ ความกว้างสัก 1 เมตรนิด ๆ ประมาณว่า ยัดลงไป 3 ก้นจะเกิดการแนบชิด และปลิ้นออกนอกเขตที่นั่งเล็กน้อย นั่งหันหน้าเข้าหากัน มีที่ให้อากาศแทรกระหว่างเข่าของกันและกันเล็กน้อย ลองนึกภาพรถไฟนำเที่ยวตามสวนสนุกหรือสวนสัตว์ครับ แบบนั้นเลย ความเร็วก็ตามนั้นเลย อืดสุด ๆ

ด้วยประสบการณ์ ผมขยับยืนใกล้รางที่สุดเท่าที่จะทำได้และจับตาดูคู่แข่งผู้โชกโชนประสบการณ์ทั้งหลาย ซึ่งไม่มีทีท่าจะสนใจเตรียมการแย่งชิงที่นั่งบนรถไฟเล็กแต่อย่างใด แต่พอรถไฟเล็กขบวนน้อยจอดเท่านั้นแหละ ... โอ้ แม่เจ้า ผู้โดยสารที่มากับรถไฟยังไม่ทันลงหมด หมู่มวลมหาประชาแขกก็เบียดแทรกตัดหน้าพุ่งขึ้นไปครองที่นั่งอย่างไม่สนใจใคร ไม่มีการต่อคิว ไม่มีการตรวจตั๋ว ใครเร็วกว่าแรงกว่าก็ได้ขึ้น ไม่งั้นก็อด ... survival of the fittest โดยแท้ เห็นกรูกันแบบห้างในอเมริกาเปิดทำการในช่วงลดราคากระหน่ำซัมเมอร์เซลคริสต์มาสจิงเกิลเบล

คงเป็นเรื่องปกติของคนส่วนใหญ่ในดินแดนแห่งนี้ ที่มีชีวิตต้องแก่งแย่งต่อสู้ ... ซึ่งไม่เว้นแม้การแย่งชิงเพื่อขึ้นโดยสารรถไฟในชีวิตประจำวัน และแน่นอนครับ สิ่งเหล่านั้นถูกแสดงออกมาโดยธรรมชาติแม้จะในวันท่องเที่ยวพักผ่อนที่อาจจะไม่จำเป็นต้องเร่งรีบนัก (ใช่ครับ ผมเดินแซงรถไฟไป ก่อนที่รถไฟจะเริ่มออกตัว)

ส่วนผม ... ก็ได้รับประสบการณ์เพิ่มเติมว่า มีตั๋วไม่ได้แปลว่าจะได้ขึ้น แม้ลุงคนขับจะใจดีเป็นห่วงเป็นใย ชวนไปปีนห้อยโหนหัวขบวนด้วยกันก็ตาม แต่ผมขอเดินดีกว่าครับ จึงขอบคุณคุณลุงใจดีและเดินต่อไป

สรุประยะทางไม่เกิน 250 เมตร ... จะขึ้นรถไฟทำไมฟระ ถ้ารู้แบบนี้เดินตั้งแต่แรกที่ขึ้นท่า ถึงก่อนรถไฟแน่นอน 

ต่อจากรถไฟขบวนน้อยก็เป็นด่านเก็บเงินครับ เห็นเขียนราคา 5 รูปี เราก็งงว่า ทำไมค่าเข้าชมถูกจัง เอ๊ะ หรือเป็นราคาชาวแขกเท่านั้น ต่อคิวเข้าซื้อตั๋ว พร้อมเตรียมพูดภาษาฮินดี กะให้คนขายตั๋วตายใจว่า เป็นแขกจากทางอีสานของอินเดีย ซึ่งมีหน้าตาละม้ายคล้ายคนไทย

พอถึงคิว ผมไม่รอช้าไม่ พูดออกไปอย่างชัดเจน "หนึ่ง" แล้วนิ่ง พร้อมภาวนา อย่าให้มีการสนทนาเกิดขึ้นเพราะพูดได้แค่นั้นแหละ แล้วยืนจับจ้องคนขายด้วยใจลุ้นระทึก จะ 5 รูปีจริงไหม

ผลที่ออก ... 5 รูปี ครับ อัตราเดียวกันไม่ว่าจะชนชาติใด ไอ้เราก็กระหยิ่มยิ้มย่อง แต่อีกใจก็สงสัยว่าทำไมค่าเข้าจึงถูกนัก ... คิดได้ดังนั้นจึงเอาตั๋วมาพลิก ๆ ดู อ้าวเห้ยยยย ไม่ใช่ตั๋วนี่หว่า ... มันคือ ภาษีนักท่องเที่ยวครับ เหมือนค่าเหยียบเกาะ ...


จ่ายภาษีเรียบร้อยแล้วก็เริ่มปีนบันไดขึ้นเนินมุ่งหน้าสู่ถ้ำ (ไม่ถึงสักที) ทางเดินเต็มไปด้วยร้านค้ามากมายประกบ 2 ข้างทางแบบไม่เห็นช่องว่าง ตั้งแต่ตีนเนินไปจนถึงประตูเข้าเขตถ้ำ มีเพียงแสงรำไรที่ส่องผ่านผ้าใบที่ขึงเป็นหลังคาให้กับทางปีนเนินที่มืดสล้วนี้ แม้จะเป็นเวลาบ่ายแดดเปรี้ยงก็ตาม จะว่าเดินยากเดินเหนื่อย ก็คงไม่ขนาดนั้น แต่ไกลและสูงกว่าทางขึ้นพระธาตุดอยสุเทพครับ แต่ลาดชันน้อยกว่า จึงไม่เหนื่อยนัก แต่บางจังหวะจะเป็นหินลื่น ก็ต้องระมัดระวังกันพอสมควร

ระหว่างทางก็จะเจอพ่อค้าแม่ขายชักชวนเชื้อเชิญให้ชมสินค้าและจับจ่ายใช้สอยซื้อของที่ระลึก ปฏิเสธกันไม่หวาดไม่ไหว บางท่านถูกพ่อค้าแม่ค้าต่อว่าทำนองว่า "ถ้าไม่ซื้อ แล้วเขาจะไปขายใคร" กลับเป็นอย่างนั้นไป แม้เราจะบอกว่าไม่เอา ไม่อยากได้ พ่อค้าแม่ค้าก็จะเริ่มต่อรองราคากับเราครับ ต้องตั้งหน้าตั้งตาเดินแบบไม่สนใจจะดีกว่า

แน่นอนครับ ของทุกอย่างหาได้ที่มุมไบครับ ไม่ต้องไปขนลงเรือกลับมาครับ


ต่อตอน 3 (จบ) ครับ - ถ้ำและการจากลาชั่วนิรันดร์

\ (+_+) /









ไปมาแล้ว...เกาะช้าง (เกาะ Elephanta) ตอน 1 - ตั๋วและเรือ

เมื่อปลายเดือน ก.พ. 57 ได้มีโอกาสไปเยือน "เกาะช้าง" ที่เรา ๆ ชาวไทยในมุมไบเรียกขานกัน ซึ่งก็เป็นการแปลมาแบบตรง ๆ จากชื่อจริงว่าเกาะ Elephanta

เกาะนี้ตั้งอยู่ทางตะวันออกของมุมไบ เป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่รัฐมหาราษฏระถือเป็นหน้าเป็นตาอยู่เหมือนกัน ในแง่ของสถาปัตยกรรมทางศาสนาเพราะเกาะนี้มีถ้ำที่ขุดเข้าไปในภูเขาทำเป็นศาสนสถานของศาสนาเจน (หรือเชน) และฮินดู คล้ายกับถ้ำอันโด่งดังอย่างถ้ำเอลลอร่า (Ellora) แห่งเมืองออรังกาบัด (Aurangabad) และที่สำคัญตั้งอยู่ใกล้กับเมืองมุมไบมาก (ไปออรังกาบัด - รถทัวร์ 1 คืน / บิน 40 นาที จากตัวเมืองไปถ้ำอีก 40 นาที - 1 ชม. ครึ่ง) จึงเป็นโอกาสของเหล่านักท่องเที่ยวทั้งเจ้าบ้านและต่างชาติที่มีเวลาหรือทุนทรัพย์น้อย ประมาณว่าไหน ๆ มาถึงที่แล้วแต่ไม่มีโอกาสไปออรังกาบัด ก็ขอลองไปดูที่เกาะช้างเอาไอเดียสักหน่อย

ส่วนตัวผม ได้ยินชื่อเสียงเรียงนามเกาะช้างแห่งนี้มาตั้งแต่เดินทางมาถึงมุมไบใหม่ ๆ โดยเฉพาะ "ถ้าเคยไปออรังกาบัดแล้ว ไม่ต้องไปหรอก เสียเวลา เทียบกันไม่ได้" ... แน่นอนครับ ผมไปเยี่ยมถ้ำที่ออรังกาบัดมาแล้ว 2 รอบ จึงไม่มีความคิดผุดขึ้นมาแม้แต่น้อยที่จะไปเหยียบเกาะช้าง ... แต่สุดท้ายก็มีเหตุให้ต้องไปจนได้

การไปเกาะช้างนั้นง่ายแสนง่าย (แต่ก็ชุลมุน มั่วซั่วตามประสาแขก) เพียงซื้อตั๋วที่ร้านซึ่งตั้งอยู่หน้า "ประตูสู่อินเดีย" (Gateway of India) ซึ่งตั้งอยู่ทางตอนใต้ของมุมไบ แล้วก็เดินไปขึ้นเรือด้านหลัง "ประตูฯ" เรือก็จะพาคุณโต้คลื่นเบา ๆ ไปถึงเกาะช้างสบาย ๆ ใช้เวลาประมาณ 1 ชม. 15 นาที - 1 ชม. ครึ่งต่อเที่ยว เพราะฉะนั้นไป-กลับก็เผื่อไว้เลย 2 ชม. ครึ่ง - 3 ชม. ระหว่างทางก็มีวิวเมืองมุมไบให้ชม ซึ่งรวมถึงบริเวณท่าจอดเรือของกองทัพเรืออินเดียด้วย

ตั๋วเรือมีให้เลือกแบบธรรมดา กับแบบหรูหราไฮโซ ราคาต่างกันเพียง 30 รูปี พอเห็นราคาผมก็พุ่งเข้าหาตั๋วแบบหรูหราในทันที ด้วยราคาแสนถูก 150 รูปี คิดแค่เพียงว่า เอาฟระ !! เพื่อความอุ่นใจในเบื้องต้น



จากนั้นก็เดินหาที่ลงเรือแบบงมเข็มในบึงน้ำเน่า ไม่มีป้ายอะไรบอกทั้งสิ้น ข้อมูลตอนนี้มีแค่คนขายตั๋วชี้ ๆ บอกแบบเสียไม่ได้ว่า "เออ ... นั่นแหละ เข้าไปข้างใน" "go inside go inside" ไอ้เราก็นะ เห้ย inside ไหนฟระ ตาคนขายก็ตอบแบบปัดรำคาญ "inside. inside Gateway" ... คือ บริเวณล้อมรั่วของประตูฯ มันก็ไม่ได้เล็กไงครับพี่น้อง ผ่านด่าน รปภ. ตรวจค้นเข้าไปแล้วให้ไปทางไหนต่อล่ะ ไม่เคยเข้าไปสำรวจแบบถี่ถ้วนซะด้วย ... ปลงอารมณ์ 1 วินาที แล้วก็บอกตัวเองว่า "เออ เอาฟระ ไปตายเอาดาบหน้า" สุดท้ายถามตำรวจครับ ถึงจะพบทางลงเรือหลบด้านหลังประตูฯ 

นาทีแห่งความมั่วก็เกิดขึ้นอีกครั้ง ... มีทางลงอยู่ 4 ทาง แล้วไอ้ตั๋วเรือบริษัทนี้มันต้องทางไหน และเรือลำไหนไปเกาะช้าง ... แน่นอนครับ ไม่มีป้ายเช่นกัน มีเพียงคนตรวจตั๋ว คอยดูและฉีกตั๋ว ... ความมั่วเกินบรรยาย สุดท้ายก็ต้องถามชายฉีกตั๋ว

ผม - "this ticket where? here?"
ชายฉีกตั๋ว - "yes yes here. this boat on the left."

มองตามปลายนิ้วชายฉีกตั๋ว เห็นเรือไม้โทรม ๆ ที่น้่งเป็นแบบม้านั่งทำจากไม้กระดาน ความกว้างพอวางก้นได้ ม้านั่งวางตัวถอดยาวตามความยาวเรือ มีทั้งหมด 4 แถว หันหน้าเข้าหากัน ... ตลอดทางผู้โดยสารจึงมีโอกาสได้นั่งจ้องตากันอย่างเต็มอิ่ม ... ไรฟระเนี่ย


ผม - "you sure? this boat? not that one on the right? luxury na!!" (เรือทางขวาดูกีกว่าหน่อยและใหญ่กว่า เลยคิดว่า เห้ยยยย luxury นะเว้ย ลำนั้นรึเปล่า)
ชายฉีกตั๋ว - "no no. on the left" จบข่าว

แมร่งเอ้ย เนี่ยเหรอวะ luxury ... รับสภาพ ... ปวดตับจี๊ดถึงสมอง

ตั๋วก็แบบเรือข้ามฝากบ้านเรา ไม่มีกำหนดที่นั่ง จังหวะลงเรือจึงเกิดการช่วงชิง เพื่อพุ่งจับจองที่นั่ง แน่นอนครับ มีตั๋วไม่ได้แปลว่าจะมีที่นั่ง และเรือไม่แน่นไม่เต็ม ก็ไม่ออกครับ

สุดท้ายก็ได้ที่นั่งเสียดสีบั่นท้ายกะป้าแขกสมบูรณ์ ... ก้นแตะม้านั่งก็คิดทันทีว่าเมื่อไหร่จะถึงฟระเนี่ย ...

ยังครับ ยังไม่จบตอน เพราะดันมองไปเห็นชาวต่างชาติขึ้นเรือมา แต่เดินต่อเพื่อไปขึ้นอีกลำที่จอดแนบกันอยู่ และลำนั้นดูดีกว่าเป็นไหน ๆ ... ไม่รอช้าพุ่งไปเสี่ยงดวงถามเด็กท้ายเรือ ...

ผม - "you you, I go that boat, ok?" พร้อมกับชี้ไปยังเรือลำนั้น
เด็กท้ายเรือ - "no no" ... จบ

โชคยังดี ที่พักก้นไม่หาย ... นั่งลงด้วยความละเหี่ยใจ

และละเหี่ยหนักต่อไปอีกหลังจากมีคนชี้ให้ดูเสื้อชูชีพสีส้มดำเครอะจำนวน 4 ตัว ที่วางอยู่บนไม้โครงเรือเหนือหัว ... ผู้โดยสารทั้งสิ้นน่าจะไม่น้อยกว่า 60 คน ... คือ มีแค่นี้ ??? ความปลอดภัยเป็นเลิศ

ทันใดนั้นเองก็มีผู้ตาดีชี้ให้เห็นอุปกรณ์ชูชีพอีกอย่าง "นั่นไง ๆ เสื้อชูชีพแบบแขก ใช้ทีหนึ่ง ได้หลายคนด้วย" หันไปมองตามคำบอกก็เห็นแต่ม้านั่งไม้ ไม่มีอะไร ... "นั่นไง ๆ" พร้อมกับชี้ไปที่ท่อนไม้ขนาดสัก 3 มือโอบ ยาวสัก 3-4 เมตร ... ขำไม่ออก ... โชคดีครับ ดวงยังไม่ตกถึงขั้นต้องใช้

เมื่อนั่งเรือออกจากท่าเรือตรงประตูฯ (ด้านขวาของภาพ) ก็จะได้เห็นภาพนี้ครับ ส่วนอาคารที่มีหลังคาทรงโดม คือ
โรงแรม Taj Mahal Palace อันเลื่องชื่อของมุมไบ ส่วนเรือที่เห็น คือ เรือเฟอรี่ครับ


ต่อตอน 2 ครับ - รถไฟและบันไดสลัว

๖(-_-)./