Monday, 21 April 2014

หนีเที่ยวเนปาล - (ตอนที่ 2) กาฐมาณฑุ ... ทั้งวันทั้งคืน

ทะยานออกจากที่พักตอนนั้น ก็บ่ายโมงกว่าแล้วเห็นจะได้ ก่อนจะไปชมเมือง จึงพุ่งไปสวาปามอาหารญี่ปุ่นที่ร้าน Koto ตามคำแนะนำร้านอร่อยที่ได้ยินมาจากคนไทยที่อยู่ที่กาฐฯ

อาหารญี่ปุ่นอร่อย ๆ ราคาสมเหตุผล นับว่าเป็นอะไรที่หายากมากในมุมไบ ส่วนใหญ่ที่มีก็มักจะราคาสูง รสชาติก็ใช่ว่าจะดีแท้ซะทีเดียว บางร้านได้ยินว่าเทพมาก แต่สนนราคาค่าความอร่อยก็ถีบทะยานตามมาเป็นเงา ประมาณว่าค่าใช้จ่ายเฉลี่ยตกหัวละเกือบ 7 พัน - 1 หมื่นบาท ต่อมื้อเลยทีเดียว

มาเจอร้าน Koto ครั้งนี้ จึงเป็นโอกาสในการบรรเทาความ (อด) อยากอาหารญี่ปุ่นได้เป็นอย่างดี
บรรยากาศภายในร้าน ดูสบาย ๆ และสะอาดสะอ้าน

บรรยากาศร้านที่สะอาดสะอ้านสบายตา คือ อยู่เมืองแขกมานาน บอกได้เลยว่า เหมือนหลุดมาอีกโลกหนึ่ง ไม่น่าเชื่อว่าเนปาลจะดีขนาดนี้ โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับเพื่อนบ้านตัวโตทางตอนใต้

นอกจากนั้น ยังไม่มีเสียงดังบ้าบอให้ปวดประสาทหู ไม่มีกลิ่นประหลาด 3 ประการ (1) กลิ่นขยะ (2) กลิ่นคาวแบบสะพานปลา/ตลาดสด และ (3) กลิ่นสาบคน มาบั่นทอนความอยากอาหารและสร้างความหงุดหงิดใจ แบบในมุมไบ ที่คุณไม่สามารถเลี่ยงกลิ่น 1 ใน 3 นี้ได้ จริง ๆ แล้ว เจอกลิ่นเดียวนับว่าโชคดี

อาหารก็หน้าตาสวยงาม ส่วนรสชาติก็ยากจะติ เป็นรสชาติที่ถูกปากคนไทย (คือ ออกหวานสักนิด) กับราคาที่หาไม่ได้ในมุมไบ ... บอกได้แค่ว่าแค่มื้อแรกก็หลงรักกาฐฯ เข้าอย่างจัง

เป็นความรู้สึกปลาบปลื้มที่ยากจะบรรยาย อาจจะเว่อไปหน่อย
> สุกี้เนื้อ > เท็มปุระอุด้ง > คัตสึด้ง > มิโซะ
ถ้าจะบอกว่าเหมือนได้ดื่มโค้กกลางทะเลทรายร้อนระอุ แต่ก็เป็นแบบนั้นจริง ๆ ครับ อาหารญี่ปุ่นครั้งสุดท้ายน่าจะเป็นที่กรุงเทพฯ เมื่อต้นเดือน ธ.ค. ปีที่แล้วที่ได้มีโอกาสกลับกรุงเทพฯ

สั่งอาหารอย่างเมามันด้วยความอดอยากอาหารญี่ปุ่น โดยเน้นหนักที่กุ้งเทมปุระซึ่งเป็นอาหารขึ้นชื่อของร้านนี้ ตามด้วยออเดิฟเย็น - ไก่แช่ซีอิ้ว ก่อนจะจัดหนักด้วยอาหารในภาพด้านบน และตบท้ายด้วยรายการเทมปุระอีกครั้ง - ข้าวปั้นกุ้งเทมปุระ สำหรับผม บอกได้แค่ว่า ไร้คำบรรยาย (ราคาประมาณจานละ 150 - 400 บาท กุ้งแพงครับ เพราะเนปาลไม่ติดทะเล)

อิ่มหนำสำราญและพุ่งไปซื้อซิมโทรศัพท์เรียบร้อยแล้ว (ใช้รูป 1 รูปกับเงินเล็กน้อย) ก็ได้เวลาท่องเมือง คุณไกด์ใจดีพาเรามุ่งสู่ที่หมายแรก "ลลิตบุรี" หรือ Lalitpur นครแห่งความงาม (ชื่อเล่น - Patan) ตั้งอยู่ในหุบเขากาฐมาณฑุ ทางทิศเหนือและตะวันออกของกาฐฯ
พระราชวัง แห่ง นครลลิต

สถาปัตยกรรมวังเก่าแห่งนี้ เต็มไปด้วยเรื่องราว ... ที่ผมก็จำไม่ค่อยได้ ได้แต่ชื่นชมความงามการผสมผสานงานแกะสลักไม้กับสิ่งปลูกสร้างจากอิฐ และความเชื่อจาก 2 ศาสนา คือ พุทธและฮินดู แต่ที่น่าสังเกตคือ ประตู หน้าต่าง บันได ต่างก็มีขนาดเล็ก (เตี้ย) กว่าปกติ ประตูต้องก้มห้วจึงจะผ่านเข้าไปได้ ส่วนบันไดก็ขนาดเพียงครึ่งเท้า ... แต่ก่อนคนที่นี่คงตัวเล็ก ... เห็นคุณไกด์ว่าอย่างนั้น ซึ่งก็น่าจะจริง เพราะเท่าที่เห็นในปัจจุบันคนที่นี่หลายส่วนก็ตัวเล็ก น่าจะเป็นเพราะเรื่องข้าวปลาอาหารเป็นหลัก
จากนั้นก็ได้เวลาดื่มด่ำความงามของเมืองโดยการนั่งแช่นั่งชิว จิบชา พร้อมถอดสายตาอย่างไร้จุดหมาย

และแล้วก็พบร้านชาน่ารัก ๆ ให้บริการทั้งชากาแฟ พร้อมขายใบชาและเม็ดกาแฟเนปาลหอมกรุ่น (ขนาดผมไม่ดื่มกาแฟยังว่าหอมเลย) กับน้องคนขายหน้าตาน่าหยอก (คาดว่าเป็นน้องสาวเจ้าของร้าน หรือไม่ก็เป็นเจ้าของร้านนั่นแหละ)

ภาพความทรงจำเดิมย้อนกลับสู่ความเป็นจริงอีกครั้ง แต่ไม่เพียงเท่านั้น ความประทับใจกลับทวีมากขึ้นอีก จากภาพการผสมผสานที่ลงตัวสุด ๆ ร้านรวงมากมาย  แต่ไม่รกหูรกตา แต่ละร้านสีสันสดใส น่ารัก ไม่ขัดตา ถ้าให้เปรียบดีกรีความชิว ก็คงประมาณเมืองทางเหนือของไทย
ร้านชา กาแฟ น่ารัก ๆ




ที่หมายต่อไปคือ วัดทอง แปลตรงตัวจาก Golden Temple หรือมีชื่อท้องถิ่นว่า Hiranya Varna Mahabihar 1 ในสถานที่มรดกโลกที่มีมากมายเต็มเมืองไปหมด ไปที่ไหนก็เห็นแต่สัญลักษณ์มรดกโลกของ UNESCO

วัดทองเป็นวัดขนาดไม่ใหญ่ สภาพด้านในเหลืองอร่ามแม้จะแอบหม่นนิด ๆ ตามกาลเวลาแต่ก็สวยงามด้วยรายละเอียดการแกะสลัก
คนที่นี่ศรัทธาแรงกล้าและให้ความเคารพศาสนสถานมาก เชื่อว่า ไม่มีใครเคยเห็นการใช้นิ้วมือเปล่า ๆ เช็ดมูลนกสดจากพื้นวัดเพื่อความสำอาด เขาเคารพศรัทธากันระดับนั้นล่ะครับ คนไทยคงไม่ขนาดนั้น

หลังจากไหว้พระ ทำบุญเรียบร้อย ก็มุ่งหน้าออกจาก Lalitpur ไปยังวัดอีกแห่งคือ วัดสยมภูนาท (Swayambhunath) หรือวัดลิง การจะขึ้นไปถึงเจดีย์ (stupa) ด้านบน มีให้เลือก 2 ทาง คือ บันได 365 ขั้น ซึ่งไม่ทราบว่ามีความหมายอะไรหรือไม่ แต่ที่แน่นอนคือ เล่นเอาหอบเหมือนกัน (ใครไม่ไหวก็นั่งรถขึ้นไปได้ครับ แล้วขึ้นบันไดต่ออีกสั้น ๆ)

จุดเริ่มต้น 365 ขั้น
วันนั้นเป็นวันปีใหม่ของเนปาลพอดี (14 เม.ย.) ตรงช่วงปีใหม่ไทยเช่นกัน จึงมีคนเนปาลเดินขึ้นเขากันมาไหว้พระทำบุญจำนวนมาก แต่ที่น่าสังเกตคือ มีวัยรุ่นเป็นจำนวนมากจับกลุ่มกันมาทำบุญไหว้พระ อาจจะคล้าย ๆ กระแสสวดมนต์ข้ามปีของไทยที่ได้รับความนิยมจากกลุ่มวัยรุ่นมากขึ้นเรื่อย ๆ

วัยรุ่นที่นี่ น้อง ๆ เกาหลีนะครับ พูดเป็นเล่นไป แต่งตัวกันมันมาก แต่ไม่โป๊นะ คุณไกด์บอกว่า กระแสเกาหลีกำลังมาแรง แถมหน้าคนเนปาลยังออกแนวเกาหลีด้วย เลยไปกันได้แบบไม่ขัดเขินหรือขัดหูขัดตา อีกอย่างคือ สภาพอากาศเป็นใจ คือ มีช่วงหนาวจริง ๆ ช่วงที่ไปนี่ก็ยังเย็น ๆ น้อง ๆ เนปาลเลยจัดเต็มกันได้พอสมควร

ศาสนสถานเหล่านี้จะผสมผสานศาสนาฮินดูและพุทธเข้าด้วยกันอย่างไม่สามารถแยก ออกจากกันได้ โดยจะมีสิ่งปลูกสร้าง รูปบูชา หรือสัญลักษณ์ปรากฏผสมผสานกันไปในบริเวณเดียวกัน เช่น ภายในวัดลิงนี้
 

สถูป หรือ เจดีย์ สวยงามแบบศิลปะทิเบต
ไฮไลท์อีกอย่างของที่นี่คือ พระพุทธรูปปางประทานพร ซึ่งคุณไกด์บอกว่า เป็นแบบเดียวกับพระพุทธรูปหินองค์ใหญ่ที่แกะจากหน้าผาในอัฟกานิสถานที่โดนพวกหัวรุนแรงยิงซะพรุนไปแล้ว

จุดนี้เองที่ได้เห็นว่าทำไมที่นี่จึงมีชื่อเรียกอย่างเป็นกันเองว่าวัดลิง

ผมเดาเอาว่า องค์พระพุทธรูปเป็นศิลปะแบบคันธาระ (Gandhara) สังเกตได้จากลักษณะที่คล้ายศิลปะกรีกโรมัน เช่น ผ้าคลุมด้านหลัง ท่าทางการยืนที่เอนเล็กน้อย การมีรัศมีแบบนักบุญตะวันตก แม้รูปหน้าจะไม่ชัดเจนว่าเป็นแบบกรีกโรมันซะทีเดียว แต่ก็แสดงให้เห็นอิทธิพลที่ได้รับจากครั้งพระเจ้าอเล็กซานเดอร์มหาราชยกทัพสู่ชมพูทวีป ถ้าจำไม่ผิดศูนย์กลางศิลปะรุ่นนี้จะอยู่ทาง
พระพุทธรูปกับผู้ดูแลเจ้าถิ่น

อัฟกานิสถานและปากีสถาน โดยมีพระพุทธรูปปางบำเพ็ญทุกรกิริยา (fasting buddha) เป็นไฺฮไลท์ ของจริงตอนนี้ ปากีสถานเก็บรักษาไว้ที่พิพิธภัณฑ์เมืองละฮอร์ (Lahore) งามมากครับ พระพักตร์พระพุทธรูปเป็นแบบศิลปะกรีกโรมันชัดเจน

เรียบร้อยครับ ไหว้พระทำบุญเอาฤกษ์เอาชัยเล็กน้อย ก่อนออกเดินทางในวันรุ่งขึ้นสู่สนามบินที่อันตรายที่สุดในโลก

ต่อมาจึงเป็นเวลาท่องเที่ยวซื้อของเตรียมตัว และชิวยามค่ำคืนที่กรุงกาฐฯ ... มันเยี่ยมมากครับ

หลังจากเข้าที่พัก ก็ได้ออกไปเดินเล่นในเขตที่ชื่อว่า Thamel ซึ่งก็คล้าย ๆ โซนที่มีนักท่องเที่ยวชาวต่างอยู่มาก ๆ ที่บ้านเรา เช่น ถ.ข้าวสาร ถ.พระอาทิตย์ หรือจะเป็นเชียงใหม่ สรุปว่า ชิวครับ ร้านรวงมากมาย เน้นขายอุปกรณ์เดินเขา North Face เต็มไปหมด แต่ราคาช่างย่อมเยานัก สอบถามมา ได้ความว่า ของจีนครับ ถ้าของแท้สามารถหาได้ที่ช็อป แต่แพงกว่า 5 เท่า ... สุดท้ายได้ไม้ช่วยเดินเขาอันละ 4 USD ตามด้วยถุงมือ ผ้าปิดจมูกปากเพื่อรักษาความชื้นและความอบอุ่นของลมหายใจ และกระป๋องใส่น้ำราคาประมาณเดียวกัน คุ้มมากครับสำหรับมือสม้ครเล่น ได้ของเรียบร้อยจึงมุ่งหน้าหามื้อค่ำ

ร้านที่นี่มีมากมาย น่ารัก สวยงาม น่านั่ง ราคาเป็นกันเอง มีให้เลือกหลากสไตล์จะชิวมาชิวน้อยจนระดับปารตี้หนักหน่วง คาราโอเกะมีให้เลือกหมด ถ้ามาจากไทยคงไม่อะไรมากครับ แต่มาจากมุมไบ ... นี่มันสวรรค์ชัด ๆ

ร้าน New Orleans เป็นร้านในสวน ตึกเก่าโชว์อิฐสีตัดกับต้นไม้สวยงาม ให้บรรยากาศสบาย ๆ ธรรมชาติ เปิดเพลงแจ๊ซสมชื่อ นั่งสบาย เพลงรื่นหู อาหารรื่นลิ้น เสียดายจัดหนักไม่ได้ เพราะพรุ่งนี้เดินทางแต่เช้า

ร้าน New Orleans ประดับไฟฉลองปีใหม่
สถานที่จริงน่าอภิรมย์มากกว่าในรูปมาก

มาถึงเนปาล ก็ต้องชิมเบียร์เนปาล ค่ำคืนนี้จึงเลือกเบียร์ Everest มาดื่มข่มนาม เยี่ยมอีกแล้วครับ กลิ่นหอม รสชาติดี ลื่นคอ คนเนปาลบอกว่า เป็นเบียร์ที่ดีที่สุดของเนปาล แต่อันนี้ก็คงแล้วแต่ชอบครับ

หมดไปอีกหนึ่งวัน กาฐฯ มีตัวเลือกให้นักท่องเที่ยวมากมายด้านอาหารและสินค้า (มีซุปเปอร์แบบที่เราเห็นในเมืองท่องเที่ยวบ้านเรา เช่น ที่พัทยา มีของนำเข้ามากมายให้เลือกซื้อ ราคาก็ไม่น่าเกลียด แพงกว่าบ้านเราเล็กน้อย อากาศเย็นสบาย แม้แดดจะแรงอยู่บ้างเพราะใกล้พระอาทิตย์เข้าไปอีกเป็นกิโลเมื่อเทียบกับกรุงเทพฯ หรือมุมไบ ผู้คนเป็นมิตร สถาปัตยกรรมสวยงาม จับจ่ายสนุกสนาน สะอาดกว่าเพื่อนบ้านแขกตัวโต คนซื่อ ๆ มีมารยาทกว่า ... ดีไปหมดจริง ๆ

 << รูปนี้คือ โมโม่ (Momo) หรือเกี๊ยวเนปาล แป้งจะหนาแข็งกว่าของไทย จีน ญี่ปุ่น ไส้เป็นไก่ผสมผัก หรือผักล้วน ตลบอบอวนด้วยกลิ่นเครื่องเทศ ที่ชาวแขกเรียก มาซาล่า (masala) ซึ่งเป็นชื่อเรียกรวมของเครื่องเทศที่ผสมกันขึ้นมา มีหลายสูตรสำหรับอาหารแต่ละชนิด มาซาล่าจึงเป็นคำเรียกรวม ๆ เหมือนคำ "น้ำพริก" บ้านเรา 

สรุปว่า ลองดูสักครั้งก็ไม่เสียหาย แต่ไม่ลองก็ไม่ได้พลาดอะไรครับ แต่ได้ยินว่า บางที่อร่อยมาก ทริปนี้เลยจัดไปหลายรอบเพื่อตามหาโมโม่ในฝัน ... ยังไม่เจอครับ

ตอนต่อไป หนีเที่ยวเนปาล - (ตอนที่ 3) เหิรเวหาสู่ Lukla จุดเริ่มต้นเส้นทางสู่เอเวอเรสท์


\ (^3^) /







หนีเที่ยวเนปาล - (ตอนที่ 1) จาก 14 ม. ไป 1,400 ม.

ช่วงสงกรานต์ที่เมืองไทยร้อนระอุ แม้เมืองมุมไบจะดีกว่าหน่อยเพราะเป็นเมืองชายทะเล แต่ก็ยังร้อนและเหนอะหนะน่ารำคาญเป็นที่สุด ผมจึงได้โอกาสหนีไปพึ่งแอร์คอนฯ ของพระเจ้าที่เนปาล

จุดหมายแรก : เมืองหลวง - กรุงกาฐมาณฑุ

จากความสูง 14 ม. เหนือระดับน้ำทะเล สู่ระดับความสูง 1,400 ม. (มุมไบ - กาฐมาณฑุ)

ผมเคยได้ไปทำความรู้จักกับเมืองหลวงที่สวยงามแห่งนี้มาแล้ว 1 ครั้ง เมื่อสัก 3-4 ปี ที่แล้ว แต่ก็เป็นเพียงระยะเวลาสั้น ๆ ไม่เกิน 2 วัน แต่ก็จำได้ความสวยงามและน่ารักของเมืองที่ผสมผสานความสวยงามของสถาปัตยกรรมและการตกแต่ง "ขอบ" ต่าง ๆ ด้วยไม้แกะสลักรายละเอียดละออ กับ ร้านกาแฟ/ชา น่ารัก ๆ ให้ผู้มาเยือนได้พักเท้าและชื่นชมความสวยงามของเมืองพร้อม ๆ ไปกับดื่มดำกับกาแฟ / ชา หอมกรุ่น แน่นอนครับ กาแฟ/ชาของเนปาล



วิวเนปาลมุมสูง (เมืองอะไร ไม่ทราบได้)
เมื่อลงเหยียบแผ่นดินเนปาล อากาศวูบแรกที่สัมผัสได้ ก็ไม่ทำให้ผิดหวัง อากาศเย็นสบายกำลังดีและสดชื่นเป็นที่สุด ช่างต่างจากมุมไบอย่างลิบลับ

ด่านแรกคือ ตม. คนไทยสามารถขอ Visa on Arrival ได้ แต่คงจะต้องใช้เวลาไม่น้อยเพราะแถวยาวทีเดียว เต็มไปด้วยฝรั่งหัวทองต่อคิวแน่นขนัด แต่เจ้าหน้าที่ ตม. เนปาลก็ดูแข็งขันและเต็มที่ พอคิวตัวเองว่างก็จะกวักมือเรียกคิวอื่นให้ไปรับบริการทันที ช่างต่างจากมุมไบอย่างลิบลับ ที่นอกจากจะไม่ค่อยมี จนท.ตม. นั่งประจำแล้ว ยังชอบไล่ไปแถวอื่น เกี่ยงงานกันอย่างเชี่ยวชาญ ประดุจว่า เราเข้าใจผิดไปเองว่าสิ่งนี้เป็นหน้าที่ของมวลหมู่ ตม. ทั้งหลายเหล่านั้น แต่จริง ๆ แล้ว อาจเป็นเพียงแค่งานอดิเรก โดยหน้าที่จริง ๆ คือ การจับกลุ่มเม้าซี่กันอย่างออกรสออกชาติ ออกหน้าออกตา พร้อมกับโบกมือให้ผู้มาเยือนไปต่อแถวอื่น

ผมเชื่อว่า คนที่นี่เขาคิดว่า เขาไม่ได้ง้อให้ใครมาประเทศเขาครับ เพราะฉะนั้นมาแล้ว คนที่นี่เขาก็ไม่สนใจหรอกครับ

กลับมาที่เนปาลอีกครั้ง ด่านต่อไปคือ เครื่องแสกนสัมภาระติดตัว ... ก็กระเป๋าที่เรานำขึ้นเครื่องน่ะแหละครับ อันนี้คิดว่า น่าจะเป็นส่วนของศุลกากรครับ ผ่านด่านนี้ไปจึงจะเข้าสู่บริเวณที่รับสัมภาระ

คนแน่นขนัดสนามบินนานาชาติ Tribhuvan ทีีเดียว คงเป็นเพราะช่วงเวลาดังกล่าวมีเที่ยวบินลงติด ๆ กัน 4-5 เที่ยวบิน และสนามบินก็มีสายพานรับกระเป๋าเพียง 2 เส้นเท่านั้น คนจึงออกันแน่นขนัด ชะเง้อคอมองหากระเป๋าของตัวเอง ในส่วนของผมก็มองซ้ายทีขวาทีเพราะไม่รู้ว่ากระเป๋าจะมาสายพานไหน ไม่ยอมขึ้นจอสักที ต้องคอยสังเกตคนท้องถิ่นที่ลงมาจากเที่ยวบินเดียวกัน จนในที่สุดก็มีเจ้าหน้าที่เดินมาประกาศว่า "มุมไบ สายพาน 2 จ้า"

ผ่านไปร่วม 1 ชม. ผมจึงได้พบหน้ากระเป๋าของตัวเองอีกครั้ง โดยในครั้งนี้มาแบบ "แบกเป้ลุย" ครับ ครั้งนี้เราจะไปเดินเล่นตามเส้นทางขึ้นสู่ Everest Base Camp หรือที่รู้จักกันในวงการว่า EBC (5,364 ม.) แต่ตามแผนเราจะไปถึงแค่ Namche (นัมเจ - 3,440 ม.) หรือ Namche Bazaar ห่างจาก EBC อีก 6-7 วันเดิน ความสูงต่างกัน 1,924 ม.

ได้กระเป๋าแล้ว ก็มาผ่านด่านศุลกากรด้วยการแสกนกันอีกรอบครับ เมื่อผ่านมาได้แล้ว ก็เป็นอันเสร็จพิธี

เสียง "แทกซี่" ที่ขึ้นสูง ทำหน้าที่แทนคำถาม ดังฟังชัดจากหลากหลายแหล่งที่มา ดังประโคมต้อนรับผู้มาเยือน ในส่วนของผมมีรถจาก บ.ทัวร์มารับ จึงได้แต่ยิ้มให้และเดินผ่านไป ... ดีครับ ไม่มีเซ้าซี้ พอบอกไม่เอาก็สามารถคุยเล่นทักทายกันได้ เขาอยากคุยกับเรา - "ผู้มาเยือน" เราอยากคุยกับเขา - "เจ้าถิ่น" คุยกันถามข้อมูล ช่วยเราหาคนและรถที่มารอรับ โดยไม่มีการถามถึงเรื่องรถอีก คนที่นี่โดยรวมแล้วน่ารัก เป็นมิตร ซื่อ ๆ เว้นแต่จะซวยจริง ๆ เท่านั้นแหละครับ คนเนปาลรักคนไทยและนิยมสินค้าไทยครับ

ถึงโรงแรม ได้รับแจ้งว่า ช่วงนี้ ไฟดับวันละ 12 ชม. เป็นเรื่องปกติของเนปาลนะครับ ก็อาศัยเครื่องปั่นไฟสำรองเอา

ล้างหน้าล้างตาเล็กน้อย ก็ทะยานออกไปชมเมิือง

ต่อตอนหน้า ... หนีเที่ยวเนปาล - (ตอนที่ 2) กาฐมาณฑุ ... ทั้งวันทั้งคืน