ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณบ่าย 3 โมง ตามที่กำหนด ผมและพี่อีกคนพร้อมไกดฺ์และลูกหาบ 1 มุ่งหน้าสู่ Phakding ซึ่งจะต้องข้ามหุบเขาไป เราเริ่มด้วยการเดินลงเขาจาก Lukla สู่ธารน้ำสีน้ำนมเบื่องล่าง ธารดังกล่าวเป็นหนึ่งในผลผลิตของเทือกเขาหิมาลัย ไหลแรง เย็นจับใจ น้ำใสแต่มีสีเหมือนผสมนมจาง ๆ จึงเป็นที่มาของชื่อท้องถิ่นซึ่งแปลออกมาได้ว่า "ธารน้ำนม" (จับชื่อเนปาลีไม่ได้แล้ว)
ณ จุดนี้ ยังฟิตเต็มร้อย แบกของเองด้วยความตื่นเต้นเพราะเป็นการ trek ครั้งแรก และเตรียมตัวมาพอสมควร (แม้ช่วงใกล้ๆ จะเดินทางจะสันหลังยาวขึ้นอย่างมาก จบแอบกลัวเล็ก ๆ ว่าจะฟิตไม่พอ) ซึ่งก็มีแค่เป้ 45 ลิตรใบเดียวและกระเป๋าสะพายข้างอีกใบที่ใส่ของใช้จำเป็นเล็ก ๆ น้อย ๆ ลูกหาบจึงได้เดินตัวปลิวแต่ดูไม่สายใจเท่าไหร่เพราะไม่ได้ช่วยแบกของ พวกผมจึงฝากกระเป๋าสะพายข้างให้ได้แบกพอเป็นพิธี แต่ก็ทำให้เราทะมัดทะแมงคล่องตัวขึ้นมาก
ด้วยความที่ออกตัวช้า และคุณไกด์ก็ดูกังวลกับฝนกลางหุบเขา เราจึงจ้ำกันอย่างเต็มที่ ลงถึงธารน้ำนม แล้วก็เดินไต่ขึ้นเขาใหม่ ข้ามสะพานจากเขาสู่เขา ความสูงชวนหวาดเสียว มองลงข้างล่างไม่ได้ มึนหัวมันที แต่สะพานมั่นคงดี ไม่น่ากลัว แม้จะแกว่งตัวและเด้งไปมาตามน้ำหนัก แต่โดยรวมอุ่นใจได้เพราะดูแล้วโครงสร้างแข็งแรง ก็ขนาดขบวนน้อววัว น้องลา ซึ่งหนักกว่าเราหลายเท่ายังเดินกันได้สบาย ๆ
แม้จะเดินลงไต่ขึ้นจนเมื่อยพอสมควร แต่สปีดยังไม่ตก ยังเร่งฝีเท้ากันต่อไป และได้เจอฝนปรอย ๆ เล็กน้อยระหว่างทางตามที่คุณไกด์คาดการณ์ (แม่นทีเดียว) ก็ได้เย็นฉ่ำกันเล็ก ๆ ไม่ถึงกับเปียก
ตามรายทางก็จะมีร้านอาหารและที่พักแบบบ้าน ๆ ต้้งเรียงรายอยู่เป็นระยะ ทิวทัศน์โดยรอบเหมือนอยู่ยุโรป ทิวภูเขาหิมะสูงตระหง่านเป็นฉากหลัง มีสายน้ำเส้นสีขาว ๆ ให้เห็น ประกอบกับบ้านและที่พักก่อจากหินและไม้ ... สวยงามน่ารัก เราหยุดชมวิวและทำลายปอดเล็กน้อยด้วยความแช่มชื่นในบริเวณ "terrace" ของที่พักแห่งหนึ่งซึ่งสร้างยื่นเข้าไปในหุบเขา แล้วจึงออกเดินต่อ ณ จุดนี้ แม้อากาศจะหนาว ลมจะเย็น แต่เหงื่อก็ซึมมาได้สักระยะแล้ว ตั้งแต่เริ่มขาขึ้นจากธารน้ำนม ถึงกับถอดแจคเก็ตออก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเพราะต้องตากลมทำให้เป็นไข้ได่ง่าย ๆ
ไม่นานเกินรอ ไม่ถึง 2 ชม. ครึ่ง ดี เราก็เดินทางถึง Phakding พร้อมกับโล่งใจว่าผ่านไป 1 เปลาะ เรียกความมั่นใจได้ดีทีเดียว แต่ไม่วายนึกถึงคำพูดของคุณไกด์ได้ว่าระยะจาก Lukla ถึง Phakding เป็นระดับเบ ๆ เป็นทางราบ ๆ เดินได้เบา ๆ สบาย ๆ แม้เราจะทำเวลาได้ดีกว่าปกติที่ใช้ประมาณ 3 ชม. (แบบเดินสบาย ๆ) แต่หนทางจาก Phakding ไปจะเป็นการไต่ขึ้นที่ชันกว่านี้มากนัก
ระหว่างที่จ้ำกันอยู่ ประมาณ 4 โมงกว่า ๆ ก็ได้ความจากนางที่ตกเครื่องว่า ไม่ได้บินวันนั้นแน่นอนแล้วเพราะที่ Lukla ลมแรงและฟ้าปิด นางจึงกำลังหาตั๋วเที่ยวบินแรกไปยัง Lukla ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งจะมีตั้งแต่ 5.30 น. หากมาได้ทางผมก็จะรอที่ Phakding เพื่อไปยังจุดหมายต่อไปพร้อมกัน
จาก Lukla ถึง Phakding สูญเสียความสูงไปเกือบ 200 ม. ความรู้สึกเหมือนเดินขึ้น-ลงบันไดเพื่อออกกำลังกายแล้วจบลงที่ความสูงระดับเดิม อากาศเย็นสบายจนหนาว แต่ ณ ตอนนั้นเหงื่อยังออกไม่หยุด จึงนั่งชิวหน้าที่พัก จิบเบียร์เอเวอเรสท์พร้อมกับแกล้มเป็น "โมโม่" (คือ ผมชอบทานอาหารประเภทเกี๊ยว ไปที่ไหนก็อยากชิม แต่บอกได้เลย ตลอดทริปนี้ โมโม่สไตล์เนปาลช่างไม่ถูกปากเอาเสียเลย กลิ่นเครื่องเทศแรงมาก จะว่าแรงกว่าที่อินเดียก็ไม่ผิด) ผมอยู่ในสภาพไม่ต่างจากนั่งอยู่ กทม. คือ เสื้อโปโล กางเกงยีน และรองเท้าแตะ คือ ตอนนั้นมันร้อนอึดอัด ก่อนเริ่มรู้สึกถึงกระแสความเย็นที่เตือนว่า จะใส่เสื้อโปโลตัวเดียวไม่ได้แล้ว
อากาศเริ่มหนาว ฟ้าเริ่มมืด เราย้ายตัวเข้าสู่ห้องอาหาร 'dining hall' ของที่พัก ซึ่งก็เป็นห้องสี่เหลี่ยมไม่เล็กไม่ใหญ่ มีแผงเก้าอี้ติดผนัง 3 ด้าน หันหน้าเข้าหากลางห้อง ตามด้วยชั้นของโต๊ะยาวแบบโรงอาหารและปิดเก้าอี้พลาสติก กลางห้องมีเตาผิงใช้ถ่านไม้ตั้งอยู่ เพื่อให้ความอบอุ่น พอค่ำ ๆ หลังอาหารเย็น ต่างคนต่างก็ลากเก้าอี้ไปนั่งออกันอยู่รอบเตาผิง จิบชาไปพลางเพื่อความอบอุ่น
อาหารตลอดเส้นทางจะคล้าย ๆ กัน เหมือนถ่ายเอกสารตัวเมนูแล้วแจกที่พักทุกแห่ง แต่ก็เข้าใจได้เพราะทุกอย่างต้องขนขึ้นมาจากกาฐมาณฑุไปยัง Lukla ทางคอปเตอร์ หรือคนเดินเท้า 2 สัปดาห์แบกขึ้นมาจากเมืองที่ใกล้ Lukla ที่สุดที่มีรถมาถึง จากนั้นจึงอาศัยคน + วัว + ลาเดินขบวนกันขึ้นเขาเพื่อส่งตามที่พัก (คนที่นี่อึดมาก) อาหารเครื่องดื่มจึงคล้ายกันเพื่อความสะดวกในการซื้อและขนส่ง แต่ก็ไม่วายมีน้ำผลไม้กระป๋องจากไทยวางขายให้เห็นคู่กับกระทิงแดงกระป๋องทอง นอกจากอาหารเครื่องดื่มแล้ว ก็จะมีการขนเตาแก๊ส น้ำมันก๊าด ซึ่งเป็นอุปกรณ์หลักในการประกอบอาหารตามที่พักบนเขา
กลับมาเล่าเรื่องอาหารสักเล็กน้อย อาหารตามที่พักเหล่านี้ก็จะมีอาหารง่าย ๆ
เช่น ข้าวผัด บะหมี่พื้นเมือง หรือ Thukpa ซึ่งมีน้ำข้นเหนียว คล้ายราดหน้า รสออกจืด ๆ
ใส่ผักสารพัดที่มีในพื้นที่ และมีกลิ่นเครื่องเทศแขกในระดับที่ไม่สาหัส
หรืออีกแบบคือ อาหารกระเดียดไปทางฝรั่งตะวันตก เช่น ไก่ทอดมาพร้อมมันทอด
ซึ่งก็ได้ลองแล้ว หาเนื้อไม่ค่อยเจอ เป็นกระดูกกับแป้งที่ชุบทอดซะเยอะ
ค่ำวันนั้น ผมทานเจ้าราดหน้าพื้นเมือง (Thukpa) นับว่าดีทีเดียวเพราะอุ่นทน อุ่นนาน ส่วนพี่อีกคนแก้เคล็ดด้วยการดื่มข่มนาม ซัดแต่เบียร์ Everest ตั้งแต่เข้าที่พักจนกระทั่งเราแยกย้ายไปนอนแม้จะยังหัวค่ำอยู่ ด้วยความหวังจะชาร์จพลังเตรียมพร้อมสำหรับวันรุ่งขึ้น
ตอนต่อไป ... เช้าวันใหม่กับตะคริวและ ญ เหล็ก
![]() |
ธารน้ำนมเบื้องล่าง |
ณ จุดนี้ ยังฟิตเต็มร้อย แบกของเองด้วยความตื่นเต้นเพราะเป็นการ trek ครั้งแรก และเตรียมตัวมาพอสมควร (แม้ช่วงใกล้ๆ จะเดินทางจะสันหลังยาวขึ้นอย่างมาก จบแอบกลัวเล็ก ๆ ว่าจะฟิตไม่พอ) ซึ่งก็มีแค่เป้ 45 ลิตรใบเดียวและกระเป๋าสะพายข้างอีกใบที่ใส่ของใช้จำเป็นเล็ก ๆ น้อย ๆ ลูกหาบจึงได้เดินตัวปลิวแต่ดูไม่สายใจเท่าไหร่เพราะไม่ได้ช่วยแบกของ พวกผมจึงฝากกระเป๋าสะพายข้างให้ได้แบกพอเป็นพิธี แต่ก็ทำให้เราทะมัดทะแมงคล่องตัวขึ้นมาก
ด้วยความที่ออกตัวช้า และคุณไกด์ก็ดูกังวลกับฝนกลางหุบเขา เราจึงจ้ำกันอย่างเต็มที่ ลงถึงธารน้ำนม แล้วก็เดินไต่ขึ้นเขาใหม่ ข้ามสะพานจากเขาสู่เขา ความสูงชวนหวาดเสียว มองลงข้างล่างไม่ได้ มึนหัวมันที แต่สะพานมั่นคงดี ไม่น่ากลัว แม้จะแกว่งตัวและเด้งไปมาตามน้ำหนัก แต่โดยรวมอุ่นใจได้เพราะดูแล้วโครงสร้างแข็งแรง ก็ขนาดขบวนน้อววัว น้องลา ซึ่งหนักกว่าเราหลายเท่ายังเดินกันได้สบาย ๆ
แม้จะเดินลงไต่ขึ้นจนเมื่อยพอสมควร แต่สปีดยังไม่ตก ยังเร่งฝีเท้ากันต่อไป และได้เจอฝนปรอย ๆ เล็กน้อยระหว่างทางตามที่คุณไกด์คาดการณ์ (แม่นทีเดียว) ก็ได้เย็นฉ่ำกันเล็ก ๆ ไม่ถึงกับเปียก
ตามรายทางก็จะมีร้านอาหารและที่พักแบบบ้าน ๆ ต้้งเรียงรายอยู่เป็นระยะ ทิวทัศน์โดยรอบเหมือนอยู่ยุโรป ทิวภูเขาหิมะสูงตระหง่านเป็นฉากหลัง มีสายน้ำเส้นสีขาว ๆ ให้เห็น ประกอบกับบ้านและที่พักก่อจากหินและไม้ ... สวยงามน่ารัก เราหยุดชมวิวและทำลายปอดเล็กน้อยด้วยความแช่มชื่นในบริเวณ "terrace" ของที่พักแห่งหนึ่งซึ่งสร้างยื่นเข้าไปในหุบเขา แล้วจึงออกเดินต่อ ณ จุดนี้ แม้อากาศจะหนาว ลมจะเย็น แต่เหงื่อก็ซึมมาได้สักระยะแล้ว ตั้งแต่เริ่มขาขึ้นจากธารน้ำนม ถึงกับถอดแจคเก็ตออก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเพราะต้องตากลมทำให้เป็นไข้ได่ง่าย ๆ
ไม่นานเกินรอ ไม่ถึง 2 ชม. ครึ่ง ดี เราก็เดินทางถึง Phakding พร้อมกับโล่งใจว่าผ่านไป 1 เปลาะ เรียกความมั่นใจได้ดีทีเดียว แต่ไม่วายนึกถึงคำพูดของคุณไกด์ได้ว่าระยะจาก Lukla ถึง Phakding เป็นระดับเบ ๆ เป็นทางราบ ๆ เดินได้เบา ๆ สบาย ๆ แม้เราจะทำเวลาได้ดีกว่าปกติที่ใช้ประมาณ 3 ชม. (แบบเดินสบาย ๆ) แต่หนทางจาก Phakding ไปจะเป็นการไต่ขึ้นที่ชันกว่านี้มากนัก
ระหว่างที่จ้ำกันอยู่ ประมาณ 4 โมงกว่า ๆ ก็ได้ความจากนางที่ตกเครื่องว่า ไม่ได้บินวันนั้นแน่นอนแล้วเพราะที่ Lukla ลมแรงและฟ้าปิด นางจึงกำลังหาตั๋วเที่ยวบินแรกไปยัง Lukla ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งจะมีตั้งแต่ 5.30 น. หากมาได้ทางผมก็จะรอที่ Phakding เพื่อไปยังจุดหมายต่อไปพร้อมกัน
จาก Lukla ถึง Phakding สูญเสียความสูงไปเกือบ 200 ม. ความรู้สึกเหมือนเดินขึ้น-ลงบันไดเพื่อออกกำลังกายแล้วจบลงที่ความสูงระดับเดิม อากาศเย็นสบายจนหนาว แต่ ณ ตอนนั้นเหงื่อยังออกไม่หยุด จึงนั่งชิวหน้าที่พัก จิบเบียร์เอเวอเรสท์พร้อมกับแกล้มเป็น "โมโม่" (คือ ผมชอบทานอาหารประเภทเกี๊ยว ไปที่ไหนก็อยากชิม แต่บอกได้เลย ตลอดทริปนี้ โมโม่สไตล์เนปาลช่างไม่ถูกปากเอาเสียเลย กลิ่นเครื่องเทศแรงมาก จะว่าแรงกว่าที่อินเดียก็ไม่ผิด) ผมอยู่ในสภาพไม่ต่างจากนั่งอยู่ กทม. คือ เสื้อโปโล กางเกงยีน และรองเท้าแตะ คือ ตอนนั้นมันร้อนอึดอัด ก่อนเริ่มรู้สึกถึงกระแสความเย็นที่เตือนว่า จะใส่เสื้อโปโลตัวเดียวไม่ได้แล้ว
![]() |
ที่พักส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ ข้างนอกเป็นหิน ข้างในบุไม้อัดอีก 1 ชั้น |
![]() |
ขบวนน้องลาแบกเสบียงลงมาจากเขา |
อาหารตลอดเส้นทางจะคล้าย ๆ กัน เหมือนถ่ายเอกสารตัวเมนูแล้วแจกที่พักทุกแห่ง แต่ก็เข้าใจได้เพราะทุกอย่างต้องขนขึ้นมาจากกาฐมาณฑุไปยัง Lukla ทางคอปเตอร์ หรือคนเดินเท้า 2 สัปดาห์แบกขึ้นมาจากเมืองที่ใกล้ Lukla ที่สุดที่มีรถมาถึง จากนั้นจึงอาศัยคน + วัว + ลาเดินขบวนกันขึ้นเขาเพื่อส่งตามที่พัก (คนที่นี่อึดมาก) อาหารเครื่องดื่มจึงคล้ายกันเพื่อความสะดวกในการซื้อและขนส่ง แต่ก็ไม่วายมีน้ำผลไม้กระป๋องจากไทยวางขายให้เห็นคู่กับกระทิงแดงกระป๋องทอง นอกจากอาหารเครื่องดื่มแล้ว ก็จะมีการขนเตาแก๊ส น้ำมันก๊าด ซึ่งเป็นอุปกรณ์หลักในการประกอบอาหารตามที่พักบนเขา
![]() |
น้องวัวจาก Lukla มุ่งหน้าขึ้นเขา |
ค่ำวันนั้น ผมทานเจ้าราดหน้าพื้นเมือง (Thukpa) นับว่าดีทีเดียวเพราะอุ่นทน อุ่นนาน ส่วนพี่อีกคนแก้เคล็ดด้วยการดื่มข่มนาม ซัดแต่เบียร์ Everest ตั้งแต่เข้าที่พักจนกระทั่งเราแยกย้ายไปนอนแม้จะยังหัวค่ำอยู่ ด้วยความหวังจะชาร์จพลังเตรียมพร้อมสำหรับวันรุ่งขึ้น
ตอนต่อไป ... เช้าวันใหม่กับตะคริวและ ญ เหล็ก
-( * 3 * )-
No comments:
Post a Comment