Wednesday, 18 December 2013

ผัดไทยห่มสาหรี่


หลายปีที่ผ่านมารัฐบาลไทยหลายยุคหลายสมัยต่างผลักจุดแข็งด้านอาหารของไทยเป็นจุดขายเพื่อส่งเสริมการส่งออกสินค้าและบริการ และการท่องเที่ยว โดยมีมาตรการและกิจกรรมต่าง ๆ ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนออกมาสร้างสีสันกระตุ้นกระแสนิยมอาหารไทยอย่างต่อเนื่อง
           
อาหารไทยมีจุดเด่นในเรื่องของรสชาติที่สลับซับซ้อนและกลมกล่อมครบรส ตลอดจนสามารถปรับรสเผ็ดได้ตามใจปรารถนา ทำให้ชาวต่างชาติรับประทานได้อย่างพอแซ่บ แต่ไม่เป็นอันตรายต่อลิ้น จนอาหารไทยเป็นที่นิยมระดับโลก ซึ่งชาวอินเดียก็รวมอยู่ในกลุ่มนี้เช่นกัน จากการสอบถาม กลุ่มตัวอย่างชาวอินเดียเห็นว่า อาหารไทยอร่อย มีรสชาติเผ็ดร้อน และดีต่อสุขภาพ (ไขมันน้อยกว่าอาหารอินเดีย)

หากพูดถึงอาหารอินเดีย คนส่วนใหญ่คงนึกถึงโรตี และแกงกะหรี่ ซึ่งก็พอจะกล่าวได้ว่า อาหารทั้งสองสะท้อนภาพลักษณ์ของอาหารอินเดียได้ดี คือ ไม่ว่าจะทอด ต้ม ปิ้ง ย่าง จะต้องมีเครื่องเทศมากมายเป็นส่วนผสมเพื่อให้ได้รสชาติที่ลุ่มลึก (คนอินเดียเขาว่าอย่างนั้น) ซึ่งต่างจากกลิ่นและรสของอาหารไทย อีกสิ่งที่ขาดไม่ได้ในอาหารอินเดียคือ ข้าว ขนมปัง หรือแผ่นแป้งชนิดต่าง ๆ ที่คนอินเดียให้ความสำคัญมากและมักจะบริโภคกันเป็นจำนวนมากในมื้อกลางวันและเย็น โดยยังนิยมรับประทานอาหารด้วยมือทำให้แกงต่าง ๆ ต้องมีเนื้อสัมผัสข้น เพื่อช่วยให้ข้าวจับตัวกันได้ หรือห่อหยิบทานกับแผ่นแป้งชนิดต่าง ๆ ได้ไม่ยาก
 
ชาวอินเดียนิยมบริโภคอาหารอินเดียเป็นหลัก ขนาดว่าเดินทางไปท่องเที่ยวต่างประเทศก็ยังต้องหาอาหารอินเดียมารับประทานกัน โดยเฉพาะกลุ่มสูงวัยกระเป๋าหนักที่ติดรสชาติอาหารถิ่นของตน ที่ได้ยินว่า ลงทุนเอาคนครัวตามไปทำอาหารถึงไทยก็มี ซึ่งไม่ต่างจากพี่ไทยเรานัก จะข้ามน้ำข้ามทะเลไปที่ใดต้องมีน้ำพริกติดตัว อย่างไรก็ตาม อาหารต่างชาติก็สามารถเจาะตลาดอาหารในไทยได้อย่างอึกทึกคึกโครม
ปัจจุบันการจะนึกถึงชื่อร้านอาหารไทยดี ๆ สักร้านดูจะยากกว่าการนึกถึงชื่อร้านอาหารต่างชาติเป็นไหน ๆ  โดยเฉพาะอาหารที่มากับกระแสนิยมทางวัฒนธรรมอย่างฟาสฟู๊ดจากเมืองลุงแซม อาหารจากแดนปลาดิบ และอาหารจากแดนกิมจิที่กระแสเจ-ป็อป (J-POP) และเค-ป็อป (K-POP) หนุนติดลมบนอย่างไม่ยากเย็น
         
สำหรับอาหารไทยในอินเดียนั้น อาจารย์เชฟชาวอินเดียแห่งสถาบันการโรงแรมของเครือโรงแรมยักษ์ใหญ่ของอินเดียที่มีโรงแรมกว่า 100 แห่งทั่วโลกเล่าให้ฟังว่า อาหารไทยเข้ามาในอินเดียเป็นเวลากว่า 40 ปีแล้ว พร้อม ๆ กับอาหารชาติอื่น ๆ เช่น จีน เม็กซิโก ฯลฯ โดยในปัจจุบัน อาหารบางชาติได้ล้มหายตายจากไปแต่อาหารไทยยังคงอยู่ในความนิยมของชาวอินเดีย แม้จะกลายพันธุ์ไปจนคนไทยจำกันไม่ได้ก็ตาม
หลายเดือนก่อนได้ชิมอาหารไทยที่ร้านแห่งหนึ่งในเมืองมุมไบที่ขึ้นป้ายต่อท้ายชื่อร้านว่า “specialty: Chinese and Thai” แต่อาหารที่ได้กลับผิดเพี้ยนทั้งหน้าตา กลิ่น และรสชาติ ทอดมันปลากลายเป็นก้อนแป้งทอดที่มีชิ้นเนื้อปลาเล็ก ๆ ผสมอยู่ประปราย ส่วนข้าวผัดกะเพรากุ้งกลายเป็นข้าวผัดน้ำมันพริกสีแดงเพลิงใส่กุ้ง น้ำมันเยิ้ม และมีใบกะเพรากรอบโรยหน้าพอให้รู้ว่าใส่แล้ว สรุปค่าเสียหาย 2 จาน 800 รูปี (500 บาท)
  
ร้านอาหารนานาชาติ อาหารเอเชีย (pan-Asian) และร้านอาหารอินเดียในมุมไบเท่าที่เคยสัมผัสมา มักจะมีแกงเผ็ด และแกงเขียวหวาน (Thai red curry & Thai green curry) ในรายการอาหาร โดยส่วนใหญ่จะรสชาติไม่เอาอ่าว กะทิไม่แตกมัน ใส่ผักนานาชนิด เห็นได้ชัดว่าทำไม่เป็น แต่ราคาสูงเพราะชื่อเป็นอาหารไทย

บางโอกาสได้คุยกับผู้ปรุงทำให้ทราบว่า ความเข้าใจผิดเกี่ยวกับอาหารไทยนั้นหยั่งรากลึกคือ เข้าใจกันว่า “พื้นฐานของอาหารไทยทุกอย่างคือ พริกแกงของไทย (Thai curry paste) ซึ่งมี 3 สี คือ แดง เขียว เหลือง” ถ้าห้ามไม่ทันวันนั้นคงได้ชิม “ผัดไทยพริกแกง” เป็นแน่แท้ โดยร้านเหล่านี้ส่วนใหญ่จะใช้พริงแกงสำเร็จรูป  

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า ชาวอินเดียส่วนมากไม่มีความรู้เกี่ยวกับอาหารไทย และอาหารไทยไม่ว่าจะ ไทยแท้ไทยไม่แท้ล้วนขายได้ราคา โดยปัจจุบัน อาหารไทยแท้ ๆ ที่ให้บริการในเมืองมุมไบส่วนใหญ่จะอยู่ในโรงแรมหรูและยังมีจำนวนน้อยมาก ส่วนอาหารไทย (แต่ชื่อ) มีให้เห็นดาษดื่นตามร้านอาหารระดับกลางบน - ระดับบน ซึ่งรวมถึงในโรงแรมระดับ 3-5 ดาวด้วยเช่นกัน แต่น่าเสียดายที่อาหารไทยแท้อร่อย ๆ ราคากลาง ๆ ยังหายาก

แม้คนอินเดียจะเหนียวแน่นอยู่กับอาหารประจำชาติ แต่กระแสโลกาภิวัตน์กำลังเบิกทางให้อาหารต่างชาติ เหตุการณ์เช่นนี้ดำเนินไปอย่างรวดเร็วในกลุ่มผู้มีรายได้ปานกลางค่อนไปทางสูง - สูง และกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งมีความเข้มข้นทางวัฒนธรรมในวิถีชีวิตเจือจางลงตามกาลเวลา ตลอดจนต้องการแสวงหาสิ่งใหม่ ๆ ที่ไม่ซ้ำซากจำเจ 

นอกจากนี้ การที่อาหารไทยยังติดชาร์ทเหนียวแน่นอยู่ในรายการอาหารของร้านในอินเดียมาจนปัจจุบัน ทั้งไทยแท้และไทยมั่ว เป็นข้อบ่งชี้ที่ดีว่า อาหารไทยขายได้ในอินเดีย ดังนั้น อาหารไทยจึงมีอนาคตที่ค่อนข้างสดใสในอินเดีย คือ ถ้าคุณภาพมาพร้อมราคารับรองว่าขายได้แน่นอน อย่างไรก็ตาม ต้องทำความเข้าใจเกี่ยวกับอินเดียให้ดีด้วย เช่น (ขอเน้นว่า “เช่น”)      
            1. ข้อจำกัดด้านอาหาร - ชาวอินเดียกว่าร้อยละ 60 รับประทานอาหารมังสวิรัติ ไม่รับประทานเนื้อวัว และหมู เนื่องจากคนส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดูและมีคนมุสลิมประมาณ 180 ล้านคน มากพอ ๆ กับปากีสถานทั้งประเทศ จึงต้องศึกษาพื้นที่ให้ดี อย่างไรก็ตาม จากการจัดเทศกาลอาหารไทยในพื้นที่ซึ่งประชาชนเกือบจะทั้งหมดรับประทานอาหารมังสวิรัติกลับพบว่า คนในพื้นที่ตื่นเต้นกับอาหารที่มีเนื้อเป็นส่วนประกอบเนื่องจากหารับประทานได้ยาก และยังได้ยินว่า วัยรุ่นจากครอบครัวมังสวิรัติหันมารับประทานเนื้อกันมากขึ้น
            2. รสชาติอาหารไทย - ไม่ถูกปากชาวอินเดียสักทีเดียว ซึ่งเป็นเรื่องปกติสำหรับอาหารต่างชาติไม่ว่าจะเข้าไปยังประเทศใด ไม่เว้นแม้แต่ไทยกับลาวที่ว่าใกล้ชิดกัน แต่จากข้อมูลที่มีชาวอินเดียเห็นว่า ในภาพรวมอาหารไทยเป็นอาหารที่อร่อย มีรสชาติเผ็ดร้อน และดีต่อสุขภาพ (ไขมันน้อยกว่าอาหารอินเดีย)  
            3. การทำธุรกิจในอินเดียไม่ง่ายนักอันเนื่องมาจากกฎระเบียบต่าง ๆ การติดต่อกับหน่วยงานราชการที่ไม่ต่างจากไทยเมื่อ 10-20 ปีก่อน และวิธีคิดแบบอินเดียที่อาจจะเข้าใจยากสักนิด การมีหุ้นส่วนชาวอินเดียที่ไว้ใจได้จะเป็นประโยชน์อย่างยิ่ง ขนาดสตาร์บัคส์ที่ว่าแน่ยังต้องแบ่งหุ้นให้กลุ่ม Tata เพื่อหยั่งขาในแดนภารตะ
            4. ราคาอสังหาริมทรัพย์ในอินเดียปรับตัวสูงขึ้นมาเป็นลำดับเนื่องจากเศรษฐกิจที่เติบโตอย่างต่อเนื่องของอินเดีย แม้ในขณะนี้ราคาจะลดลงบ้าง แต่ราคายังคงสูงมาก โดยเฉพาะในเมืองใหญ่ ๆ (Tier I) บางเมือง เช่น กรุงนิวเดลี เมืองมุมไบ และบังกะลอร์ เป็นต้น ดังนั้น เมือง Tier II ของอินเดียอย่างเมืองอะห์เมดาบัด ที่สายการบิน Thai Smile เพิ่งเปิดเที่ยวบินตรงจาก กทม. หรือเมืองออรังกาบาด ที่ชาวไทยและชาวเอเชียตะวันออกนิยมไปเยี่ยมชมถ้ำ Ajanta และ Ellora อยู่เนือง ๆ จึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจเช่นกัน
หากใครมีความพร้อม มุ่งมั่น อดทน และขยันทำการบ้าน ก็น่าจะสามารถแบ่งเค้กขนาด 1,200 ล้านคนไปรับประทานให้หายเหนื่อยได้

* * * (~*~) * * *