Tuesday, 6 January 2015

หนีเที่ยวเนปาล - (ตอนที่ 5) เช้าวันใหม่กับตะคริวและ ญ. เหล็ก

จะเป็นเวลากี่โมงแล้วไม่ทราบได้ แต่คาดว่าไม่เกิน 2 ทุ่มครึ่ง ผมยังคงหลับไม่ลง ได้แต่บิดกระสับกระส่ายไปมา คงเป็นเพราะเข้านอนเร็วเกินไป ทั้ง ๆ ที่ไม่ได้เหนื่อยขนาดนั้น แต่อาจจะด้วยเพราะฤทธิ์เบียร์อ่อน ๆ ที่ทำให้รู้สึกง่วงจึงคิดว่าจะหลับได้สบาย ... ที่ไหนได้ อากาศหนาวขึ้นเป็นลำดับ จำได้ว่า ผมได้โทรบอกน้องที่ยังอยู่กาฐมาณฑุให้เตรียมอุปกรณ์กันหนาวให้ดี เพราะเย็นกว่าข้อมูลที่ได้รับมา

ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความหวังว่า จะใกล้เวลาเช้าแล้ว เพราะตอนนั้นหนาวมากจนไม่สามารถจะนอนต่อได้แล้ว ... ผมไม่มีถุงนอนเนื่องจากชะล่าใจเกินไปว่าจะไม่หนาวมากนักเพราะก่อนมาได้ตรวจสอบอุณหภูมิที่ Lukla ในช่วงสัปดาห์นั้น อุณหภูมิอยู่ราว ๆ 10 กว่า - 20 กว่า ๆ องศา กำลังสบาย จึงนำติดตัวมาเพียงผ้าห่มบาง ๆ 1 ผืน แน่นอนครับ เอาไม่อยู่ ถึงกับขนาดว่า จะลุกออกไปที่ห้องทานอาหารอีกครั้งเพื่อหาความอบอุ่น แต่พอมองออกไป (ห้องพักผมอยู่เยื้อง ๆ) ก็เห็นว่า สลายวงกันไปแล้ว ไฟปิดมืด เตาดับเรียบร้อย จึงต้อง "อตฺตาหิ อตฺโนนาโถ" รื้อเป้หาทุกอย่างที่ใช้ได้มาห่มประทังให้ข้ามคืนไป

จำได้ว่าหลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืน หนาวมาก แต่สุดท้ายเพลียหลับไปได้ 2 3 ชั่วโมง ก่อนจะตื่นเช้าวันถัดมาประมาณตี 5 เกือบ 6 โมง แล้วรีบพุ้งเข้าห้องอาหารซึ่งเปิดแล้ว แต่ที่ไหนได้ ดันไม่ติดเตาผิง ... แต่ก็ยังดีกว่าห้องนอน ความหนาวที่แปรงฟันยังยากลำบาก คาดว่าอุณหภูมิเมื่อคืนน่าจะเลขหลักเดียว แถมมีลมไหลผ่านเข้ามาตามช่องไม้อัดและขอบหน้าต่างตลอดทั้งคืน

เช้าวันนั้น ผมกับพี่ที่มาด้วยกันซึ่งก็โผล่ออกมาแต่เช้าเพราะความหนาวเหมือนกัน เลยได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ความพยายามในการเอาตัวรอดในคืนอันหนาวเหน็บแล้วก็ต่างหัวเราะกันไป ก็มันผ่านมาแล้วนิ .. แต่พอได้คุยกับคุณไกด์และเจ้าของที่พัก ก็ได้พบกับความเฟลของตัวเองเข้าอย่างจัง (และอยากถีบอีไกด์ 1 ที) คือ เราสามารถขอผ้านวมหนา ๆ ได้จากที่พักครับ (ลืมบอกไป ที่พักจะมีเตียงเปล่า ๆ กับหมอนให้ แต่ไม่มีผ้าห่ม เพราะ คนส่วนใหญ่ใช้ถุงนอน) ไอ้เรา ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยก็ไม่ทราบว่าขอผ้าห่มได้ เจ้าของที่พักก็บอกว่า "ทำไมไม่บอก ทำไมไกด์ไม่มาบอก" ส่วนตาไกด์บอกว่า "เห็นพวก you หลับไปแล้วตั้งแต่หัวค่ำเลยไม่ถาม" ... อันนี้ อยากยัน 1 ที คือ ถ้าบอกตั้งแต่เย็น ก็ขอเผื่อไปละ "!@$#%#^!!!"

ผมได้รับข่าวดีจากนางที่ตกเครื่องว่า หาที่บนไฟลท์เช้าสุดไม่ได้ ต้องรอไฟลท์ต่อไปประมาณ 06.30 น. ซึ่งได้ที่นั่งแน่นอนแล้ว ขอเพียงท้องฟ้าเป็นใจ ... กว่าจะติดต่อนางได้อีกที ก็ปาเข้าไป 8 โมงครึ่งกว่า ๆแล้ว นางลงที่ Lukla เรียบร้อย เจอลูกหาบ เก็บสัมภาระและเงินที่ผมทิ้งไว้ให้เรียบร้อย และกำลังรอลูกหาบไปเอาสัมภาระตัวเองก่อนจะตะลุยมายัง Phakding ... ในที่สุดก็มาถึงจนได้ และคณะเล็ก ๆ สมาชิก 3 คนไทย (และอีก 3 เนปาลี) จะได้ครบถ้วนเสียที

เราซึ่งอยู่ที่ Phakding หลังจากอาบน้ำอาบท่า ก็เดินเล่น นั่งเล่น รอไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อน

ขอเพิ่มเติมเรื่องที่พักสักเล็กน้อยเพื่อเป็นข้อมูล - ห้องพักมีหลายแบบ ทั้งแบบนอนรวม นอน 2 คน นอน 1 คน มีห้องน้ำในตัวหรือใช้ห้องน้ำรวม มีน้ำอุ่น/ไม่มีน้ำอุ่นอาบ สามารถสอบถามและเลือกได้ ราคาก็สูงต่ำต่างกันไป อย่างห้องผม นอนคนเดียว มีห้องน้ำในตัว มีน้ำอุ่น (ต้องบอกให้เจ้าของที่พักเปิดระบบน้ำอุ่นก่อนเราจะเข้าไปอาบ) คืนละ 400 รูปีเนปาล หรือประมาณ 140 บาท แต่ก็ต้องออกแรกเล็กน้อยตอนไปถึงเพราะไม่อยากจะเชื่อว่า บ.ทัวร์ดันจองห้องนอนรวมแบบไม่มีห้องน้ำให้ ทั้ง ๆ ที่บอกไว้แล้วตั้งแต่ตอนซื้อทัวร์ว่า ต้องการที่พักแบบใด

ยังไม่ถึง 11.00 น. ดีสมาชิกคนสุดท้ายก็เดินทางมาถึง นางจ้ำมาด้วยความเร็วมากกว่าพวกผมเสียอีก ทำเวลาดีกว่ากันเกือบครึ่ง ชม. นางมาถึงไม่พูดพร่ำทำเพลง เข้าห้องน้ำ ดื่มโค้กเร่งพลังเล็กน้อย แล้วเราก็รีบออกตัวมุ่งหน้าสู่เป้าหมายต่อไปคือ Namche (นัมเฌ/จ) Bazaar ที่ระดับความสูง 3,440 ม.

ช่วงต้นออกจาก Phakding สู่ Monjo ยังคงอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่า สบาย ๆ มีขึ้นมีลงแต่ไม่ถึงกับขนาดต้องหยุดพักตามขั้นบันได (ทางขึ้นเขาส่วนใหญ่เป็นขั้นบันไดหิน มีทางดินลาดเอียงบ้างบางช่วง)

TIMS Check Post กับทิวซากุระ
ระหว่างทางนัก trek ทั้งหลายจะต้องทำเจ้าสิ่งที่เรียกว่า TIMS card ตามจุดตรวจระหว่างทาง ซึ่งเป็นเหมือนการลงทะเบียนและการเชคชื่อของทางการเนปาล เพื่อความปลอดภัยของนักเดินทุกท่าน ๆ ค่าใช้จ่ายอยู่ที่คนละ 20 ดอลลาร์สหรัฐ (จะว่าไปงานนี้ ผมไม่ทราบในรายละเอียดนักเพราะคุณไกด์จัดการให้หมด เราแค่เตรียมรูปมา ส่วนเงินค่าธรรมเนียมบริษัททัวร์เรียกเก็บรวมไปตั้งแต่ต้นแล้ว) ตลอดทาง 1 ขา เราแวะจุดตรวจลักษณะนี้ประมาณ 3 - 4 ครั้ง

วิวจากลานด้านหน้าโรงแรม มองเห็นเส้นทางที่เราเดินผ่านมา (เดินมาจากขวาไปซ้าย)
เรามุ่งหน้าเดินต่อไปถึงประมาณสักเที่ยงครึ่ง ก็เห็นสิ่งปลูกสร้างแห่งหนึ่ง คล้ายร้านอาหารหรือโรงแรมหน้าตาสวยงามน่าเข้าไปแวะชมสักนิด หรือไม่ก็พักทานข้าวกลางวันมันซะเลย จึงได้เบนเข็มออกนอกเส้นทางเล็กน้อยเพื่อไปยังสถานที่ดังกล่าว

สรุปว่า มันคือโรงแรมที่พักระดับไม่ธรรมดา เรานั่งรับลมและพักเหนื่อยอยู่ด้านหน้า เราซื้อเครื่องดื่มเล็กน้อยแลกตอบแทนการให้เราใช้ห้องน้ำของโรงแรม
 
โฉมหน้าไกด์และลูกหาบทั้งสอง (จากขวาไปซ้าย)

แน่นอนครับ วันนี้ เพื่อทำเวลาให้ถึง Namche  ก่อนตะวันลับฟ้า เราไม่แบกของกันเองแม้แต้น้อย จะมีเพียงกระเป๋าเล็กที่ใส่ของจำเป็นเท่านั้นที่สะพายติดตัว พร้อมไม้ช่วยเดิน ซึ่งเราก็เหมือนกับว่าทำเวลากันได้ดีพอสมควร

หลังจากนั่งพักได้สัก 10 นาที เราก็ออกเดินกันต่อไปยังที่พักทานอาหารกลางวันซึ่งคุณไกด์ได้นัดหมายไว้แล้ว (แน่นอนครับ เราอยากจะพักทานที่นี่ แต่ก็ไม่อยากจะเสียเงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น จึงเดินตามแผนของคุณไกด์อย่างว่าง่าย )

เพียงครึ่งชั่วโมง เราก็มาถึงยังร้านอาหารเป้าหมาย ซึ่งก็เป็นที่พักในตัวด้วย เหมือนกับที่พักทั่วไปที่พบเห็นตามทางที่ผ่านมา ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ยกเว้นอาหาร ที่จำได้ว่า จะมีเมนูที่น่าสนใจ อย่างผัดมักกะโรนี ที่พออ่านชื่อแล้วนึกถึง โรงอาหาร/ร้านอาหารตามสั่งที่ไทยขึ้นมาทันที น่าเสียดายที่พอสั่งมาแล้ว มันไม่เป็นไปอย่างที่หวัง แน่นอนล่ะครับ เราไม่ได้เดินเล่นอยู่เมืองไทยนิ

ที่พักทานอาหารกลางวัน
พักทานอาหารกันประมาณ 1 ชม. ก่อนจะออกเดินทางต่อ ซึ่งระยะทางจาก Monjo ถึง Namche จะเป็นช่วงที่โหดที่สุดสำหรับทริปของมือสมัครเดินอย่างเราในครั้งนี้ เรามุ่งหน้าต่อไปสปิริตเต็มร้อย แต่สังขารเริ่มออกอาการบ่นออด ๆ แอด ๆ

ทางส่วนใหญ่เป็นการปีนบันไดและทางลาดอย่างต่อเนื่อง เล่นเอาหอบ ต้องหยุดพักตามรายทางเพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อล้าจนเกินไป เราพักบ่อยพอสมควร แต่เวลาเดินก็เดินกันที่ความเร็วที่ไม่น่าเกลียดหรือเกะกะขวางทางจนเกินไปนัก

สุดท้ายแล้วก็เป็นผม ที่ตะคริวถามหา มันมาแปลก ดันมาที่กล้ามเนื้อต้นขาด้านใน สงสัยจะใช้ต้นขาหนักจริง ๆ ยังโชคดีที่มันมาแบบเหมือนเป็นสัญญาณเตือนให้พักมากกว่าที่จะมาเล่นงานอย่างจริงจัง พอสัญญาณมาผมก็หยุด เป็นแบบนี้ประมาณ 2 ครั้งกว่าจะถึงที่หมาย

ส่วนแฟนผมก็หยุดพักบ่อยหน่อย (คือ ผมก็เหนื่อยนะ แต่รอหยุดพร้อมแฟนดีกว่า ไม่ต้องออกปากเอง 555 ... แค่พูดก็เหนื่อยแล้ว) แต่เธอก็อึดเหลือเกิน เพราะเธอออกเดินมาจาก Lukla รวมแล้วเธอเดินมา 4 5 ชั่วโมงแล้ว ในขณะที่ผมกับพี่อีกคนเดินมาเพียง 2 ชั่วโมงกว่า 3 ชั่วโมง ผมยังไม่อยากจะเชื่อว่า เธอจะอึดขนาดนี้

จุดที่พีคที่สุดของ leg นี้คือ จุดขึ้นถึง Namche ที่เหมือนกับโผล่ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่ไม่มีอะไรขว้างสายตา หลังจากที่มีทางขึ้นเขาที่ปีนกันมาบังอยู่ด้านหน้าตลอด และพอมองลงมาก็เห็น Namche Bazaar อยู่ในหุบเขาเบื้องล่าง มีบ้าน ที่พัก ร้านรวง สร้างเรียงลดหลั่นไล่ระดับลงไป คล้ายการทำนาขั้นบันได ... ณ จุดนั้นคือ มันเหนื่อยมากครับ ล้ามาก ขาสั่น แต่คือทำได้ ขึ้นมาถึงแล้ว สำเร็จแล้ว

 


จากจุดพีคของอารมณ์ความรู้สึก ก็ตกดิ่งลงสู่จุดใต้ตูดในทันที เมื่อรู้ว่าเรายังต้องปีนกันอีกเล็กน้อยเพื่อไปยังที่พัก ซึ่งอยู่สูงขึ้นอีกนิดของฝั่งตะวันออกของหุบเขานี้ คือตอนนั้น อีกก้าวก็ไม่อยากจะเดินแล้ว

Namche Bazaar เป็นจุดพักและซื้อของจุดสุดท้ายก่อนเดินทางสู่ EBC ราคาของแพงกว่าข้างล่างแน่นอน กลุ่มที่จะเดินต่อไปยัง EBC จะมาพักที่นี่เพื่อปรับตัว พักร่างกาย และออกไปซ้อมเดิน โดยจะอยู่ที่นี่ประมาณ 2 คืนขึ้นไป แล้วแต่แผนของแต่ละคน

ที่ความสูง 3,440 ม. ความหนาวเย็นไม่เป็นสองรองใคร พระอาทิตย์ยังไม่ตกดีก็ไม่อยากจะเอามือออกจากกระเป๋ากางเกงแล้ว คุณไกด์บอกว่า อาทิตย์ก่อนหิมะยังสูงเป็นฟุตอยู่เลย

เราได้ห้องพักแบบไม่มีห้องน้ำในตัว คือ มันทรมานทีเดียวที่จะต้องออกจากห้อง ซึ่งไม่ได้อุ่นเลย ไปยังที่ ๆ ยังเย็นซะกว่าอย่างห้องน้ำที่เปิดหน้าต่างไว้ แถมยังต้องผจญกับสิ่งรบกวนประสาทสัมผัสทั้งทางตา จมูก และสัมผัส คงไม่ต้องอธิบายไปมากกว่านี้ "มันคือห้องน้ำรวม" ครับ ผมก็แค่ไปแปรงฟัน ทำธุระเบา ยังแทบตาย

เราผ่านคืนอันหนาวเหน็บที่อุณหภูมิ -1 ถึง 1 องศา (คุณไกด์บอกตอนเช้าวันรุ่งขึ้น) จากประสบการณ์เมื่อคืนก่อน ทำให้เราบอกคุณไกด์ให้หาผ้าห่มและฮีทเตอร์มาให้เรา แต่สุดท้ายก็ได้แค่ผ้าห่มอย่างหนา ซึ่งเพียงพอ อย่างไรก็ตาม หัวค่ำวันนั้นผมรีบเข้านอนเพราะไข้ขึ้นอย่างหนัก ก็เล่นใส่เสื้อยืดตัวเดียวเดินตากลมเป็นชั่วโมง ๆ เพราะร้อนจัดในระหว่างทางขาขึ้น

สรุปว่า
- ผมนอนไข้ขึ้น แต่ก็หายตั้งแต่ก่อนจะเช้า
- พี่ที่ไปด้วยกันหลังจากซดเบียร์ Everest ข่มนามมาทุกคืน ก็ไข้ขึ้น ณ กลางดึกวันนั้น สู้อากาศหนาวไม่ไหว พอตอนเช้าแกตื่นมาทานอาหารได้เล็กน้อย แล้วก็ต้องทานยากลับไปนอนพักต่อถึงเที่ยง
- แฟนผม ... นางไม่เป็นอะไรเลย สรุปรวมนางเดินไปประมาณ 6 7 ชั่วโมง และไม่เป็นอะไรเลย เช้าวันรุ่งขึ้นยังออกไปเดิน ๆ ปีน ๆ ขึ้นไปไหว้พระที่วัดด้วยกันกับผม


ตอนต่อไป ... ความท้าทายกับการสูญเสีย


/(=o=)\





หนีเที่ยวเนปาล - (ตอนที่ 4) ทางสู่ Phakding ขึ้นเขาลงห้วย ชมธารน้ำนม

ตอนนั้นเป็นเวลาประมาณบ่าย 3 โมง ตามที่กำหนด ผมและพี่อีกคนพร้อมไกดฺ์และลูกหาบ 1 มุ่งหน้าสู่ Phakding ซึ่งจะต้องข้ามหุบเขาไป เราเริ่มด้วยการเดินลงเขาจาก Lukla สู่ธารน้ำสีน้ำนมเบื่องล่าง ธารดังกล่าวเป็นหนึ่งในผลผลิตของเทือกเขาหิมาลัย ไหลแรง เย็นจับใจ น้ำใสแต่มีสีเหมือนผสมนมจาง ๆ จึงเป็นที่มาของชื่อท้องถิ่นซึ่งแปลออกมาได้ว่า "ธารน้ำนม" (จับชื่อเนปาลีไม่ได้แล้ว)

ธารน้ำนมเบื้องล่าง

ณ จุดนี้ ยังฟิตเต็มร้อย แบกของเองด้วยความตื่นเต้นเพราะเป็นการ trek ครั้งแรก และเตรียมตัวมาพอสมควร (แม้ช่วงใกล้ๆ จะเดินทางจะสันหลังยาวขึ้นอย่างมาก จบแอบกลัวเล็ก ๆ ว่าจะฟิตไม่พอ) ซึ่งก็มีแค่เป้ 45 ลิตรใบเดียวและกระเป๋าสะพายข้างอีกใบที่ใส่ของใช้จำเป็นเล็ก ๆ น้อย ๆ ลูกหาบจึงได้เดินตัวปลิวแต่ดูไม่สายใจเท่าไหร่เพราะไม่ได้ช่วยแบกของ พวกผมจึงฝากกระเป๋าสะพายข้างให้ได้แบกพอเป็นพิธี แต่ก็ทำให้เราทะมัดทะแมงคล่องตัวขึ้นมาก


ด้วยความที่ออกตัวช้า และคุณไกด์ก็ดูกังวลกับฝนกลางหุบเขา เราจึงจ้ำกันอย่างเต็มที่ ลงถึงธารน้ำนม แล้วก็เดินไต่ขึ้นเขาใหม่ ข้ามสะพานจากเขาสู่เขา ความสูงชวนหวาดเสียว มองลงข้างล่างไม่ได้ มึนหัวมันที แต่สะพานมั่นคงดี ไม่น่ากลัว แม้จะแกว่งตัวและเด้งไปมาตามน้ำหนัก แต่โดยรวมอุ่นใจได้เพราะดูแล้วโครงสร้างแข็งแรง ก็ขนาดขบวนน้อววัว น้องลา ซึ่งหนักกว่าเราหลายเท่ายังเดินกันได้สบาย ๆ

แม้จะเดินลงไต่ขึ้นจนเมื่อยพอสมควร แต่สปีดยังไม่ตก ยังเร่งฝีเท้ากันต่อไป และได้เจอฝนปรอย ๆ เล็กน้อยระหว่างทางตามที่คุณไกด์คาดการณ์ (แม่นทีเดียว) ก็ได้เย็นฉ่ำกันเล็ก ๆ ไม่ถึงกับเปียก

ตามรายทางก็จะมีร้านอาหารและที่พักแบบบ้าน ๆ ต้้งเรียงรายอยู่เป็นระยะ ทิวทัศน์โดยรอบเหมือนอยู่ยุโรป ทิวภูเขาหิมะสูงตระหง่านเป็นฉากหลัง มีสายน้ำเส้นสีขาว ๆ ให้เห็น ประกอบกับบ้านและที่พักก่อจากหินและไม้ ... สวยงามน่ารัก เราหยุดชมวิวและทำลายปอดเล็กน้อยด้วยความแช่มชื่นในบริเวณ "terrace" ของที่พักแห่งหนึ่งซึ่งสร้างยื่นเข้าไปในหุบเขา แล้วจึงออกเดินต่อ ณ จุดนี้ แม้อากาศจะหนาว ลมจะเย็น แต่เหงื่อก็ซึมมาได้สักระยะแล้ว ตั้งแต่เริ่มขาขึ้นจากธารน้ำนม ถึงกับถอดแจคเก็ตออก ซึ่งเป็นสิ่งที่ไม่ควรทำเพราะต้องตากลมทำให้เป็นไข้ได่ง่าย ๆ

ไม่นานเกินรอ ไม่ถึง 2 ชม. ครึ่ง ดี เราก็เดินทางถึง Phakding พร้อมกับโล่งใจว่าผ่านไป 1 เปลาะ เรียกความมั่นใจได้ดีทีเดียว แต่ไม่วายนึกถึงคำพูดของคุณไกด์ได้ว่าระยะจาก Lukla ถึง Phakding เป็นระดับเบ ๆ เป็นทางราบ ๆ เดินได้เบา ๆ สบาย ๆ แม้เราจะทำเวลาได้ดีกว่าปกติที่ใช้ประมาณ 3 ชม. (แบบเดินสบาย ๆ) แต่หนทางจาก Phakding ไปจะเป็นการไต่ขึ้นที่ชันกว่านี้มากนัก


ระหว่างที่จ้ำกันอยู่ ประมาณ 4 โมงกว่า ๆ ก็ได้ความจากนางที่ตกเครื่องว่า ไม่ได้บินวันนั้นแน่นอนแล้วเพราะที่ Lukla ลมแรงและฟ้าปิด นางจึงกำลังหาตั๋วเที่ยวบินแรกไปยัง Lukla ในวันรุ่งขึ้น ซึ่งจะมีตั้งแต่ 5.30 น. หากมาได้ทางผมก็จะรอที่ Phakding เพื่อไปยังจุดหมายต่อไปพร้อมกัน

จาก Lukla ถึง Phakding สูญเสียความสูงไปเกือบ 200 ม. ความรู้สึกเหมือนเดินขึ้น-ลงบันไดเพื่อออกกำลังกายแล้วจบลงที่ความสูงระดับเดิม อากาศเย็นสบายจนหนาว แต่ ณ ตอนนั้นเหงื่อยังออกไม่หยุด จึงนั่งชิวหน้าที่พัก จิบเบียร์เอเวอเรสท์พร้อมกับแกล้มเป็น "โมโม่" (คือ ผมชอบทานอาหารประเภทเกี๊ยว ไปที่ไหนก็อยากชิม แต่บอกได้เลย ตลอดทริปนี้ โมโม่สไตล์เนปาลช่างไม่ถูกปากเอาเสียเลย กลิ่นเครื่องเทศแรงมาก จะว่าแรงกว่าที่อินเดียก็ไม่ผิด) ผมอยู่ในสภาพไม่ต่างจากนั่งอยู่ กทม. คือ เสื้อโปโล กางเกงยีน และรองเท้าแตะ คือ ตอนนั้นมันร้อนอึดอัด ก่อนเริ่มรู้สึกถึงกระแสความเย็นที่เตือนว่า จะใส่เสื้อโปโลตัวเดียวไม่ได้แล้ว


ที่พักส่วนใหญ่จะเป็นแบบนี้ ข้างนอกเป็นหิน ข้างในบุไม้อัดอีก 1 ชั้น
อากาศเริ่มหนาว ฟ้าเริ่มมืด เราย้ายตัวเข้าสู่ห้องอาหาร 'dining hall' ของที่พัก ซึ่งก็เป็นห้องสี่เหลี่ยมไม่เล็กไม่ใหญ่ มีแผงเก้าอี้ติดผนัง 3 ด้าน หันหน้าเข้าหากลางห้อง ตามด้วยชั้นของโต๊ะยาวแบบโรงอาหารและปิดเก้าอี้พลาสติก กลางห้องมีเตาผิงใช้ถ่านไม้ตั้งอยู่ เพื่อให้ความอบอุ่น พอค่ำ ๆ หลังอาหารเย็น ต่างคนต่างก็ลากเก้าอี้ไปนั่งออกันอยู่รอบเตาผิง จิบชาไปพลางเพื่อความอบอุ่น
ขบวนน้องลาแบกเสบียงลงมาจากเขา




อาหารตลอดเส้นทางจะคล้าย ๆ กัน เหมือนถ่ายเอกสารตัวเมนูแล้วแจกที่พักทุกแห่ง แต่ก็เข้าใจได้เพราะทุกอย่างต้องขนขึ้นมาจากกาฐมาณฑุไปยัง Lukla ทางคอปเตอร์ หรือคนเดินเท้า 2 สัปดาห์แบกขึ้นมาจากเมืองที่ใกล้ Lukla ที่สุดที่มีรถมาถึง จากนั้นจึงอาศัยคน + วัว + ลาเดินขบวนกันขึ้นเขาเพื่อส่งตามที่พัก (คนที่นี่อึดมาก) อาหารเครื่องดื่มจึงคล้ายกันเพื่อความสะดวกในการซื้อและขนส่ง แต่ก็ไม่วายมีน้ำผลไม้กระป๋องจากไทยวางขายให้เห็นคู่กับกระทิงแดงกระป๋องทอง นอกจากอาหารเครื่องดื่มแล้ว ก็จะมีการขนเตาแก๊ส น้ำมันก๊าด ซึ่งเป็นอุปกรณ์หลักในการประกอบอาหารตามที่พักบนเขา
  
น้องวัวจาก Lukla มุ่งหน้าขึ้นเขา
กลับมาเล่าเรื่องอาหารสักเล็กน้อย อาหารตามที่พักเหล่านี้ก็จะมีอาหารง่าย ๆ เช่น ข้าวผัด บะหมี่พื้นเมือง หรือ Thukpa ซึ่งมีน้ำข้นเหนียว คล้ายราดหน้า รสออกจืด ๆ  ใส่ผักสารพัดที่มีในพื้นที่ และมีกลิ่นเครื่องเทศแขกในระดับที่ไม่สาหัส หรืออีกแบบคือ อาหารกระเดียดไปทางฝรั่งตะวันตก เช่น ไก่ทอดมาพร้อมมันทอด ซึ่งก็ได้ลองแล้ว หาเนื้อไม่ค่อยเจอ เป็นกระดูกกับแป้งที่ชุบทอดซะเยอะ

ค่ำวันนั้น ผมทานเจ้าราดหน้าพื้นเมือง (Thukpa) นับว่าดีทีเดียวเพราะอุ่นทน อุ่นนาน ส่วนพี่อีกคนแก้เคล็ดด้วยการดื่มข่มนาม ซัดแต่เบียร์ Everest ตั้งแต่เข้าที่พักจนกระทั่งเราแยกย้ายไปนอนแม้จะยังหัวค่ำอยู่ ด้วยความหวังจะชาร์จพลังเตรียมพร้อมสำหรับวันรุ่งขึ้น

ตอนต่อไป ... เช้าวันใหม่กับตะคริวและ ญ เหล็ก


-( * 3 * )-