ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาอีกครั้ง ด้วยความหวังว่า จะใกล้เวลาเช้าแล้ว เพราะตอนนั้นหนาวมากจนไม่สามารถจะนอนต่อได้แล้ว ... ผมไม่มีถุงนอนเนื่องจากชะล่าใจเกินไปว่าจะไม่หนาวมากนักเพราะก่อนมาได้ตรวจสอบอุณหภูมิที่ Lukla ในช่วงสัปดาห์นั้น อุณหภูมิอยู่ราว ๆ 10 กว่า - 20 กว่า ๆ องศา กำลังสบาย จึงนำติดตัวมาเพียงผ้าห่มบาง ๆ 1 ผืน แน่นอนครับ เอาไม่อยู่ ถึงกับขนาดว่า จะลุกออกไปที่ห้องทานอาหารอีกครั้งเพื่อหาความอบอุ่น แต่พอมองออกไป (ห้องพักผมอยู่เยื้อง ๆ) ก็เห็นว่า สลายวงกันไปแล้ว ไฟปิดมืด เตาดับเรียบร้อย จึงต้อง "อตฺตาหิ อตฺโนนาโถ" รื้อเป้หาทุกอย่างที่ใช้ได้มาห่มประทังให้ข้ามคืนไป
จำได้ว่าหลับ ๆ ตื่น ๆ ทั้งคืน หนาวมาก แต่สุดท้ายเพลียหลับไปได้ 2 3 ชั่วโมง ก่อนจะตื่นเช้าวันถัดมาประมาณตี 5 เกือบ 6 โมง แล้วรีบพุ้งเข้าห้องอาหารซึ่งเปิดแล้ว แต่ที่ไหนได้ ดันไม่ติดเตาผิง ... แต่ก็ยังดีกว่าห้องนอน ความหนาวที่แปรงฟันยังยากลำบาก คาดว่าอุณหภูมิเมื่อคืนน่าจะเลขหลักเดียว แถมมีลมไหลผ่านเข้ามาตามช่องไม้อัดและขอบหน้าต่างตลอดทั้งคืน
เช้าวันนั้น ผมกับพี่ที่มาด้วยกันซึ่งก็โผล่ออกมาแต่เช้าเพราะความหนาวเหมือนกัน เลยได้แลกเปลี่ยนประสบการณ์ความพยายามในการเอาตัวรอดในคืนอันหนาวเหน็บแล้วก็ต่างหัวเราะกันไป ก็มันผ่านมาแล้วนิ .. แต่พอได้คุยกับคุณไกด์และเจ้าของที่พัก ก็ได้พบกับความเฟลของตัวเองเข้าอย่างจัง (และอยากถีบอีไกด์ 1 ที) คือ เราสามารถขอผ้านวมหนา ๆ ได้จากที่พักครับ (ลืมบอกไป ที่พักจะมีเตียงเปล่า ๆ กับหมอนให้ แต่ไม่มีผ้าห่ม เพราะ คนส่วนใหญ่ใช้ถุงนอน) ไอ้เรา ซึ่งเป็นคนส่วนน้อยก็ไม่ทราบว่าขอผ้าห่มได้ เจ้าของที่พักก็บอกว่า "ทำไมไม่บอก ทำไมไกด์ไม่มาบอก" ส่วนตาไกด์บอกว่า "เห็นพวก you หลับไปแล้วตั้งแต่หัวค่ำเลยไม่ถาม" ... อันนี้ อยากยัน 1 ที คือ ถ้าบอกตั้งแต่เย็น ก็ขอเผื่อไปละ "!@$#%#^!!!"
ผมได้รับข่าวดีจากนางที่ตกเครื่องว่า หาที่บนไฟลท์เช้าสุดไม่ได้ ต้องรอไฟลท์ต่อไปประมาณ 06.30 น. ซึ่งได้ที่นั่งแน่นอนแล้ว ขอเพียงท้องฟ้าเป็นใจ ... กว่าจะติดต่อนางได้อีกที ก็ปาเข้าไป 8 โมงครึ่งกว่า ๆแล้ว นางลงที่ Lukla เรียบร้อย เจอลูกหาบ เก็บสัมภาระและเงินที่ผมทิ้งไว้ให้เรียบร้อย และกำลังรอลูกหาบไปเอาสัมภาระตัวเองก่อนจะตะลุยมายัง Phakding ... ในที่สุดก็มาถึงจนได้ และคณะเล็ก ๆ สมาชิก 3 คนไทย (และอีก 3 เนปาลี) จะได้ครบถ้วนเสียที
เราซึ่งอยู่ที่ Phakding หลังจากอาบน้ำอาบท่า ก็เดินเล่น นั่งเล่น รอไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รีบร้อน
ขอเพิ่มเติมเรื่องที่พักสักเล็กน้อยเพื่อเป็นข้อมูล - ห้องพักมีหลายแบบ ทั้งแบบนอนรวม นอน 2 คน นอน 1 คน มีห้องน้ำในตัวหรือใช้ห้องน้ำรวม มีน้ำอุ่น/ไม่มีน้ำอุ่นอาบ สามารถสอบถามและเลือกได้ ราคาก็สูงต่ำต่างกันไป อย่างห้องผม นอนคนเดียว มีห้องน้ำในตัว มีน้ำอุ่น (ต้องบอกให้เจ้าของที่พักเปิดระบบน้ำอุ่นก่อนเราจะเข้าไปอาบ) คืนละ 400 รูปีเนปาล หรือประมาณ 140 บาท แต่ก็ต้องออกแรกเล็กน้อยตอนไปถึงเพราะไม่อยากจะเชื่อว่า บ.ทัวร์ดันจองห้องนอนรวมแบบไม่มีห้องน้ำให้ ทั้ง ๆ ที่บอกไว้แล้วตั้งแต่ตอนซื้อทัวร์ว่า ต้องการที่พักแบบใด
ยังไม่ถึง 11.00 น. ดีสมาชิกคนสุดท้ายก็เดินทางมาถึง นางจ้ำมาด้วยความเร็วมากกว่าพวกผมเสียอีก ทำเวลาดีกว่ากันเกือบครึ่ง ชม. นางมาถึงไม่พูดพร่ำทำเพลง เข้าห้องน้ำ ดื่มโค้กเร่งพลังเล็กน้อย แล้วเราก็รีบออกตัวมุ่งหน้าสู่เป้าหมายต่อไปคือ Namche (นัมเฌ/จ) Bazaar ที่ระดับความสูง 3,440 ม.
ช่วงต้นออกจาก Phakding สู่ Monjo ยังคงอยู่ในระดับที่เรียกได้ว่า สบาย ๆ มีขึ้นมีลงแต่ไม่ถึงกับขนาดต้องหยุดพักตามขั้นบันได (ทางขึ้นเขาส่วนใหญ่เป็นขั้นบันไดหิน มีทางดินลาดเอียงบ้างบางช่วง)
![]() |
TIMS Check Post กับทิวซากุระ |
![]() |
วิวจากลานด้านหน้าโรงแรม มองเห็นเส้นทางที่เราเดินผ่านมา (เดินมาจากขวาไปซ้าย) |
สรุปว่า มันคือโรงแรมที่พักระดับไม่ธรรมดา เรานั่งรับลมและพักเหนื่อยอยู่ด้านหน้า เราซื้อเครื่องดื่มเล็กน้อยแลกตอบแทนการให้เราใช้ห้องน้ำของโรงแรม
![]() |
โฉมหน้าไกด์และลูกหาบทั้งสอง (จากขวาไปซ้าย) |
แน่นอนครับ วันนี้ เพื่อทำเวลาให้ถึง Namche ก่อนตะวันลับฟ้า เราไม่แบกของกันเองแม้แต้น้อย จะมีเพียงกระเป๋าเล็กที่ใส่ของจำเป็นเท่านั้นที่สะพายติดตัว พร้อมไม้ช่วยเดิน ซึ่งเราก็เหมือนกับว่าทำเวลากันได้ดีพอสมควร
หลังจากนั่งพักได้สัก 10 นาที เราก็ออกเดินกันต่อไปยังที่พักทานอาหารกลางวันซึ่งคุณไกด์ได้นัดหมายไว้แล้ว (แน่นอนครับ เราอยากจะพักทานที่นี่ แต่ก็ไม่อยากจะเสียเงินเพิ่มโดยไม่จำเป็น จึงเดินตามแผนของคุณไกด์อย่างว่าง่าย )
เพียงครึ่งชั่วโมง เราก็มาถึงยังร้านอาหารเป้าหมาย ซึ่งก็เป็นที่พักในตัวด้วย เหมือนกับที่พักทั่วไปที่พบเห็นตามทางที่ผ่านมา ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้น ยกเว้นอาหาร ที่จำได้ว่า จะมีเมนูที่น่าสนใจ อย่างผัดมักกะโรนี ที่พออ่านชื่อแล้วนึกถึง โรงอาหาร/ร้านอาหารตามสั่งที่ไทยขึ้นมาทันที น่าเสียดายที่พอสั่งมาแล้ว มันไม่เป็นไปอย่างที่หวัง แน่นอนล่ะครับ เราไม่ได้เดินเล่นอยู่เมืองไทยนิ
![]() |
ที่พักทานอาหารกลางวัน |
ทางส่วนใหญ่เป็นการปีนบันไดและทางลาดอย่างต่อเนื่อง เล่นเอาหอบ ต้องหยุดพักตามรายทางเพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อล้าจนเกินไป เราพักบ่อยพอสมควร แต่เวลาเดินก็เดินกันที่ความเร็วที่ไม่น่าเกลียดหรือเกะกะขวางทางจนเกินไปนัก
สุดท้ายแล้วก็เป็นผม ที่ตะคริวถามหา มันมาแปลก ดันมาที่กล้ามเนื้อต้นขาด้านใน สงสัยจะใช้ต้นขาหนักจริง ๆ ยังโชคดีที่มันมาแบบเหมือนเป็นสัญญาณเตือนให้พักมากกว่าที่จะมาเล่นงานอย่างจริงจัง พอสัญญาณมาผมก็หยุด เป็นแบบนี้ประมาณ 2 ครั้งกว่าจะถึงที่หมาย
ส่วนแฟนผมก็หยุดพักบ่อยหน่อย (คือ ผมก็เหนื่อยนะ แต่รอหยุดพร้อมแฟนดีกว่า ไม่ต้องออกปากเอง 555 ... แค่พูดก็เหนื่อยแล้ว) แต่เธอก็อึดเหลือเกิน เพราะเธอออกเดินมาจาก Lukla รวมแล้วเธอเดินมา 4 5 ชั่วโมงแล้ว ในขณะที่ผมกับพี่อีกคนเดินมาเพียง 2 ชั่วโมงกว่า 3 ชั่วโมง ผมยังไม่อยากจะเชื่อว่า เธอจะอึดขนาดนี้
จุดที่พีคที่สุดของ leg นี้คือ จุดขึ้นถึง Namche ที่เหมือนกับโผล่ขึ้นไปถึงจุดสูงสุดที่ไม่มีอะไรขว้างสายตา หลังจากที่มีทางขึ้นเขาที่ปีนกันมาบังอยู่ด้านหน้าตลอด และพอมองลงมาก็เห็น Namche Bazaar อยู่ในหุบเขาเบื้องล่าง มีบ้าน ที่พัก ร้านรวง สร้างเรียงลดหลั่นไล่ระดับลงไป คล้ายการทำนาขั้นบันได ... ณ จุดนั้นคือ มันเหนื่อยมากครับ ล้ามาก ขาสั่น แต่คือทำได้ ขึ้นมาถึงแล้ว สำเร็จแล้ว
Namche Bazaar เป็นจุดพักและซื้อของจุดสุดท้ายก่อนเดินทางสู่ EBC ราคาของแพงกว่าข้างล่างแน่นอน กลุ่มที่จะเดินต่อไปยัง EBC จะมาพักที่นี่เพื่อปรับตัว พักร่างกาย และออกไปซ้อมเดิน โดยจะอยู่ที่นี่ประมาณ 2 คืนขึ้นไป แล้วแต่แผนของแต่ละคน
ที่ความสูง 3,440 ม. ความหนาวเย็นไม่เป็นสองรองใคร พระอาทิตย์ยังไม่ตกดีก็ไม่อยากจะเอามือออกจากกระเป๋ากางเกงแล้ว คุณไกด์บอกว่า อาทิตย์ก่อนหิมะยังสูงเป็นฟุตอยู่เลย
เราได้ห้องพักแบบไม่มีห้องน้ำในตัว คือ มันทรมานทีเดียวที่จะต้องออกจากห้อง ซึ่งไม่ได้อุ่นเลย ไปยังที่ ๆ ยังเย็นซะกว่าอย่างห้องน้ำที่เปิดหน้าต่างไว้ แถมยังต้องผจญกับสิ่งรบกวนประสาทสัมผัสทั้งทางตา จมูก และสัมผัส คงไม่ต้องอธิบายไปมากกว่านี้ "มันคือห้องน้ำรวม" ครับ ผมก็แค่ไปแปรงฟัน ทำธุระเบา ยังแทบตาย
เราผ่านคืนอันหนาวเหน็บที่อุณหภูมิ -1 ถึง 1 องศา (คุณไกด์บอกตอนเช้าวันรุ่งขึ้น) จากประสบการณ์เมื่อคืนก่อน ทำให้เราบอกคุณไกด์ให้หาผ้าห่มและฮีทเตอร์มาให้เรา แต่สุดท้ายก็ได้แค่ผ้าห่มอย่างหนา ซึ่งเพียงพอ อย่างไรก็ตาม หัวค่ำวันนั้นผมรีบเข้านอนเพราะไข้ขึ้นอย่างหนัก ก็เล่นใส่เสื้อยืดตัวเดียวเดินตากลมเป็นชั่วโมง ๆ เพราะร้อนจัดในระหว่างทางขาขึ้น
สรุปว่า
- ผมนอนไข้ขึ้น แต่ก็หายตั้งแต่ก่อนจะเช้า
- พี่ที่ไปด้วยกันหลังจากซดเบียร์ Everest ข่มนามมาทุกคืน ก็ไข้ขึ้น ณ กลางดึกวันนั้น สู้อากาศหนาวไม่ไหว พอตอนเช้าแกตื่นมาทานอาหารได้เล็กน้อย แล้วก็ต้องทานยากลับไปนอนพักต่อถึงเที่ยง
- แฟนผม ... นางไม่เป็นอะไรเลย สรุปรวมนางเดินไปประมาณ 6 7 ชั่วโมง และไม่เป็นอะไรเลย เช้าวันรุ่งขึ้นยังออกไปเดิน ๆ ปีน ๆ ขึ้นไปไหว้พระที่วัดด้วยกันกับผม
ตอนต่อไป ... ความท้าทายกับการสูญเสีย
/(=o=)\