Sunday, 1 September 2013

ไม่มีแตร...อีนี่ช้านจะอยู่ยังไง

ทุกคนที่ได้มาอินเดีย หรือชมสารคดีเกี่ยวกับอินเดียมักจะมีภาพของความวุ่นวายบนท้องถนน ทั้งคนเดินเท้า ทั้งวัว แพะ ไก่ และรถราเคลื่อนตัวผสมปนเปอย่างอิสระ ขวักไขว่ จอแจ จนหลายครั้งมองหาพื้นถนนแทบไม่เจอ อีกทั้งพื้นถนนและทางเท้ายังเป็นพื้นที่สารพัดประโยชน์ ไม่ว่าจะเป็นห้องน้ำ ที่สังสรรค์ สนามคริกเก็ต สนามเด็กเล่น ห้องครัว ห้องนั่งเล่น ห้องนอน ฯลฯ ตามแต่จะจินตนาการกันไป (แต่เป็นจริง)

แม้ในเมืองใหญ่ ๆ อย่างมุมไบจะมีน้องวัวให้เห็นน้อยนัก แต่สภาพความสับสนอลหม่านไม่ได้ลดน้อยถอยลงแต่อย่างใด นอกจากถาพที่ติดตาจนมีผู้มาเยือนหลายท่านถามหาอยากเห็นวัวเดินตามท้องถนนอย่างสุนัขจรจัดในเมืองไทย แต่สิ่งที่ติดประสาทสัมผัสเราอีกอย่างก็คือเสียงแตร ประดุจดนตรีประกอบการขับขี่ที่หากขาดไปคาดว่าคนที่นี่คงจะขับรถกันไม่ได้เลยทีเดียว

อาจฟังดูเหมือนเว่อร์ แต่ความจริงแล้วไม่เว่อร์ เพราะการกดแตรที่นี่มีส่วนน้อยนักที่เป็นการต่อว่าด่าทอ แต่เป็นการให้สัญญาณว่า "ช้านมาแล้วนะนาย" หรือ "ไปได้แล้วนายจ๋า จะเขียวแล้ว" ... ถูกต้องครับ ที่นี่เริ่มให้สัญญาณตั้งแต่ยังไฟแดงอยู่ เหลือสัก 2 3 วินาที ก็เริ่มประสานเสียงปลุกคันหน้ากันแล้ว (ระบบดิจิตอลนับถอยหลังแบบบ้านเรา)

นอกจากนี้ คนที่นี่ยังไม่ค่อยใช้กระจกมองข้าง (ที่เคยเล่าคร่าว ๆ ไปแล้ว) แถมกระจกมองหลัง และสัญญาณขอทางซ้ายขวา ก็มีไว้ประดับรถเป็นหลัก ส่วนใหญ่จะมองแค่ข้างหน้า หากเห็นช่องทางข้าง ๆ ว่าง ก็หักหัวออก โดยไม่ค่อยได้สนใจว่ารถคันหลังของช่องทางนั้นจะพุ่งมาด้วยความเร็ว หรือสุ่มอยู่ตรงนั้นอยู่แล้ว แต่หากได้ยินเสียงแตรก็หักกลับ หรือไม่ก็หันมามองแล้วก็แซงเข้ามาเหมือนเดิมหลังจากที่คำนวณแล้วว่า "ยังไงช้านก็จะไป" ด้วยเหตุนี้ประกอบกับการขาดวินัย...ไม่สิ อิสรภาพเหนือขีดจำกัด ใครดีใครได้ของการขับรถที่นี่ทำให้ไม่สามารถขาดแตรได้ ไม่เช่นนั้นคงชนกันวินาศสันตะโรไม่เว้นแต่ละวัน

ไม่ใช่ว่าคนที่นี่ไม่รู้ว่าเสียงแตรระงมแบบนั้นมันเป็นมลพิษทางเสียง แต่คงด้วยความเคยชิน ไม่คิดอะไรมาก และอาจจะพูดได้ว่าเกลียดการเปลี่ยนแปลง (แม้จะเป็นในทางที่ดีขึ้น...มีบางคนกล่าวว่า คนอินเดียระดับล่าง-กลางพอใจอะไรง่าย อยู่มาแบบนี้ก็สบายดีอยู่แล้ว จึงไม่ค่อยชอบการเปลี่ยนแปลง พัฒนา) แต่อย่างน้อยทางการเมืองมุมไบก็พยายามรณรงค์ขึ้นป้ายไป LED ขอให้ลดการใช้แตรเพราะก่อให้เกิดมลพิษทางเสียง ...ไม่ธรรมดานะครับ แต่ก็ใช่ว่าจะได้ผล ยังคงเหมือนเดิม ยิ่งช่วงรถติด ๆ นี่สุด ๆ ไปเลย

อิสรภาพในการใช้ท้องถนนทั้งรถ ทั้งคนเดินเท้ามีมากพอ ๆ กัน แต่รถแข็งกว่าคงมีอิสรภาพมากกว่าคนสักหน่อย แต่หากมองอีกมุม คนเดินถนนก็อาจจะมีมากกว่า เพราะรถมีหน้าที่หลบคน ในขณะที่คนไม่ค่อยสนใจรถ ...

อยากจะข้ามก็ข้าม ไฟเขียวก็ข้าม การเดินบนพื้นถนน (ซึ่งผมก็ทำเพราะเดินง่ายกว่าบนทางเท้าที่เต็มไปด้วยอุปสรรคนานับประการ) คือเดินไปเถอะ รถมีหน้าที่ระวังไม่ให้ชนจัง ๆ แต่เรื่องเสียดสีถูไถเป็นเรื่องปกติ แล้วก็ส่งเสียงแตรประสานกันเข้าไป แต่คนเดินก็ไม่รู้สึกหรอกครับ อาจจะเพลินซะด้วยซ้ำ ทั้งนี้ สำหรับชาวต่างชาติ ขอเตือนว่าให้ไว้ใจตาตัวเองเท่านั้นครับ อย่าเชื่อใจไฟแดง - คนขับรถอาจจะไม่ได้เห็นสีเดียวกับคุณ หรืออาจจะตีความต่างไปก็เป็นได้

เรื่องระเบียบวินัยที่นี่ไม่ต้องพูดถึง น่าจะอยู่ในรายการเดียวกับสัตว์สงวนหรือใกล้สูญพันธุ์ (ถ้ามันมีมาก่อนน่ะนะ...อันนี้ไม่แน่ใจ) การจอดรถส่งคนที่เกาะกลางเพื่อความสะดวกในการข้ามถนน จอดรถ...ที่ไหนก็จอด เป็นเรื่องปกติ เคยเจอจอดริมถนนซ้อนสองตรงจุดกลับรถ ... ไหน ๆ ก็ซ้อนสองแล้ว จอดเลยไปหน่อยไม่ได้ คือ หน้าด้านแล้วก็ช่วยอย่าทำให้คนอื่นเดือดร้อนนัก ... พอกดแตร อีตาคนขับรถก็โผล่มา ใช่ครับ จอดซ้อนสองบนถนนที่มีด้านละ 2 เลน แถมตรงจุดกลับรถอีก (กลับรถหักไม่พ้น) ไม่พอ...คนขับไม่มีรอในรถนะครับ พอมาถึงรถแทนที่จะเลื่อนรถไปจอดให้ดี พี่แกมาโบกรถให้ครับ แปลภาษากายได้ดังนี้ "มา ๆๆๆ พอ .. ถอย ๆๆๆ อ่ะ มา ๆๆๆ อ่ะ พ้นละ"  คือ ถอยไป 3 รอบ มันน่านัก...

ตอนนี้ เวลาเห็นตามท้ายรถบรรทุกทาสีเป็นข้อความไว้ว่า "HORN OK PLEASE" จึงเหมือนเป็นการอ้อนวอนว่า "ขอตรูใช้แตรต่อไปเถอะนะนายจ๋า" (จริง ๆ เขาบอกให้รถที่ตามมากดแตรให้สัญญาณเพราะรถบรรทุกมองไม่เห็นข้างหลัง กระจกมองข้างก็ไม่ใช้ - ได้ยินเสียงแตรแล้วค่อยมอง)



. . . ปวดตับ . . .

1 comment:

  1. ชอบมาก ... (มักง่ายและ) หน้าด้านแล้วช่วยอย่าทำให้คนอื่นเดือนร้อน

    ReplyDelete