Wednesday, 11 July 2012

ขึ้นแทกซี่ ...

                                เมืองมุมไบศูนย์กลางทางการเงินของอินเดีย (คนอินเดียว่าอย่างนั้น แต่ยังห่างไกลการเป็นศูนย์กลางทางการเงินของภูมิภาคอย่างที่ตั้งเป้ากันไว้มากนัก) การคมนาคมขนส่งสาธารณะในเมืองนี้นับว่ามีความสะดวกสบายด้วยรถเมล์ (ขึ้นยากมากครับ เพราะไม่มีภาษาอังกฤษ แม้แต่ตัวเลขก็ไม่เป็นเลขอารบิก ดังนั้น จะขึ้นได้จึงต้องรู้ภาษาฮินดี) รถไฟที่เชื่อมมุมไบเข้าด้วยกัน แต่ยังไม่มีประเภทรถไฟฟ้า หรือรถใต้ดินนะครับ และที่สำคัญที่สุดคือ แทกซี่ที่มีจำนวนมากมายมหาศาล โดยแทกซี่ที่วิ่งตามท้องถนนทั่วไปจะเป็นแทกซี่มิเตอร์ เว้นแต่แทกซี่ที่โทรเรียกเป็นพิเศษ ก็ตกลงราคากันเอาครับ แต่ส่วนใหญ่ก็จะมีมาตรฐานราคาอ้างอิงกันอยู่ เหมือนบริการรถเช่าพร้อมคนขับบ้านเรา และมีอีกชนิดคือ ออโต้ริคชอว์ หรือสามล้อเครื่องนั่นเอง อันนี้จะอยู่เฉพาะในบางพื้นที่เท่านั้นครับ เช่น มีกฎหมายห้ามเข้ามาวิ่งในเขตมุมไบใต้
                                แท็กซี่จะแบ่งเป็นหลายระดับตามสีสันที่ต่างกันไป ระดับล่างสุด คือ แทกซี่ดำ-เหลือง ซึ่งไม่มีแอร์ (บางคันผมว่าผมก็เห็นแอร์นะ แต่ไม่เปิดกัน ประหยัดครับ รถติดไฟแดงบางทีก็ดับเครื่องเลย เหมือนจะเป็นสามล้อซะอย่างนั้น จึงคาดว่า คนขับคนนั้นอาจจะขับสามล้อเครื่องมาก่อน จึงดับด้วยความเคยชิน) มิเตอร์จะเริ่มที่ 16 รูปี หรือประมาณ 9 บาท และเงินจะเริ่มวิ่งหลังจาก 2 กม. แรกผ่านไปเหมือนบ้านเรา ระดับต่อมา คือ แทกซี่สีฟ้า-ขาว สดใส จะเป็นรถแอร์ มิเตอร์เริ่มต้นที่ประมาณ 18 รูปี (ถามมานะครับ ไม่เคยขึ้นครับ) ส่วนที่เหลือก็เป็นพวกที่จ้างเฉพาะกิจ
                                ผมเองใช้แต่ดำ-เหลือง เพราะหาง่ายที่สุด (พวกสีฟ้า-ขาว มักจะจอดดักลูกค้าตามสถานที่อย่างโรงแรม ร้านอาหารหรู ๆ หน่อย) ซึ่งจะมีรถหลายแบบ แต่ส่วนใหญ่เป็นรถระดับเก่ามากถึงมากที่สุด มิเตอร์จะเป็นแบบหมุน (analog) โดยมิเตอร์จะอยู่นอกตัวรถในบริเวณที่ควรจะเป็นกระจกมองข้างฝั่งคนนั่งข้างคนขับ (ที่นี่คนขับอยู่ขวาเหมือนไทย) โดยที่จะไม่มีกระจกมองข้างแต่อย่างใด (จึงต้องอาศัยเสียงแตรส่งสัญญาณบอกคันหน้าว่า มีฉันอยู่ตรงนี้ไม่ไกล - ใกล้มาก แล้วพอได้ยินเสียงแตรจึงมองกระจกมองหลังเอา) ส่วนที่ใหม่ขึ้นมาก็จะเป็นมิเตอร์ดิจิตอลแบบที่เห็นในแท็กซี่บ้านเราครับ
                                อย่างที่บอกครับ รถแทกซี่ดำ-เหลืองหาง่ายครับ มีเกลื่อนกลาด แต่ปัญหา คือ ไม่ค่อยอยากรับลูกค้า พี่บางคนบอกว่า พวกนี้ จนแต่หยิ่ง แต่จริง ๆ แล้วคาดว่าเป็นเพราะเราเรียกไปใกล้ ๆ ไม่เกิน 2 กม. คนขับคงรู้สึกว่าได้ไม่คุ้มเหนื่อย เพราะระยะทางแค่นั้นก็จะได้กัน 20 กว่า ๆ รูปีเท่านั้นก็ถึงที่หมายแล้ว ยิ่งตอนค่ำ ๆ ยิ่งหยิ่ง แต่อย่าไปง้อครับ เดี๋ยวได้ใจ ตอนนี้คนอินเดียก็ไม่พอใจที่แท็กซี่เป็นแบบนี้จึงมี นสพ. อินเดียนามว่า Hindustan Times จัดโครงการส่งอาสาสมัครไปล่อเรียกแท็กซี่ (และสามล้อเครื่อง) โดยให้เรียกไปในระยะใกล้ ๆ หากแทกซี่ปฏิเสธก็จะมีเจ้าหน้าที่จราจรจับ ยึดใบอนุญาต และขึ้นศาลในวันต่อมา ใช่ครับปฏิเสธลูกค้าที่นี่ ขึ้นศาลครับ (แทกซี่ไทยเอาแบบนี้ไหมครับ โดยเฉพาะพวกปฏิเสธคนไทยรอจับแต่ต่างชาติเนี่ย ??) ส่วนโกงมิเตอร์ เช่น ปรับแต่งมิเตอร์ให้วิ่งเร็วติดจรวด หากถูกจับได้จะโดนยึดใบอนุญาตเป็นกาถาวรครับ คือ (ตามหลัก) หมายความว่าคุณจะไม่สามารถประกอบอาชีพนี้ได้อีก แต่ไม่รู้เอาเข้าจริง ระบบข้อมูลอะไรต่าง ๆ มันจะดีขนาดตรวจสอบได้ว่าอีตานี่เคยโดนยึดใบอนุญาตไปแล้วหรือเปล่าก็ไม่ทราบได้
                                พอได้แทกซี่แล้ว ขั้นต่อไปคือ ลุ้นว่า คนขับทราบที่หมายเหมือนที่เราต้องการให้ทราบจริง ๆ หรือไม่ คนที่นี่ “thik hai” หรือ OK / yes ลูกเดียว บอกอะไรไปก็ส่ายหัวให้ขึ้นรถตลอด (ส่ายหัวบนแกน Z (ค่าบนแกน Z ไม่เปลี่ยนแปลง) แปลว่า "ใช่ โอเค" เหมือนการพยักหน้าบ้านเรา แต่ถ้าส่ายบนแกน Y (ค่าบนแกน Y ไม่ขยับ) แบบของไทย ก็คือการปฏิเสธครับ) ใจหนึ่งก็คิดว่าสงสัยกลัวไม่ได้ลูกค้า แต่ก็ เอ๊ะ ทำไมบางคันมันหยิ่งจัง แต่นั่นแหละครับ ต้องลุ้นว่าเข้าใจตรงกันหรือไม่ ถ้าเราไม่รู้ทางก็แย่หน่อยครับ เพราะ เราก็จะไม่รู้ว่าแท็กซี่พาไปไหน จะมารู้ก็ตอนคนขับบอกว่าถึงแล้ว ซึ่งหากผิด เราก็จะนั่งงงอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนรำพึงในใจว่า “แม่ง เอ๊ย ที่ไหนฟระเนี่ย” ผมเคยครับ แล้วสภาพก็เป็นแบบนั้นเลย คือ เราไม่รู้ทางเลย พาไปผิด พาอ้อม เราก็ไม่รู้หรอกครับ (เป็นเรื่องที่เจอบ้าง โดยบางทีอาจจะเป็นความมึนจากใจจริงที่พาไปผิดทาง เพราะคนขับที่นี่แปลกมาก ไม่ค่อยรู้ทางเท่าไหร่ หรือแกล้งมึนเพิ่มเลขบนมิเตอร์ก็เป็นได้ แต่อย่าไปคิดมากครับ ทำใจสบาย ๆ แล้วคิดซะว่าทำทาน และถ้าคิดกลับเป็นเงินไทยแล้ว มันก็ไม่เท่าไหร่ อย่าไปเสียอารมณ์ครับ ถือว่าชมเมือง) คิดอยู่อย่างเดียวคือ ขอให้ถึงที่ ๆ เราจะไปเป็นใช้ได้ แต่จะให้ดีศึกษาแผนที่ไว้หน่อยก็ดีนะครับ
                                แล้วถ้าคนขับหันกลับมาถามทางคุณล่ะ คุณคิดว่าโชคดีหรือโชคร้าย ?? โดนมาแล้วครับ งงสิครับ ไอ้ตอนขึ้นก็ถามย้ำแล้วย้ำอีกว่ารู้จักนะ (สงสัยรู้จัก แต่ไม่รู้ไปยังไง...ผมผิดเองที่ถามไม่ชัดเจน -_-" ) สักพักหันกลับมาถามทางหน้าตาเฉย ผมก็ “เอ่อ.. ไม่รู้ จะไปรู้ได้ไง รู้แต่ว่า จะไปที่นี่... ไปที่นี่...” (มึนกับคุณคนขับรถจริง ๆ) หลัง ๆ นี่ต้องศึกษาแผนที่ก่อนออกครับ เพื่อความแน่ใจ ไม่ใช่ว่าจะรู้ทางนะครับ คือ มั่นใจว่าถ้าคนขับหันมาถาม จะได้ส่งแผนที่พร้อมจิ้มที่หมายให้ดู แบบนี้ไม่น่าพลาด แต่จนกระทั่งบัดนี้ ก็ยังไม่ได้มีโอกาสแจกแผนที่ครับ  อ้อลืมบอกไปว่า หากไปเรียกแทกซี่พวกจอดรอตามสถานที่บางแห่งคนขับจะเรียกราคาเหมานะครับ โดยเฉพาะในยามค่ำคืน

รถแทกซี่รุ่นเก่า กับคนขับที่กำลังผ่อนคลายอิริยาบท ดูดี ๆ จะเห็นว่าไม่มีกระจกมองข้างครับ

 รถแทกซี่ของเก่าทางมุมซ้ายล่าง กับรถแทกซี่ที่ใหม่กว่าอยู่หลังรถเมล์แดง

 ทะเลสาบ ?!?! ... ไม่ใช่ครับ มันคือ ถนนหลังฝนตกได้สักพัก (พักเดียว)


Wednesday, 4 July 2012

เดี๋ยวเอารถไปจอดให้ครับ ... เอ่อ ไม่รบกวนดีกว่า

เดี๋ยวเอารถไปจอดให้ครับ ... เอ่อ ไม่รบกวนดีกว่า

                              ชอบป้ายนี้มากครับ สะท้อนความไม่แน่นอนในชีวิตได้ดีจริง ๆ อันนี้ คิดแง่ดีแล้วนะครับ คือ เจ้าของป้าย ซึ่งก็คงเป็นเจ้าของสถานที่นั้น ๆ คงทราบอยู่เต็มอกว่า การขับรถที่นี่ ไม่ว่าจะระยะทางสั้นแค่ไหน ก็มีโอกาสทำรถเป็นรอยได้เสมอ เกิดความเสียหายได้เสมอ จึงเอาป้ายนี้โชว์ลูกค้าซะ ... แต่ถ้าคิดแบบแง่ลบ ก็คงจะเป็นว่า "เอ่อ ... คุณท่านจะไม่รับผิดชอบอะไรเลยใช่มั้ย"

                              อ่ะครับ แปลกันก่อน "ระวัง!! บริการจอดรถ (หรือที่เราเรียกกันติดปากว่า วาเล่ คือ มีคนขับรถเราไปจอดที่ไหนสักที่) แต่ร้านจะไม่รับผิดชอบต่อความเสียหายหรือการโจรกรรม" ปกติ เห็นแต่ "Park at your own risk" คือ จอดได้เลย แต่รับผิดชอบเองนะ ก็อารมณ์เดียวกับที่เขียนไว้ในบัตรจอดรถของสถานที่เกือบทุกแห่งในเมืองไทย ที่บอกว่า ทางห้าง / โรงแรมจะไม่รับผิดชอบใด ๆ กับความเสียหาย / การสูญหายต่อทรัพย์สินของท่าน เพราะเราเพียงแต่ให้บริการที่จอดรถเท่านั้น (นัก กม. บางท่านบอกว่า สถานที่เหล่านั้น ไม่สามารถปฏิเสธความรับผิดชอบได้ ... ใครขยายความได้ว่าเพราะเหตุใด พร้อมระบุข้อกฎหมาย ช่วยบอกด้วยนะครับ ขอบคุณครับ)

                             ประเด็น คือ ถ้าคุณเอารถผมไปขูดกำแพงเล่น คือ คุณไม่ต้องรับผิดชอบ ? นิดนึงอ่ะ ไม่เห็นก็แล้วไป    ถ้าป้ายนี้ตั้งอยู่ใน กทม. คงไม่รู้สึกอะไรเท่าไหร่ครับ เพราะทราบกันดีว่า ยังไงคนไทยก็รักษารถครับ ยิ่งเป็นงานในหน้าที่ แต่นี่แขกครับ รถคุณท่านแต่ละคันที่เห็นบนถนนยังเละซะ ... รอยเต็มไปหมด แล้วนี่รถเรา ไม่ใช่รถเขา จะเหลือเหรอ ใช้ความระวังเท่าการจกข้าวใส่ปากไม่ให้หกแน่นอน ... ซึ่งคือ เป็น 0 ครับ เพราะ (1) ระวังให้ตายก็เท่านั้นครับ เพราะทานด้วยมือ มันต้องมีหกบ้างแหละ (2) หกแล้วก็ไม่เห็นเป็นไรนิ เหมือนรถเป็นรอยก็ไม่เห็นเป็นไรนิ ยังขับได้ปกติ ... สวัสดี การไม่มีรถเป็นลาภอันประเสริฐ

(-^0^-)

ดื่มสุรา ณ ที่นี้


ดื่มสุรา ณ ที่นี้
                        คนอินเดียส่วนใหญ่นับถือศาสนาฮินดู ซึ่งไม่มีข้อห้ามเรื่องการดื่มเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์เป็นส่วนผสม ดังที่ทุกท่านน่าจะเคยได้ยินได้ฟัง หรือประสบมากับตนเองแล้วสำหรับพฤติกรรมการดื่มของแขก ซึ่งเห็นได้อย่างชัดเจนเมื่อสิ่งเหล่านั้น “ฟรี” หรือออกแนวบุฟเฟ่ต์ เช่น บนเครื่องบินครับ ผมเห็นมาเยอะ พวกประเภทบั่นท้าย (ตูด) แตะเบาะเรียกหาพนักงานทันที ไม่มีรอเครื่องขึ้นครับพี่แกกระหายมาก แต่ก็ไม่มีใครเสิร์ฟหรอกครับ เอาน้ำเปล่าไปแทนก่อน พอเริ่มเสิร์ฟได้ ก็ non-stop ครับ เอาจนเครื่องลง กินไปเรื่อย แถมกระดกกันเร็วด้วย สงสัยกลัวไม่คุ้ม บางคนลุกมาเข้าห้องน้ำสภาพแบบใส่รองเท้าข้างเดียว เดินเป๋ไปเป๋มา อาศัยหัวคนที่นั่งอยู่ประคองตัวไปตามทาง แต่ไม่วาย ดื่มต่อ ... สงสารคุณแอร์จริง ๆ
                                ตอนแรกไม่เข้าใจว่าทำไมต้องดื่มขนาดนั้น จะเอาโล่ความคุ้มหรืออย่างไร สำหรับประเทศมุสลิมก็พอเข้าใจได้ ว่าคงมีบางคนที่เก็บกด คือ อยู่ในประเทศดื่มไม่ได้ หรือหาที่ดื่มได้ยาก แถมผิดกฎหมาย เลยซัดซะ แต่อย่างอินเดียที่ไม่มีข้อห้ามล่ะ?? พอได้ลองหาซื้อเหล้าที่นี่ก็เข้าใจครับ สุราต่างประเทศราคาสูงมาก อย่าง Black Label ขนาด 70 cl. บ้านเราน่าจะประมาณสักพันนิด ๆ ที่นี่ปาเข้าไป 4,300 รูปี (~ 2,580 บาท) แพงสนิท แพงกว่าเปิดใน pub ที่ กทม. อีก ในขณะที่วิสกี้ของอินเดียเองขวดหนึ่งไม่เกิน 1,000 รูปี (แต่ไม่ไหว เหม็นสนิท) แล้วเขามี single malt ด้วยราคาพอกัน และเหม็นสนิทเช่นกัน ไวน์ออสเตรเลียที่บ้านเราขายอยู่ไม่เกิน 500 บาท ที่นี่จัดไป 1,400 รูปี (~ 840 บาท) ทั้งหมดนี้ซื้อที่ร้านขายเหล้าโดยเฉพาะครับ เหมือนอารมณ์ร้านขายส่งเหล้าที่บ้านเรา (ร้านที่เหมือนโชว์ห่วยที่ขายแต่เหล้า)
                                สาเหตุที่เป็นเช่นว่าก็เพราะภาษีนำเข้าเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่นี่สูงมากครับ อยู่ที่ 150% สำหรับเครื่องดื่มที่มีแอลกอฮอล์ไม่เกิน 80% ทุกชนิด (เกินกว่านั้นมันยังกินได้เหรอเนี่ย .. O_o)
อินเดียผลิตเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เองหลายชนิด ที่เป็นที่นิยม คือ เบียร์ อย่าง Kingfisher ส่วนวิสกี้ก็มีหลายบริษัทให้เลือก ไวน์ก็มีเช่นกัน แหล่งทำไร่องุ่นอยู่ที่เมืองนาสิก (Nashik) แบรนด์ที่เคยลองก็มีไวน์แดงของ Valonne (กลิ่นคล้ายน้ำยาถูพื้นโรงพยาบาล ส่วนรสก็ไปกับกลิ่นล่ะครับ ดื่มแล้วทรมาน) กับ Sula (อันนี้ที่เคยลองก็ดีกว่า Valonne หลายขุมครับ แต่ก็ไม่พ้นกลิ่นน้ำยาถูพื้นจาง ๆ บางท่านจิตนาการล้ำลึกอาจบอกว่าเป็นกลิ่นหนังเก่า - ตามสะดวกเลยครับ) ส่วนรสก็พอไปได้นิด ๆ ครับจาง ๆ ไม่ค่อยมีอะไร ทั้งสองตัวนี้ มาจากนาสิกทั้งคู่ เจอเข้าไปทีเซ็งจมูกและเสียดายตังครับ
                                หลังจากได้เครื่องดื่มมาแล้วโดยยอมจ่ายแพงกว่า (คือ ไหน ๆ ก็จะเสียสุขภาพแล้ว ขอให้จังหวะเอาเข้าไปเนี่ยมันมีความสุขนิดนึงครับ จะได้คุ้มค่ากับสุขภาพที่บั่นทอนลงไป) ก็มาว่ากันต่อด้วยเรื่องการดื่ม
ตามกฎหมาย ณ ที่นี้ การดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ จะต้องมีอายุ 25 ปีขึ้นไป และจะต้องมีใบอนุญาตครับ (เพิ่งเริ่มเข้มเมื่อ 23 มิ.ย. ที่ผ่านมา - อันนี้ตามที่ถามพนักงานมานะครับ) ใช่ครับใบอนุญาต Drinking Permit / License … แต่ยังดีไม่ต้องไปสอบแบบใบขับขี่ (แต่ที่นี่คงซื้อเอานะผมว่า) โดยบาร์/ร้านจะคิดค่าใบอนุญาตรวมให้ในบิล ราคาคนละ 5 รูปี เรียกว่า one-day license ใบอนุญาต 1 ปี ราคา 100 รูปี ส่วนตลอดชีวิตก็ 1,000 รูปี ... ถูกมากครับ   ดื่มที่บ้านก็ต้องมีนะครับ เพราะถ้าโชคชะตาเล่นตลกโดนตำรวจบุกเจอก็ผิดนะครับ แม้จะดื่มที่บ้าน โทษก็มีปรับ 50,000 รูปี หรือจำคุกไม่เกิน 5 ปี หรือทั้งจำทั้งปรับครับ ที่นี่เขามีความสามารถในการทำให้ชีวิตคุณยุ่งยากในเรื่องที่ไม่น่าจะเป็นสาระครับ
                                สรุป ... ใครจะมาที่นี่ ก็หิ้วเข้ามาเลยนะครับ (ตามกฎหมายได้ไม่เกิน 1 ลิตร/คน) คุ้มกว่าเยอะ อ้อ ลืมบอกไปว่า น้ำแข็งที่นี่สามารถส่งคุณเข้าโรงพยาบาลได้ง่าย ๆ (อย่าคิดว่าเหล้าฆ่าเชื้อนะครับ) ก็ต้องใช้ความพยายามในการหาที่สะอาด ๆ หน่อยนะครับ อยากเมาต้องสู้ครับ ไม่ก็อาศัยผสมกะมิกเซอร์เย็น ๆ เอาก็พอไหวครับ

\(^S^)/