Friday, 15 May 2015

แทกซี่ Easy Cabs "ง่ายสำหรับเรา ยากสำหรับคุณ"

กลับจากเดลีมาถึงมุมไบ ตั้งใจว่าจะใช้บริการแทกซี่ "จ่ายก่อน ถึงไม่ถึงว่ากัน" (prepaid) ที่สนามบินมุมไบ โดยมีทั้งแบบแทกซี่ธรรมดา (ดำ-เหลือง ไม่แอร์ และขาว-ฟ้า แอร์) และแทกซี่แบบโทรเรียก ซึ่งมี 3 - 4 ค่าย ที่มีเคานเตอร์ในสนามบิน โดยเราสามารถติดต่อที่เคานเตอร์เพื่อแจ้งจุดหมายและชำระเงินค่าบริการ (ที่นี่เรียก ค่าธรรมเนียมความสะดวก) ได้เลย และไปจ่ายค่าโดยสารกับคนชับแทกซี่ต่างหากตามมิเตอร์ (ไม่แน่ใจว่ามีแบบเหมาจ่ายตามระยะทางและจ่ายเงินที่เคานเตอร์เลยหรือไม่)

ตอนแรกก็ว่าจะใช้บริการ Meru Taxi ที่เคยใช้อยู่เป็นประจำโดยเรียกผ่าน app ในมือถือ (ครั้งนี้ไม่ได้เรียกเตรียมไว้) กะว่าจะไปเคานเตอร์ Meru ที่สนามบิน จะด้วยฝนฟ้าเป็นใจเทวดาหยอกล้อ หรือเหตุผลกลใดมิทราบได้ บันดาลใจให้ไม่รอคิวที่เคานเตอร์ Meru และเดินทิ่มพรวดไปเคานเตอร์ Easy Cab ที่ไร้คิวด้วยความมั่นใจ

เมื่อถึงเคานเตอร์ อีพนักงานแขกผู้ชายก็หาได้สนใจ แยแส ประการใดไม่ ไม่มีการสอบถามหรือนำเสนออะไรทั้งสิ้น คือ แมร่งนั่งหันหน้าเฉียง ๆ มองไปทางอื่นอย่างเมินเฉย ก่อนจะสำเหนียกได้ว่ามีลูกค้ามาและหันหน้ามาพ่นภาษาอิงลิชสำเนียงแขก ๆ ด้วยความเร็วประดุจเสียงผายลมที่แว่วหายไปกับสายลม เหลือไว้เพียงความงุนงงว่า "เมื่อกี้พูดอะไรนะ พูดกะเราเหรอ" โชคดีที่อยู่มานาน จับใจความสำคัญพอได้ว่า ต้องจ่าย 80 รูปีตรงนี้ เป็นค่า convenience charge หรือค่าบริการนั่นเอง ที่เหลือไปจ่ายให้คนขับรถ

จากนั้นอีตานั่นก็หันกลับไปทางเดิม ไม่สนใจรับรู้อะไรทั้งสิ้น คือ แบบ "เห้ยยยย ๆๆๆๆๆ ไม่ได้มาขอนั่งฟรีนะโว้ย" ตาขวาเหลือบไปมองเคาน์เตอร์ Meru อีกครั้ง แต่ก็ยังต้องรอคิว เห็นว่าดึกมากแล้ว (เครื่องลงประมาณ 23.30 น.) แม้จะหงุดหงิดรำคาญ รังเกียจพนักงานประเภทนี้มากแค่ไหน ก็กัดฟันหันไปกระชากเสียงใส่หนึ่งทีด้วยความหงุดหงิดว่า "แล้วไงต่อ?"

คราวนี้ นาง (พนักงานเป็น ผช. นะ ไม่ได้เบี่ยงด้วย) ถึงหันมาถามว่า

นางพนักงาน  - "ตกลงจะเอาแทกซี่? จะให้จองรถเลยมั้ย? จะให้จองรถเลยมั้ย?" 
ผม - "เออเอา ไป ... (ชื่อพื้นที่จุดหมาย)" (สมมติว่าชื่อ Cuffe Parade)
นางพนักงาน - "จ่ายตรงนี้ 80 ที่เหลือไปจ่ายที่คนขับ รถยูจะหน้าตาแบบนี้"
ผมยื่นเงินให้

ใบเสร็จค่าความสะดวก (แต่บริการห่วย ๆ)
หลังจากยื่นใบเสร็จค่าบริการให้ นางก็คว้ารูปขนาดสัก A3 บนพื้นแข็งอย่างดีมาให้ดู เห็นเป็นรูปรถสีเงินวาว โมเดลประมาณโตโยต้า Altis รุ่นเมื่อสัก 8-10 ปีที่แล้ว แต่จำไม่ได้แน่ จากนั้นก็ยื่นสลิปที่ระบุชื่อคนขับ เบอร์รถ (เลขท้าย 4 ตัวของทะเบียนรถ) เบอร์โทรติดต่อคนขับ และจุดหมายปลายทางที่เราบอกไป (ชื่อพื้นที่ที่เราบอก) และก็พ่นอิงลิชอย่างลมตดว่า "ออกไปเลี้ยวขวา เลี้ยวซ้าย ตรงไป ไปที่รอรถ รถจะไปรับตรงนั้น"

โชคดีที่เราคุ้นเคย พอรู้ว่าตรงไหน แต่พวกมาครั้งแรกคงมึนทีเดียว ผมเองยังคิดไปเองตอนนั้นว่า คงจะมีป้ายบอกเนอะว่าตรงนี้คือ Easy Cab (แน่นอนครับ คิดไปเอง) ผมก็เดินไปที่รอรถ ไม่น่าเชื่อนะครับ เดินถือสลิปรายละเอียดพ้นทางออกของอาคารมาได้ไม่ 10 ม. ดีก็มีแขกที่ 1 พุ่งเข้ามาหา และเริ่มบทสนทนา

แขก 1 - "Easy Cab แม่นบ่ มาเลย ๆ รถไอรออยู่แล้ว"

ตอนนั้นผมงงนะ ว่าเอ๊ะ ให้คนขับมานั่งรอตรงรอรับคนเนี่ยเหรอ ไม่ใช่ว่าอยู่กับรถแล้วรอเรียกมารับผู้โดยสารเหรอ แต่ก็เออสงสัยมาดักเรา แต่ก็ไม่ไว้ใจซะทีเดียว เพราะไม่เชื่อว่าระบบมันจะดี ฉับไวขนาดเดินออกมาแล้วมาดักเจอเลย

ผม - "แม่น ๆ ยู ชื่อ ... (ตามสลิปที่เคานเตอร์ให้มา) เหรอ ??? ช้านจะไป Cuffe Parade"

แขกที่ 1 - "ไปโรงแรมไหน ๆ"
ผม - "ไม่ จะกลับบ้าน"
แขกที่ 1 - "ทางนั้น ๆ"  แล้วก็ชี้ให้ผมเดินต่อไปยังจุดรอรถ และแยกตัวจากไป คงกะจะฟันนักท่องเที่ยวเป็นแน่แท้

3 ก้าวถัดมา แขกที่ 2 ก็พุ่งเข้ามา น่าแปลกใจที่ทุกคนรู้ว่าผมใช้ Easy Cab เพราะเริ่มบทสนทนาแบบเดียวกันคือ ถามว่า Easy Cab ใช่หรือไม่

แขกที่ 2 - "Easy Cab ใช่ไหม มาเลย ๆ รถรออยู่" (ทุกคนพร้อมใจกันเอารถมารอรับผม ... คนสำคัญสุด ๆ)
ผม - "มรึงเป็นใครเนี่ย!?!?!?" พร้อมสีหน้าดุดัน เปล่งรังสีความหงุดหงิดรำคาญ "ชื่อ ... รึไง?!?!"
แขกที่ 2 - "อ่อ มาเลย มาทางนี้เลย จะไปไหน?" (ทำท่าเหมือนรู้จักอีตาคนขับ)
ผม - "Cuffe Parade" แต่ผมก็ยังเดินมุ่งไปที่รอรถ แต่ก็ตอบ ๆ ไปแบบเสียไม่ได้
แขกที่ 2 "โอ้ Cuffe Parade ... ช้านไม่ใช่ชื่อนี้ ช้านชื่อ ..." แล้วก็เดินจากไป อันนี้จริง ๆ ไม่รู้ว่าทำไมถึงล้มเลิกไป อาจจะสำเหนียกว่า นักท่องเที่ยวมักจะบอกขื่อโรงแรมเป็นอันดับแรก ไม่บอกชื่อพื้นที่ (รึเปล่า??)

รอดมา 2 แขก และแอบสมเพชเวทนาคนที่หากินจากการเอาเปรียบคนอื่น แต่ก็ช่างมัน กรรมใครกรรมมัน (แต่ไม่ได้แปลว่า ไม่รำคาญนะ)

ยืนรอรถอยู่ชั่ว 5 - 10 นาที ก็เห็นรถขับวนเข้ามา สีเงินหมองเลย (รอยขีดข่วนอย่างกับวิ่งผ่านแนวลวดหนามกั้นม็อบมา แต่ก็เป็นปกติของรถที่นี่) เชคเลขท้าย 4 ตัว ปรากฏว่าตรง จึงรีบพุ่งเข้าไปหา ... ทันใดนั้นเอง มันก็ขับเลยเราไป ... ต้องเสียเวลาเดินย้อนตามไปอีกนิดหน่อย รถหยุดจอดรอ ผมก็ถึงรถพอดี พร้อมส่งสัญญาณให้ตาคนขับ ซึ่งก็กุลีกุจอลงจากรถมายกกระเป๋าใส่ท้ายรถให้ ผมเริ่มยิ้มออก บอกกับตัวเองว่า "น่าจะโออยู่"

ขึ้นรถปุ๊บ
คนขับรถหันมาถามทันที - "$%@##$%*& ????"
ผม - "Cuffe Parade" (เหมือนฟังเข้าใจ 555 - จริงแล้ว งงนิดนึงว่าทำไมไม่มี keyword .. Kitare ที่แปลว่า Where หรือ Kaunsa ที่แปลว่า which แต่ก็นะ คงจะไม่มาถามสารทุกข์สุขดิบ)
คนขับ - "ถวนคำเดิม ย้ำ ๆๆๆๆๆๆๆ"
ผมเริ่มหวั่นใจ อะไรฟระ จะเอาอะไร ก็บอกว่า "Cuffe Parade ไงล่ะ"
คนขับยังคงทำเสมือนหนึ่งว่าพูดเป็นแค่นั้น พร้อมกับเริ่มใช้เสียงดังกรรโชกใส่ ...  
คนขับ - "ทวนคำเดิม"
ผมเริ่มคิดว่า เอ๊ะ หรือถามถึงสลิป ผมก็ลองยื่นสลิปให้ เขาก็รับไป ดู ๆ แล้วก็ ... หันมาทวนคำเดิม 555 ... จบเห่ ไม่รู้แล้วเว้ยยยย ...

สุดท้าย คนขับคงคิดได้ ออกรถจากจุดรับผู้โดยสาร แถมทำเนียนเอาสลิปที่ผมให้ไปยื่นให้ รปภ. ที่ดูทางออก โดนตบรถและด่าซะ สุดท้ายก็ต้องยื่นสลิปที่ถูกต้องให้แทน (น่าจะเป็นคูปองสำหรับเข้าไปรับผู้โดยสารในบริเวณที่จัดไว้ให้) ผมกะว่า เห่อ เรียบร้อยสักที แต่รถนี่ทั้งสกปรกและเหม็น กลิ่นเหมือนท่อระบายน้ำหรือร้านขายของชำโบราณ แถมมีขยะโยน ๆ ให้เห็นอยู่ในรถ คงไม่ได้ทำความสะอาดเลย แอร์ก็ไม่ค่อยเย็นนัก แต่เอาเถอะ แปบเดียวเท่านั้น

แต่แล้ว .... เห้ย ไปไหนฟระ ทำไมไม่ออกจากสนามบิน

ปรากฏว่านางวนไปหาคนขับค่ายเดียวกันที่จอดรถรออยู่ในที่จอดของค่าย เพื่อให้มาถามผมเป็นเป็นอิงลิชว่าจะไปไหน ... ผม - "Cuffe Parade ไง" คุณเพื่อนก็หันไปบอกอีตานั่นว่า "Cuffe Parade แถว ๆ Colaba" แล้วก็เดินจากไปแบบกลัวเสียเวลา

คนรถออกรถอีกครั้งวิ่งไปตามเส้นทางที่คุ้นเคย จนกระทั่งฉีกออกไปทางสายเก่า ซึ่งผมไม่คุ้นทาง ก็ได้แต่เปิด Google Map ตาม กะว่า อย่าขับวนให้เห็นนะ ไม่งั้นมีเรื่องแน่ (อันนี้มีประโยชน์มากนะครับ ขอแนะนำว่าให้ใช้กัน อย่าได้ไว้ใจคนขับเกินไปนัก)

ผ่านไปสักพักก็ไม่มีการขับอ้มขับวนเกิดขึ้นแต่อย่างใด แต่อยู่ดี ๆ นางก็ชะลอรถและข้บเอื่อย ๆ เหมือนหนองซึมจากแผล ... เห่อ อะไรอีกล่ะคราวนี้ (ที่ผ่านมาเคยเจอทั้งขอเข้าห้องน้ำ ขอเติมน้ำ ขอเติมน้ำมัน ขอเติมแก๊ส จึงไม่ค่อยแปลกใจ - แทกซี่อินเดีย เติมน้ำมันยังให้เราจ่ายค่าเวลาให้ 555 สุดยอดมั้ยล่ะ ... แทกซี่พวกนี้จอดรอดักผู้โดยสารนะครับ คงกะว่ามีคนเรียกค่อยวนผ่านไปจัดการธุระ ถ้าเป็นพวกที่วิ่งตลอดแล้วโดนเรียกติด ๆ ก็เข้าใจได้อยู่)

สรุปคือ นางหาคนถามทาง ผมนี่ ... อยากจะขำ แต่ขำไม่ออก อยากจะด่าบริษัท ห่วยแตกจริง ๆ ไอ้คนจองรถ นอกจากมารยาทจะห่วย บริการจะเฮงซวยแล้ว ยังไม่สื่อสารกับคนขับให้เรียบร้อยว่าจุดหมายคือที่ใด แล้วบริษัทคัดเลือกรับคนขับรถยังไง ไม่รู้จักทางขนาดนี้ให้มาขับได้อย่างไร ผมอยากจะ complaint ไปที่บริษัท แต่หาช่องทางในอินเตอร์เนทไม่เจอ เลยลืม ๆ มันไป (แน่นอนครับ ผมไม่โทรไปแน่นอน เพราะคงคุยกันไม่รู้เรื่อง เสียดายค่าโทรศัพท์)

ถามเสร็จนางก็ขับต่อ (เหมือนจะโดนด่ามากกว่า เพราะดันไปถามคนที่ดูเหมือนจะเป็นผู้มีอันจะกิน) ขับไปได้พักนึง เอาอีก ชะลออีก สุดท้ายได้ถามคนขับรถแทกซี่ดำ-เหลืองที่จอดอยู่ข้างทาง ผมนี่อยากจะย้ายรถ ถ้าไม่ติดว่าจ่ายอีค่าความสะดวก 80 รูปีไปแล้ว แถมอากาศร้อนอบอ้าวสุด ๆ จำเป็นต้องอาศัยไอเย็นจากแอร์ แม้จะไม่มากแต่ก็ยังดี

พอออกรถครั้งนี้ ผมถามคนขับ "นี่ไม่รู้ทางรึไง" ผมขึ้นเสียงกลับ แล้วก็ลองบอกชื่อถนนสายหลักแต่ก็ยังไม่กระดิกอีก เหมือนบอกว่าไป สุขุมวิท แล้วไม่รู้จักว่าอยู่ที่ไหน ... ไหวมั้ย

ผมเลยจัดซะ ข่มขวัญสักหน่อย - "ไป ๆๆ ขับไป ตรงไป เดี๋ยวบอกทางเอง" (บ้ารึเปล่า ไม่รู้ทางอะไรเลย) คือจังหวะนั้นโผล่กลับมาในทางที่ใช้ประจำแล้ว เลยเสียงดังได้ 555

สุดท้ายก็เดินทางถึงที่พักโดยสวัสดิภาพ

ตรื๊ด ... ใบเสร็จถูกพิมพ์ออกมา ปรากฏมีค่าจอดรอผู้โดยสาร (WAIT FARE) ครับ 3 นาที 7 รูปี นี่ถ้าหากันไม่เจอแล้วรอนานกว่านี้จะโดนเท่าไหร่เนี่ย ... แล้วจอดรอตอนไหนฟระ 3 นาที (น่าจะเป็นตอนนางไปให้เพื่อนช่วยถามผม) รวมแล้วโดนไปเกือบ 700 รูปี หึ ๆ นับว่าแย่ทีเดียวสำหรับเวลาแบบนี้ที่รถไม่ติดเลยและไม่ได้ขึ้นทางพิเศษ แต่จะว่าไปก็ไม่แย่มาก แน่นอนครับไม่ทิป จริงผมควรจะคิดค่าบริการกับทางบริษ้ทนะ ค่าความอดทน และค่าบอกทาง



ผมเลยต้องคิดสโลแกนให้ Easy Cabs สักหน่อยว่า "ง่ายสำหรับเรา ยากสำหรับคุณ" 


* * * * * * * * * * *








Thursday, 14 May 2015

Agra อัครา ที่ตั้งสุสานพลังความรัก

วันนี้เรานั่งรถจากเดลีไป Agra แวะจุดพักรถไปหนึ่งรอบ และได้พยายามซื้อไอศกรีม Mother Dairy ซึ่งเป็นแบรนด์ของอินเดียเอง ประมาณว่า อยากจะให้ผู้มาเยือนได้ลองชิม แต่พอฟังราคาแล้วได้แต่บ่นอุบอิบว่า "your father buy di" โก่งราคากว่า 2 เท่า และแสดงสีหน้าไม่แยแส ไม่ซื้ออย่าซื้อตรูไม่สน ประหนึ่งว่าคาบรองเท้าทองคำมาจากท้องแม่ ไม่ต้องทำมาหากินก็อยู่ได้สบาย ๆ ผมล่ะขยะแขยงนักไอ้คนประเภทนี้ มีคนเคยด่าให้ฟังว่า อินเดียจะมีคนประเภท "จน โง่ (แต่เชื่อว่าตนเองฉลาด) หยิ่ง" ให้เราได้เสียอารมณ์อยู่เป็นนิจ

เราก็ไม่ได้โง่เนอะ ... คิดกับตัวเอง

จากนั้นเรามุ่งหน้า Taj Mahal เพื่อไปให้ถึงอินเดีย (จริง ๆ ผมว่า ท้องเสียสิ ถึงจะนับว่าถึงอินเดีย) แม้จะอยู่อินเดียมาเกือบ 3 ปี แต่ครั้งนี้ก็เป็นครั้งแรกที่ได้ไป Taj Mahal และขอบอกว่า ร้อนมากกกกกกกกก เหมือนยืนตากลมจากคอมเพรสเซอร์แอร์กลางแดดที่ระเบียงชั้น 69 ไร้ซึ่งร่มเงา มันร้อนมาก

ก่อนจะเข้าไปถึงเขตวัง Taj Mahal (Mahal = วัง) เราต้องไปซื้อตั๋วที่ศูนย์ขายตั๋ว (นำตั๋วไปแลกน้ำ 1 ขวดเล็กและถุงครอบรองเท้า) ก่อนจะแย่งกันกระโดดขึ้นรถไฟฟ้า (ประมาณรถกอล์ฟ 3 ตอน) ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายในประเทศที่ไม่รู้จักการเข้าคิว หลังจากโดนชกไปหนึ่งคัน (เราสมาชิก 6 คน ก็ย่อมต้องการจะไปพร้อมกัน รถคันหนึ่งได้ 10 - 12 คน จริง ๆ แล้วไม่น่าจะหารถยาก) โดยหมู่มวลผู้รู้จักแต่ประโยชน์ส่วนตน เราก็ถึงกับต้องไปยืนดักรถและเรียกให้จอดเพื่อจะได้ขึ้น แต่มันไม่จอดทันทีหรอกนะ ประดุจหนึ่งจิตวิญญาณแห่งความถูกต้องเข้าสิงชั่วจณะ ต้องจอดให้ตรงจุด เราเลยต้องจ้ำตามเล็กน้อย แต่ก็ได้ขึ้นกันครบ นั่งรถไปประมาณ 1 กม. 

Taj Mahal นอกจากจะห้ามนำของที่ ๆ ไหนก็ห้ามนำเข้าไป เช่น อาวุธ ยาเสพติด ฯลฯ ยังห้ามนำกระดาษ สมุดจดบันทึก บุหรี่ ไฟแช็ก ท๊อฟฟี่ลูกอม ขนม นมเนยเข้าไปในบริเวณเขต Taj Mahal อีกด้วย ซึ่งก็น่าจะไปเป็นไปตามมาตรฐานการอนุรักษ์มรดกโลกกระมัง แต่ครั้นจะเตรียมที่ฝากของไว้ก็หาไม่ (หรือเราหาไม่เจอเอง แต่คิดว่าไม่ได้เตรียมให้ เพราะโดนไล่ให้ออกไปฝากข้างนอกเขตวัง ซึ่งสุดท้ายต้องฝากกับร้านค้าแถว ๆ นั้น ด้วยเงื่อนไขว่า จะต้องกลับไปดูสินค้าที่ีร้านเมื่อออกมาแล้ว

http://www.tajmahal.gov.in/do&nots.html ... สิ่งที่ไม่ควรทำ / ควรทำในการเข้าชม Taj Mahal บางข้อก็มีแต่ชาวต่างชาตินั่นแหละครับที่ปฏิบัติตาม ส่วนเจ้าของประเทศเขาอิสระเต็มเปี่ยม หาได้แคร์ไม่ ตรงไหนห้ามถ่ายภาพ ชั้นก็จะถ่าย ขนาดว่าเห็นคนข้างหน้าโดนเจ้าหน้าที่ห้ามก็แล้ว เจ้าหน้าที่เป่านกหวีดใส่ก็แล้ว ... หาได้แคร์ไม่และไม่ได้แอบถ่ายด้วยนะ ยืนจัดท่ารอจังหวะกันเต็มที่ และเจ้าหน้าที่ก็ทำอะไรไม่ได้

ใครไปเที่ยวอินเดียแล้ว ก็ควรแวะไปสักหน่อยครับ อลังการงานสร้าง สิ่งปลูกสร้าง + สวนสวย ไฮไลท์คงไม่ใช่ด้านในของ Taj Mahal ซึ่งเปิดให้เข้าแค่เพียงส่วนเดียวเพื่อไปขมที่ฝังพระศพขององค์จักรพรรติ Shah Jahan และพระนาง Mumtaz แต่เป็นความงามของวังจากด้านนอกมากกว่า ซึ่งแม้หินอ่อนจะออกโทนเหลืองตามกาลเวลาและการดูแลรักษา (กำลังค่อย ๆ ขัดขาวอยู่) แต่ก็นับว่าอลังการน่าไปเห็นสักครั้งครับ
แดดแรงขนาดนี้ ลองคิดดูว่าม้านั่งหินจะร้อนแค่ไหน ... แต่ก็ยังได้รับความนิยมไม่ขาดสาย

เมื่อเสร็จสิ้นภารกิจ เราก็ออกไปหารถแบบเดิมเพิื่อขึ้นกลับไปยังศูนย์ขายตั๋ว ส่วนคนที่เอาของไปฝากก็ไปตามกลับมาพร้อมมีแขกจากร้านนั้นเดินตามเซ้าซี้ให้ซื้อของที่ร้าน ถึงขนาดว่า "อ้าวไม่ซื้อเลย แล้วจะให้ค่าฝากของเท่าไหร่ 500 มั้ย ?!?!?" ทางเราก็นิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว (ไม่แน่ใจว่าคนที่ฝากของได้สละเวลาดูสินค้าที่ร้านสักหน่อยหรือไม่ แต่คิดว่าไม่) กลับมาเรื่องเจ้ารถเจ้ากรรม ... เมื่อเดินออกมาเราก็เห็นคันว่างจอดรออยู่ พอจะขึ้นกลับโดนไล่ให้ไปขึ้นอีกคัน ประมาณว่า ขึ้นคันนั้นให้เต็มก่อน (คือ จริง ๆ นะ ถ้าขึ้นไปเนี่ย ต้องขี่คอนั่งแล้วโว้ย ...) เราก็ไม่ขึ้นนะ ยอมยืนรอ คราวนี้ พอคันนั้นไป ก็กะว่า อีคันที่เราพยายามจะขึ้นตอนแรกจะขยับรถมาให้ขึ้น ... มันไม่มา จนสักพัก ตาคนขับถึงจะเริ่มขยับร่างเคลื่อนรถมา ทันใดนั้นเอง มนุษย์แขกก็เข้าขวางและเรียกให้จอด ... เออมันจอด มนุษย์แขกก็แย่งกันขึ้น แถมมีการจองที่เพื่อเผื่อเพื่อนฝูงวงศ์วานรขนฟรึมอีก ที่คิดว่าทุเรศที่สุดคือ การยืนมือมาจองที่ ทั้งที่ตัวเองยังขึ้นรถไม่ได้ (พอนึกภาพออกป่ะคับ) ส่วนเราที่ยืนรอ เห็นดังนั้นก็ลุย สรุปว่า ได้ที่นั่งกันสำเร็จ ... ผมเกลียดจริง ๆ
 
หลังจากฟาด KFC ที่อยู่ใกล้ ๆ เสร็จ (ที่พึ่งของชาวต่างชาติ โดยเฉพาะในหน้าร้อนแบบนี้) เราก็มุ่งหน้า Agra Fort ที่นี่เป็นสีแดงเพราะสร้างจากหินทรายสีแดง หรือบางส่วนก็ซ่อมแล้วเอาหินทรายนี้ปูด้านนอกอีกที ที่นี่มีดีที่เห็นวิว Taj Mahal ชัดเจน (ก็เป็นที่กักบริเวณพระเจ้า Shah Jahan นี่นะ)


จบจาก Agra Fort เราก็มุ่งหน้ากลับนิวเดลี  และได้ลองพยายามซื้อไอศกรีมอีกครั้ง คราวนี้ราคาปกติ แต่บอกว่ามีขายเพียงอย่างเดียวคือ อันที่แพงที่สุด ... ผมนี่ อยากจะหัวร่อหงอหงาย เห็นอยู่แวบ ๆ ว่า เมื่อกี้ยังมีคนซื้อแบบอื่นอยู่เลย หรือจะซวยจริง ๆ ทุกอย่างหมดพอดีนะ ... ก็ไม่แน่ ...

ปล. ฤดูหนาวเป็น high season แต่ได้ยินว่า วันธรรมดาคนไม่เยอะนัก น่าจะเหมาะกับการไปเยี่ยมชม Taj Mahal ควรหลีกเลี่ยงหน้าร้อนจริง ๆ อย่างที่ Agra Fort นี้ ก็มีหนึ่งในทีมงานของเราน็อคหมดสภาพ


* * * * * * * * * *
 

Wednesday, 13 May 2015

Jaipur ชัยปุระ เมืองสีชมพู และนครแห่งความรัก

เมื่อต้นเดือน พ.ค. ที่ผ่านมา (2558) ได้มีโอกาสไปเยือนเมืองหลวงนิวเดลี และไปต่อชัยปุระ และอัครา (งงกันไปเลยล่ะสิว่ามันคือที่ใดกัน มันคือ Jaipur และ Agra นั่นเอง) ตอนที่วางแผนจะไปก็ไม่ได้คิดอะไรมาก พอจัดการอะไรเสร็จก็เริ่มคิดได้ว่า เห้ยยยย หน้าร้อนแล้วนี่หว่า ... และก็ไม่ผิดหวังจริง ๆ ร้อนตับระเบิดกันไปทุกวัน หนังหน้าก็แดงเกรียมพองาม อาศัยที่อาจจะหนาบ้างทนบ้างเลยไม่ได้ลอกออกมาให้ได้เจ็บ ส่วนแขนขาก็ออกสีแทน (คนเขาทักมา ไม่ได้มโนไปเอง) งดงาม (อันนี้คิดเอง)

Jaipur เป็นเมืองที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองสีชมพู (Pink City) เพราะตึกรามบ้านช่องโซนเมืองเก่าล้วนเป็นสีชมพู ส่วนเหตุผลที่ว่าทำไมสีนี้ ก็มีหลายแนว เช่นเพราะ (1) เจ้าผู้ครองนคร Jaipur สมัยก่อน (มหาราชา) ชอบสีชมพู ชาวบ้านชาวเมืองก็เลยจัดให้ หรือ 2. ก็ทาไปงั้น ๆ อ่ะ สร้างจุดขายของเมือง (3) ก็เป็น Pink City เป็น City of Love ไง ก็ต้องสีชมพูสิ หรือ (4) (ที่ผมว่าฟังดูเข้าท่าเข้าทางที่สุด) เพราะว่าสถาปัตยกรรมสมัยเก่าของ Jaipur นิยมใช้หินทรายสีชมพู (pink sandstone) ในการก่อสร้าง ต่อมา เพื่อคงความคลัง ชาวบ้านชาวเมืองเลยทาสีบ้านเรือนออกโทนชมพูเพื่อให้คล้ายสีของหินทราย

Jaipur อยู่ไม่ไกลจากเดลี นั่งรถเช่าไปก็ราว ๆ 5 - 6 ชม. (หรืออาจจะน้อยกว่านั้น ขึ้นกับประเภทของรถ) นักท่องเที่ยวจึงนิยมไปกันมาก เดินชนกันไปมา แม้จะเป็นหน้า low season (ฤดูหนาวเป็นหน้า high season ทุกอย่างจะแพงทีเดียว) และทำให้เมืองแห่งนี้มีความเป็นเชิงพาณิชย์สูง (ซึ่งบางครั้งมันน่าหงุดหงิดใจจริง ๆ) เดินไปตามสถานที่ท่องเที่ยวดัง ๆ ให้อารมณ์คล้ายย่านสีลมเมื่อสัก 20 ปีที่แล้ว

สถาปัตยกรรมส่วนใหญ่เป็นศิลปะโมกุล มีอิทธิพลของศิลปะอิสลาม เช่น ทรงโดมต่าง ๆ และใช้วัสดุหลักคือ หินทรายและหินอ่อน ซึ่งจะว่าไป ผมก็ไม่ได้รู้สึกตื่นตาตื่นใจนัก ไม่ว่าจะเป็น Amber Fort / City Palace ที่ได้เข้าไปชม หรือ Jal Mahal (Water Palace) / Hawa Mahal (Wind Palace) / Albert Hall Museum ที่เพียงไปแวะถ่ายรูป จะมีเพียง Mantar Jantar ที่แบบว่า "โอ้ววววว มันซับซ้อนยิ่งนัก" บอกเลยว่า ถ้าได้เข้าไป ขอให้จ้างไกด์ คุณจะได้ความรู้เยอะมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่งถ้าสนในดาราศาสตร์หรือโหราศาสตร์เป็นทุนอยู่แล้ว

Amber Fort

Peacock Gate @ City Palace อันนี้งาม ปล. วังแห่งนี้ยังมีส่วนที่ทายาทมหาราชาใช้อาศัยในปัจจุบัน

Hawal Mahal วังแห่งสายลม ... เพราะมีหน้าต่างให้ลมผ่านจำนวนมาก (เขาบอกมาแบบนี้จริง ๆ)
Albert Hall Museum



Jantar Mantar แปลง่าย ๆ ว่า เครื่องมือ + วิธี (equipments n methods) บางที่อาจจะแปลว่า instruments n calculation รวม ๆ แล้ว JM คือ สถานสังเกตดวงดาวในยุคปี ... จำไม่ได้แล้ว และมหาราชา Jai Singh ซึ่งชื่นชอบดาราศาสตร์มาก โดย JM เป็นแห่งที่ 5 และแห่งสุดท้ายที่ทรงสร้างขึ้นทั่วอินเดีย และนับว่าเป็นแห่งที่เครื่องมือเป๊ะที่สุด อย่างนาฬิกาแดดอันที่ใหญ่ที่สุดนี่เป๊ะระดับ 2 วินาที (คือ คลาดเคลื่อนสูงสุดเพียง 2 วินาที)

แผนที่ดวงดาว - แกะสลักบนหินอ่อน - ใช้ได้จริงตลอดปี

นฬก. แดดที่ใหญ่ที่สุดในโลก แม่นยำระดับ 2 วินาที สูงเป็นร้อยฟุต
คุณไกด์อธิบายวิธีการคำนวณละเอียดมาก แต่ก็ตามทันบ้างไม่ทันบ้าง ช่วงที่ผมไป นฬก.แดดที่ Jaipur จะมีค่าเพี้ยน - 23 นาที คือ เห็นเวลาแล้วต้องบวกอีก 23 นาที ถึงจะได้เวลามาตรฐานของอินเดีย โดยเหตุผลคือเพราะเวลาลน นฬก.แดด เป็นเวลาของ Jaipur ส่วนเวลามาตรฐานอินเดียนั้น ใช้เมือง Allahabad รัฐอุตตรประเทศ (Uttra Pradesh - UP) เป็นเกณฑ์ อีกทั้งอินเดียช่างกว้างใหญ่ไพศาลแต่มีเพียง time zone เดียว ... รายละเอียดมากมายสมควรไปดูด้วยตาตัวเองครับ

นอกจากนี้ ยังมีเครื่องมือดูลัคนาราศีเกิดและอิทธิพลของดวงดาวต่าง ๆ ณ เวลาตกฝาก ต่อบุคคล

ค่ำคืนที่ Jaipur เรามุ่งไปรับประทานอาหารที่ร้าน Saffron โรงเรม Jaipur Marriott นับได้ว่า คุ้มค่าราคาทีเดียว เป็นอาหารอินเดียที่อร่อย จากนั้นก็กลับสู่นิวาสสถาน นามว่า Samode Haveli เป็นวังเก่า (หรือประมาณบ้านขุนนางเก่า) หรูหราทีเดียว แต่ราคาไม่น่าเกลียด ห้องกว้างขวางใหญ่โต ห้องน้ำนี่เกือบเตะตะกร้อได้ แต่อาจจะหลอนไปบ้างเพราะเล่นแขวนรูปบุคคลเต็มห้องไปหมด ไม่รู้ว่าคือ เจ้าของเดิมรึเปล่า ทีเด็ดอีกอันคงต้องยกให้อาหารเช้า ที่มีหลากหลายทั้งแขกไม่แขก ผู้ที่ไม่นิยมเครื่องเทศและอาหารอินเดียจึงอยู่ได้สบาย สระว่ายน้ำสวยงาม ฟิตเนสเป็นห้องกระจกทันสมัยแต่ผสมผสานกันได้ลงตัวกับโรงแรมสไตล์ heritage (http://www.samode.com/samodehaveli/ - ไม่มีเอี่ยวใด ๆ นะค้าบ)

ก่อนจาก Jaipur เรามุ่งหน้าตามรอบ  Batman: the Dark Knight Rises ออกไปตามหา Chand Boari Stepwell ที่ Abhaneri ประมาณ 90 กม. จาก Jaipur น่าเสียดายที่เข้าได้เพียงแต่ชั้นบนสุด ไม่สามารถเดินต่อลงไปด้านล่างได้ เลยไม่ได้ลองสัมผัสว่า ด้านล่างเย็นกว่าด้านบน 5-6 องศา ตามข้อมูลหรือไม่ สถานที่แห่งนี้ มีไว้สำหรับให้ทั้งราชวงศ์และสามัญชนลงไปหลบร้อน ... มันร้อนจริง ๆ นะ แดดแรงสุด ๆ

ที่เห็นเขียว ๆ นั่นคือ น้ำนะคร้าบบบ ไม่ใช่สนามหญ้าเก๋ ๆ

เห็นขั้นนบันไดแล้วตาลาย เชื่อว่าถ้าได้เดินจริงมีร่วงแน่นอน

พรุ่งนี้ไป Agra ชม Taj Mahal และ Agra Fort ... ร้อนมากกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกกก


   /(~..~'')\@
  



Monday, 27 April 2015

การเงิน - เรื่องใกล้ตัว (9 - การปกป้องเงินของตัวเอง และบทส่งท้าย)



ได้มีโอกาสอ่านหนังสือ Mad Money Journey: A Financial Adventure ของ Mehrab Irani ซึ่งมีเนื้อหาที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง หลักการและแนวทางการจัดการ “เงิน” ที่เป็นประโยชน์ จึงขอสรุปไว้ แต่หากอ่านจากต้นฉบับก็น่าจะได้ข้อคิดมากกว่าแน่นอน

Mad Money Journey: A Financial Adventure
Published by Jaico Publishing House
A-2 Jash Chambers, 7-A Sir Phirozshah Metha Road
Fort, Mumbai - 400 001
© Mehrab Irani
MAD MONEY JOURNEY
ISBN 978-81-8495-577-4

เรื่องก็มีอยู่ว่า นายแพทย์ผู้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานคนหนึ่ง แต่กลับล้มเหลวทางการเงินสุด ๆ จากการซื้อบ้านและรถแพง ๆ การลงทุนในทรัพย์สินที่ไม่สร้างรายได้ และการขาดทุนจากการเก็งกำไรหุ้น จนพยายามจะฆ่าตัวตาย แต่ก็ไม่สำเร็จ ด้วยโชคชะตาจึงนำพาให้คนที่ช่วยนายแพทย์คนนี้จากการฆ่าตัวตายคือ เพื่อนเก่าสมัยประถมที่ต้องออกจากโรงเรียนไปเพราะไม่สามารถสอบเลื่อนชั้นได้ เพื่อนคนนี้ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีเจ้าของกิจการผู้ประสบความสำเร็จ และได้ออกทุนส่งนายแพทย์คนนี้ไปพบกับบุคคลต่าง ๆ ทั่วโลกเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับหลักการและแนวทางการบริหารเงินจากชีวิตจริงของคนเหล่านี้ แน่นอน คนเหล่านี้คือ กลุ่มคนที่เพื่อนคนนี้ได้เคยช่วยให้พ้นจาก “การเป็นทาสของเงิน” และกลับมาเป็น “เจ้านายของเงิน” เหมือนที่กำลังช่วยนายแพทย์คนนี้

หมายเหตุ - เนื่องจากเป็นหนังสือที่เขียนขึ้นในบริบทของอินเดียเป็นหลัก ข้อมูลบางอย่างจึงอาจไม่ตรงในบริบทประเทศไทย

จุดหมายที่ 9 - Deolali นาสิก มหาราษฏระ อินเดีย -- บทเรียนที่ 9 - การปกป้องเงินของตัวเอง
                - เลือกวิธีการที่ถูกต้องในแต่ละขั้นตอนเพื่อลดค่าใช้จ่าย
                - การเปลี่ยนรายได้จากการขายเป็นกระแสรายได้หรือรายได้ทางอ้อมเพื่อให้ถูกเก็บภาษีน้อยลง
                - การจดทะเบียนนิติบุคคลให้ถือครองอสังหาฯ แทนบุคคลเพื่อให้ถูกเก็บภาษีลดลง อีกทั้งค่าใช้จ่ายที่เกิดขึ้นจากการถือครองอสังหาฯ ยังสามารถนำไปลงเป็นค่าใช้จ่ายของนิติบุคคลเพื่อประโยชน์ในการคิดภาษีได้อีกด้วย
                - จงปกป้องเงินของตัวเองจากภาษีด้วยวิธีการที่ถูกกฎหมาย

จุดหมายสุดท้าย 10 - Gangotri Ashram ฤาษีเกศ อุตตรขันท์ อินเดีย -- บทเรียนสุดท้ายที่สำคัญ
                - บริหารจัดการเงินให้ดีตามหลักการข้างต้น >> ทำงบประมาณเสมอ ออมเพื่อลงทุน ลงทุนอย่างมีความรู้ ทำประกัน มีความสุขกับการใช้ชีวิต และมุ่งหน้าสู่อิสรภาพทางการเงินคือ เลิกเป็นทาส และกลับเป็นนายของเงิน




* * * * * จบบริบูรณ์ * * * * *

การเงิน - เรื่องใกล้ตัว (8 - คุณค่าที่แท้จริงของอสังหาฯ)



ได้มีโอกาสอ่านหนังสือ Mad Money Journey: A Financial Adventure ของ Mehrab Irani ซึ่งมีเนื้อหาที่น่าสนใจเกี่ยวกับเรื่อง หลักการและแนวทางการจัดการ “เงิน” ที่เป็นประโยชน์ จึงขอสรุปไว้ แต่หากอ่านจากต้นฉบับก็น่าจะได้ข้อคิดมากกว่าแน่นอน

Mad Money Journey: A Financial Adventure
Published by Jaico Publishing House
A-2 Jash Chambers, 7-A Sir Phirozshah Metha Road
Fort, Mumbai - 400 001
© Mehrab Irani
MAD MONEY JOURNEY
ISBN 978-81-8495-577-4

เรื่องก็มีอยู่ว่า นายแพทย์ผู้ประสบความสำเร็จในหน้าที่การงานคนหนึ่ง แต่กลับล้มเหลวทางการเงินสุด ๆ จากการซื้อบ้านและรถแพง ๆ การลงทุนในทรัพย์สินที่ไม่สร้างรายได้ และการขาดทุนจากการเก็งกำไรหุ้น จนพยายามจะฆ่าตัวตาย แต่ก็ไม่สำเร็จ ด้วยโชคชะตาจึงนำพาให้คนที่ช่วยนายแพทย์คนนี้จากการฆ่าตัวตายคือ เพื่อนเก่าสมัยประถมที่ต้องออกจากโรงเรียนไปเพราะไม่สามารถสอบเลื่อนชั้นได้ เพื่อนคนนี้ได้กลายเป็นมหาเศรษฐีเจ้าของกิจการผู้ประสบความสำเร็จ และได้ออกทุนส่งนายแพทย์คนนี้ไปพบกับบุคคลต่าง ๆ ทั่วโลกเพื่อเรียนรู้เกี่ยวกับหลักการและแนวทางการบริหารเงินจากชีวิตจริงของคนเหล่านี้ แน่นอน คนเหล่านี้คือ กลุ่มคนที่เพื่อนคนนี้ได้เคยช่วยให้พ้นจาก “การเป็นทาสของเงิน” และกลับมาเป็น “เจ้านายของเงิน” เหมือนที่กำลังช่วยนายแพทย์คนนี้

หมายเหตุ - เนื่องจากเป็นหนังสือที่เขียนขึ้นในบริบทของอินเดียเป็นหลัก ข้อมูลบางอย่างจึงอาจไม่ตรงในบริบทประเทศไทย


จุดหมายที่ 8 - กรุงลอนดอน อังกฤษ -- บทเรียนที่ 8 - คุณค่าที่แท้จริงของอสังหาฯ
            - การซื้ออสังหาฯ เพื่ออยู่อาศัย ต้องไม่ซื้อเกินจำเป็น (ขนาดตามความจำเป็น) เพราะการซื้อที่อยู่อาศัยไม่ใช่การลงทุน ที่อยู่อาศัยไม่ก่อให้เกิดรายได้ (ทั้งกระแสรายได้และรายได้จากำไรหลังการขาย เพราะ ไม่ได้ซื้อไว้เพื่อขาย) แต่ก่อให้เกิดค่าใช้จ่ายมากมาย เช่น ภาษี ดอกเบี้ยจากการกู้ยืมเพื่อซื้อ ค่าบำรุงรักษา ฯลฯ และทำให้เสียโอกาสจากการสร้างผลตอบแทนจากเงินส่วนต่างที่ใช้ซื้อบ้านที่ใหญ่เกินความจำเป็น
                - ในการจัดสินใจซื้ออสังหาฯ เพื่ออยู่อาศัยควรคำนวณความคุ้มค่าเมื่อเทียบกับการเช่าที่พักอาศัยและจุดคุ้มทุน แล้วจึงตัดสินใจว่าควรซื้อหรือไม่ (เช่น การซื้อบ้านมีค่าใช้จ่ายต่าง ๆ ตามมากมาย และเป็นภาระ หากใช้ไม่นานและปล่อยเช่าไม่ได้ การเช่าที่พักอาศัยก็อาจจะคุ้มกว่า)
                - ราคาอสังหาฯ อาจจะไม่ได้ขึ้น แต่ที่เห็นว่าราคาสูงขึ้นเป็นเพราะเงินเฟ้อ หรือค่าของเงินลดลง (ไม่จริงเสมอไป ต้องลองเปรียบเทียบอัตราราคาที่เปลี่ยนแปลงไปของอสังหาฯ กับอัตราเงินเฟ้อ)
                - การมีอสังหาฯ ไว้ในครอบครองมักทำให้คนรู้สึกว่ามีทรัพย์สินหรือมีเงินเท่ากับราคาบ้าน แต่ในความเป็นจริงแล้ว บ้านไม่ใช่สินค้าที่สภาพคล่องสูง (ขายไม่ง่าย) และราคาผันผวน ไม่ได้มีแต่ขาขึ้น เมื่อขายจริงอาจจะไม่ได้เงินเท่าที่คิดไว้ ดังนั้น ราคาบ้านจึงเป็นเพียงเงินในจินตนาการ และอาจจะไม่เกิดขึ้นจริงตามที่คิด
                - แหล่งที่ดีที่สุดในการซื้ออสังหาฯ ให้ได้ราคาดี คือ งานการนำอสังหาฯ ที่ถูกยึดออกขาย / ประมูลโดยธนาคาร หรือกรมบังคับคดี หรือซื้ออสังหาฯ ในช่วงเศรษฐกิจตกต่ำ
                - การซื้ออสังหาฯ ต้องพิจารณาทางเลือกในการกู้ยืมธนาคารให้ดี เพราะอาจจะเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากได้รับการลดหย่อนภาษี ดอกเบี้ยต่ำ และสามารถเอาเงินของตัวเองไปลงทุนให้เกิดกระแสรายได้จากทรัพย์สินอื่นได้
                - หากสามารถเลือกประเภทของดอกเบี้ย (แบบคงที่ หรือลอยตัว) ในการกู้ยืมเพื่อซื้ออสังหาฯ ได้ อาจยึดหลักการ ดังนี้        (1) เลือกดอกเบี้ยแบบคงที่เมื่อเศรษฐกิจกำลังจะฟื้นตัว (มีการลดดอกเบี้ยนโยบายมาพักหนึ่งแล้ว) / ยังอยู่ในขาขึ้นและยังไม่มีแนวโน้มจะสิ้นสุดลง (มีความกังวลเรื่องเงินเฟ้อ) หรือ
                (2) เลือกดอกเบี้ยแบบลอยตัวเมื่อเศรษฐกิจมีแนวโน้มจะชะลอตัว (มีการขึ้นดอกเบี้ยนโยบายอย่างต่อเนื่องมาพักหนึ่งแล้ว) หรืออยู่ในขาลงและยังไม่มีแนวโน้มจะฟื้นตัว (มีความกังวลเรื่องเงินฝืด)
                - การถือครองอสังหาฯ รูปนิติบุคคลจะเป็นประโยชน์มากกว่าคือ สามารถลดค่าใช้จ่ายด้านภาษีได้
                - การลงทุนในอสังหาฯ เพื่อปล่อยเช่าให้คำนึงความสามารถในการสร้างกระแสรายได้ (ค่าเช่า) เป็นสำคัญ (เหมือนการเลือกหุ้นเพื่อลงทุน) เพื่อให้ได้อสังหาฯ ที่ดี ซึ่งเมื่อขายในระยะยาวก็มักจะสร้างกำไรจากการขายได้ดี
                - โดยทั่วไป ในระยะยาวราคาอสังหาฯ จะสูงขึ้นเนื่องจาก 2 ปัจจัย ได้แก่ (1) อสังหาฯ มีจำกัด และ (2) เงินเฟ้อ
อย่างไรก็ตาม มีปัจจัยมากมายที่ทำให้อสังหาฯ มีมูลค่าเพิ่มสูงขึ้น เช่น ที่ตั้ง สิ่งอำนวยความสะดวก สิ่งแวดล้อม โอกาสที่จะมีการพัฒนาของพื้นที่ในอนาคต ฯลฯ ตลอดจนการพัฒนาอสังหาฯ นั้น เช่น การซ่อมบำรุงตกแต่ง การติดตั้งสิ่งอำนวยความสะดวก ทำความสะอาด ฯลฯ


ติดตามต่อ - จุดหมายที่ 9 - Deolali นาสิก มหาราษฏระ อินเดีย -- บทเรียนที่ 9 - การปกป้องเงินของตัวเอง และ
จุดหมายสุดท้าย 10 - Gangotri Ashram ฤาษีเกศ อุตตรขันท์ อินเดีย -- บทเรียนสุดท้ายที่สำคัญ